มีทติ้ง เดินเล่น ช้อปปิ้งที่นิมมานฯ นอนเก๋ๆ ที่ MoRooms

สืบเนื่องมาจากทีมจีบันลัลลาต้องมาทำงานที่เชียงใหม่ 2 วัน ก็เลยมานั่งคิดกันว่า เอ๊ะ ไหนๆ ก็มาเชียงใหม่แล้วนัดสาวๆที่เชียงใหม่มีทติ้งกันดีมั้ยเพราะนานๆ ที ถึงจะมีเวลาเดินทางมาเชียงใหม่ด้วยกันกับเพื่อนสาว ครั้งนี้เลยจัดหนักจัดเต็ม!!!!

เครื่องแลนดิ้งถึงเชียงใหม่ตอน 10.00 น. ก็นั่งแท็กซี่จากสนามบินมาที่พักกันเลย......2 คืนแรกเราพักกันที่ยันตรศรีรีสอร์ท เป็นบูติครีสอร์ทเก๋ๆ อยู่ที่ถนนนิมมานเหมินทร์ ซ.6 ตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ว่า "หาอะไรกินง่าย เดินเล่นช้อปปิ้งได้ แถมกลางคืนมีที่แฮงค์เอาท์ใกล้ๆ สามารถเดินไปได้ไม่ต้องพึ่งรถ"

เก็บของเข้าที่พักแล้วก็นอนพักผ่อน(ดูแดจังกึม)รอป้ากุ้งพี่ใหญ่มารับไปกิน ข้าวกลางวันกันที่ร้านดินดี อาหารเพื่อสุขภาพกลิ่นอายญี่ปุ่นแนวๆ อยู่ตรงหอศิลป์มช. ดินดีเป็นร้านแบบบ้านดินเล็กๆ น่ารัก ที่ใส่ใจในรายละเอียดแทบทุกเมนูอย่างเช่นเวลาที่สั่งข้าวทางร้านก็จะให้ เลือกว่าจะเอาข้าวธรรมดาหรือว่าข้าวกล้อง ถ้าใครแวะเวียนไปก็ขอแนะนำเมนูเด็ดที่ชาวเราติดอกติดใจกันเป็นพิเศษคือ "หมี่เย็น" น้ำซุปอร่อยมากกกก ขอย้ำ "อร่อยมาก" เพราะเจ้าของร้านเป็นคนญี่ปุ่นรสชาติอาหารจึงเป็นแบบออริจินัลสุดๆ ส่วนอีกหนึ่งเมนูที่พลาดไม่ได้คือพุดดิ้ง...เนื้อเนียนๆ ไม่หวานมากราดคาราเมลหอมๆ คิดแล้วน้ำลายสออยากไปกินอีกจริงๆ 

 

ช่วงเย็นได้เวลานัดเจอกับสาวๆเชียงใหม่ที่ร้าน iBerry ถ.นิมมานเหมินทร์ ซ.19 แม่งานในการนัดหมายครั้งนี้คือ “น้องขิม” ก็ต้องขอบคุณน้องขิมมากๆ ที่เป็นธุระจัดการให้พวกเราได้เจอกันนะคะ เมื่อถึงเวลานัดสาวๆ เริ่มทยอยกันมาเป็นมีทติ้งเล็กๆ สาวๆ ไม่ถึง 20 คน แต่สนุกสนานกันมาก กินไอศกรีม จกขนมเค้กกัน กระเตงลูกเด็กเล็กแดงมาด้วย โดยเฉพาะน้องข้าวนึ่งที่หล่อเป็นขวัญใจสาวๆ ขโมยซีนกันไปเลย

กินเมาท์กันจนค่ำมืดแต่ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล พวกเรามีนัดไปแฮงค์เอาท์กัน ต่อที่ Warm Up....ระหว่างที่สาวๆ แยกย้ายไปแต่งตัวพวกเราก็แวบไปหาคุณคลาเดีย สมาชิกชาวเชียงใหม่ที่เป็นชาวต่างชาติล๊อคอิน breesana (จำกันได้ชิมิจ๊ะ) คลาเดีย เป็นชาวต่างชาติที่พิมพ์ไทยใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องเก่งมากๆ ต่างคนต่างเมาท์ต่างตื่นเต้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วพวกเราเลยชวนคลาเดียไปซิ่งด้วยกันซะเลย!!!  เชียงใหม่กับวอร์มอัพนี่ได้ยินชื่อมานานมากก ที่ร้านนี้เค้าแบ่งออกเป็น 2 โซนคือ In door กับ Out Door ข้างในจะมีดนตรีสดและดีเจเปิดแผ่น วันที่เราไปเป็นวันสอบเสร็จวันสุดท้ายของเด็กมหา'ลัยพอดีคนเลยเยอะมาก ยิ่งด้านในเป็นที่สำหรับขาแดนซ์ด้วยเล่นเอา 2 ป้า มึนตึ้บ -_-" ส่วนด้านนนอกก็มีดนตรีสดเล่น live บรรยากาศชิลล์กว่าด้านในเยอะเลย เอ..หรือว่าเราแก่กันนะ แต่เห็นแบบนี้เราก็อยู่กันจนร้านปิดนะใจสู้จริงๆ ฮ่าๆ

เช้าวันที่ 2 ณ เชียงใหม่

ตื่นกันแต่เช้าออกเดินทางไปที่ร้านกาแฟอาข่า อาม่า  มีนัดกับเพื่อนๆ ชาวญี่ปุ่นและป้ากุ้งเอาไว้ ซึ่งแปลนวันนี้เราจะไปรีสอร์ทน่ารักๆ ที่อำเภอสันทรายกันค่ะ....พาหนะวันนี้ก็เช่นเคย "รถแดง" อยากไปไหนขอให้บอกรถแดงจัดให้ ตกลงราคากันที่ 700 บาท ไปกัน 5 คน แถมต้องจอดรออีก 2 ชั่วโมง ก็ถือว่าคุ้มเลยทีเดียว....เดินทางกันเกือบชั่วโมงก็ถึง “เดอะขัวมุง” รีสอร์ทเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติกับคอนเซปท์พออยู่ พอกิน พอเพียง และยังมีกิจกรรมเก๋ๆ สไตล์ eco home stay ให้ทำอีกด้วย เช่นการไปเก็บไข่ยามเช้า ที่นี่จะเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่เอาไว้สามารถเก็บไข่ได้ทุกวัน และนำมาทำอาหารเช้ากันแบบสดจริงๆ...ทีเด็ดอีกอีกอย่างของเดอะขัวมุงที่ทราย ชอบมากคือฟาร์ม “ดอกหน้าวัว” ปลูกเป็นฟาร์มปลอดสารพิษ สีเขียว สีแดง มีหมดสวยมาก และตัดขายกันถูกๆ เพียงกำละ 30 บาท!!

และเนื่องจากเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะพักที่นิมมานฯ ก็ต้องออกสำรวจกันหน่อย นิมมานฯ นี้ถ้าจะให้เที่ยบก็คงอารมณ์เดียวกับทองหล่อที่จะมีร้านอาหารฮิปๆ ร้านกาแฟเก๋ๆ ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่ถนนนี้ เราเดินลัดเลาะกันตั้งแต่นิมมานฯ ซ.1 แวะช้อปปิ้งที่ร้านสุริยันจันทรา ร้านนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง ของแต่งบ้านที่มีทั้งความเก๋และความเก๋า ด้วยคอนเซปต์ของร้านคือ “Make your self at home”  คน ที่มาเยี่ยมก็เป็นเหมือนเพื่อนเป็นญาติสนิท ณ ร้านนี้ป้าจีนก็เสียทรัพย์จนได้ ด้วยบริการซื้อแล้วสามารถให้ทางร้านส่งมาให้ที่บ้านได้เลยไม่คิดค่าส่งด้วย เจ๋งมาก!!!! (ปล.ทางร้านแจ้งว่ากำลังจะปิดตัวและย้ายไปที่ใหม่ ยังไงติดตามข่าวคราวได้ทาง Facebook fan page จ้า)  ออกจากที่นี่เราก็ไปแวะเดินเล่นที่ de Marche' @ Nimman ที่นิมมานฯ ซ.5 Community Zone ติดถนนนิมมานฯ แห่งใหม่ ที่  de Marche' นอกจากจะมีลานการแสดง นิทรรศการงานศิลป์ wine bar "THE BOX" ที่ถือว่าเป็น wine bar แห่งแรกในเชียงใหม่แล้วก็ยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ซาลอน อารมณ์คล้ายๆ กับวิลล่าที่กรุงเทพฯ.....ด้วยสายตาของนักช้อป ก่อนกลับก็อดไม่ได้ที่จะไปแวะร้านรองเท้าหนังนิ่มๆ ใส่สบายแบบ Made to Order  ชื่อร้าน Palmy ซักนิด...และจากที่ป้าจีนได้คุยกับทางโครงการก็ได้ความว่า "ด้วย ความตั้งใจที่อยากจะให้โครงการเป็นพื้นที่แห่งไอเดียแห่งใหม่ ให้หลายๆ คนได้เข้ามาพักผ่อน เพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ จึงเปิดโอกาสให้ นักศึกษา หรือเยาวชนที่มีความสามารถ มีไอเดียในการสร้างสรรค์งานศิลปะ งานดนตรี งานออกแบบ งานตกแต่ง ได้มีเวทีในการแสดงออก  โดยสามารถติดต่อขอใช้พื้นที่ส่วนกลางโครงการได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย" ถ้าสนใจแล้วผ่านไปแถวนั้นก็อย่าลืมแวะกันนะจ๊ะ

ปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยการเสียทรัพย์ให้ร้านสุดท้าย (ได้ข่าวว่าเจ๊จัดหนักนะร้านนี้) ชื่อร้านฌบา ร้านฌบาขายเสื้อผ้าสไตล์ยิปซี พิมพ์ลาย ผ้าใส่สบายมากแพทเทิร์นดี ลายผ้าสวย มีทั้งผ้าป่าน ผ้าฝ้าย ผ้าไหม แล้วก็ยังมีเครื่องประดับหลากหลายสไตล์โดยเฉพาะงานทองเหลือง....สองป้าได้ กางเกงอาลาดินกลับมาพร้อมผ้าพันคอสวยๆ หลายผืน แถมอดใจไม่ไหว มีกลับไปซ้ำกันอีก 2 รอบ!!....ออกจากร้านแวะซื้อคุณยายไส้กรอกอีสาน ของดีของเด่นของที่นี่ไส้กรอกร้านนี้ไม่ธรรมดาเพราะมีบัตรคิวด้วยขายดีมาก ซื้อกลับไปลองกินกันคนละไม้เป็นมื้อค่ำแบบเบาๆ

เช้าวันที่ 3

วันนี้เราจะย้ายที่พักกันไปแถวๆ ท่าแพ เป็น Boutiuqe Hotel เล็กๆ แต่ไอเดียใหญ่ที่เคยเห็นผ่านตามาจากรายการท่องเที่ยวและหนังสือแต่งบ้านมา นักต่อนัก ชื่อว่า “Mo Rooms” มาเชียงใหม่คราวนี้เราจองห้องพักผ่านเอเจนซี่ออนไลน์ เลยได้พบข้อเสียของการจองผ่านเอเจนซี่กันบ้าง คือจะไม่สามารถเลือกห้องที่ Mo Rooms ได้ เนื่องจากที่ Mo Rooms เป็นบูติคโฮเต็ลขนาดเล็ก คอนเซปต์ของที่นี่คือ “The art that you can live”  มีเพียง 12 ห้องเท่านั้น  ตาม 12 นักษัตร และ 12 สไตล์ส่วนตัวของศิลปิน ดีไซเนอร์ รับเชิญที่มาออกแบบให้แต่ละท่านก็จะไม่มีห้องไหนที่ตกแต่งเหมือนกันเลย ก็ต้องลุ้นล่ะว่าจะได้ห้องไหน จะว่างห้องไหน (แต่ถ้าจะเลือกต้องจองตรงกับทาง Mo Rooms เลยนะคะ รู้สึกจะมีแพกเกจ จองห้องพักแถมดูดวงด้วยค่ะ)

เดินเข้าไปเช็คอินปุ๊บพนักงานพาเราไปห้อง The Dog จากที่ตอนแรกดี๊ด๊า ถ่ายรูปกันสนุกสนาน พอเปิดประตูเข้าไป ตึ่ง!!!!!  ห้อง นอนกับห้องน้ำเป็นห้องเดียวกันเลย โอวว์....สองป้ามองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้วจะเข้าห้องน้ำอาบน้ำ ทำธุระหนักกันยังไง ทุกอย่างโอเพ่นหมด ไม่มีประตูห้องน้ำใดๆทั้งสิ้น ที่ทำธุระหนักเบามีเพียงแค่ฉากๆเล็กๆดึงมากั้นปิดได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น  แม้ว่าห้องจะสวยมาก แต่เราก็เห็นตรงกันว่าห้องนี้เหมาะกับคู่รักมากกว่า มันไม่เหมาะกับการมานอนกับเพื่อนสาวเลยนะเธอว์ 

เก็บกระเป๋าเข้าห้องเรียบร้อยก็ออกมาหามุมถ่ายรูปมาฝากสาวๆ กันต่อ ถ้าใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปขอบอกว่าที่นี่เหมาะมากถึงเหมาะที่สุด เพราะทุกมุมออกแบบมาแล้วอย่างดี หันไปมุมไหนก็สวย เดินขึ้นเดินลงระหว่างชั้น 3 ชั้น 4 เพื่อ ถ่ายรูปจนเหนื่อย ก็ลงไปทานอาหารข้างล่าง ระหว่างนั้นพอดีได้เจอคุณผู้จัดการของที่นี่ เราเลยขอรบกวนให้ช่วยเปิดห้องที่ไม่มีคนพักให้พวกเราถ่ายรูปมาฝาก สาวๆ หน่อยได้มั้ย...ระหว่างที่เดินดูห้องคุณแต๊กก็อธิบายว่าแต่ละห้องมีความเป็น มายังไงใครเป็นคนออกแบบ ห้องที่เราชอบมากๆ คือห้องลิง ห้องนี้ฮิตมากมีคนจองตลอด ในห้องออกแบบมาโทนสีดำๆมืดๆ มีเถาวัลย์เลาะเลื้อย จุดเด่นของห้องอยู่ที่เตียง เตียงหวายกลมๆคล้ายๆหัวลิงน่านอนมาก คาดว่านอนแล้วไม่อยากจะตื่นไปไหนกันเลย 

คุณแต๊กพาเดินชมไปเรื่อยๆ บางห้องก็พอจะเดาออกว่ามีอะไรที่บ่งบอกถึง ความเป็นนักษัตร พอเดินมาถึงห้องหมู คุณแต๊กใจดีก็เปลี่ยนห้องพักให้จากห้องสุนัขมาเป็นห้องนี้ หลังจากที่ไถ่ถามถึงห้องน้องหมาแล้วเราเขินกันละเกิน ถือเป็นโชคดีที่วันนี้ไม่มีคนจองห้องนี้ก็เลยเปลี่ยนได้.....ห้องหมู สัญลักษณ์แรกที่เข้าใจได้ไม่ยากเลยก็คือมีรูปปั้นหมูอยู่หน้าห้อง ตัวห้องจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เปิดเข้าไปเจอโซฟานั่งพักผ่อนก่อน มีมุมห้องน้ำกั้นอยู่มีม่านบังให้ด้วย ถึงจะไม่มีประตูแต่ก็โอเคกว่าเดิมเยอะ เตียงควีนไซส์นอนสบายมีทีวีด้วย (ห้องบางห้องของที่นี่จะไม่มีทีวีนะคะ กรุณาเช็กให้ดี) เดินดูห้องจนครบแล้วทรายก็กลับมานอนเอาแรงแยกกับป้าจีนที่ชิ่งออกไปดูนิทรรศการดอกไม้ของคุณสกุลที่รร.แทมมารีน ก่อนจะออกไปหม่ำมื้อเย็นค่ำนี้

ปิดท้ายเชียงใหม่ในเมืองคืนสุดท้ายด้วยร้านราเม็ง 4 จตุรเทพ ร้านอาหาร the art project ของชาวย้อนแยงสุนทรียะและสหายที่ ถ.นิมมานฯ ซ. 11 (ข้างๆ ฮาเทหน้า) วันนั้นร้านยังไม่เปิด แต่เจ้าของร้านเค้าซ้อมมือทำให้เพื่อนๆ กินกันก่อนเราเลยขอมาแจม.....อาหารอร่อยมากรสชาติเทพๆ ใครผ่านไปมาแถวนั้นก็แวะไปทานกันได้นะคะ จบมื้อค่ำแสนอร่อยและความสนุกในเมืองเชียงใหม่ก็จบลงในค่ำคืนที่แสนอบอุ่น กับเพื่อนฝูงที่มีน้ำใจ รอฉันนะแล้วฉันจะกลับไปอีก “เชียงใหม่”

ดูรูปเพิ่มเติมที่ Jeban Facebook fan page