"บ้านไฟฟ้า" อีกหนึ่งกิจกรรมดีดี เพื่อสังคม
Jebanista 16 8
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทีมงานจีบันของเราได้มีโอกาสไปสอน "เด็กๆไฟฟ้า" แต่งหน้า โดยมี "DHC" เป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์แต่งหน้าพร้อมเครื่องสำอาง รวมไปถึงขนมอร่อยๆจาก"เลอแปง"
ตอนแรกเต้ไปแบบไม่ค่อยแน่ใจว่า "เด็กไฟฟ้า" คืออะไร จะสอนพวกเขาแต่งหน้ายังไงดี? เด็กๆชุมชนนี้จะดื้อไหม? ไม่ได้ทำการบ้านมาเท่าไหร่ด้วยความที่ไม่รู้จริงๆ จึงเตรียมไปเพียงความรู้เรื่องเมกอัพเพื่อไปสอนพวกเขา และใจที่พร้อมอยากจะให้
ตอนแรกเต้ไปแบบไม่ค่อยแน่ใจว่า "เด็กไฟฟ้า" คืออะไร จะสอนพวกเขาแต่งหน้ายังไงดี? เด็กๆชุมชนนี้จะดื้อไหม? ไม่ได้ทำการบ้านมาเท่าไหร่ด้วยความที่ไม่รู้จริงๆ จึงเตรียมไปเพียงความรู้เรื่องเมกอัพเพื่อไปสอนพวกเขา และใจที่พร้อมอยากจะให้
เต้และทีมจีบันมาถึง"ไฟ ฟ้า" ประมาณเที่ยงครึ่ง สถานที่เท่แปลกตากว่าที่คิดไว้ (มาก) ทานอาหารเที่ยงร่วมกันพร้อมพูดคุยถึงความเป็นมาว่า ไฟฟ้าเกิดขึ้นมาได้ยังไง? เด็กไฟฟ้าคืออะไร?
เด็กไฟฟ้าไม่ใช่กลุ่ม เด็กเครื่องกลช่างยนต์แต่อย่างใด แต่เป็นหนึ่งในโครงการของธนาคารทหารไทย (TMB) ที่ได้ก่อตั้งที่นี่ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส และไม่อยากให้พวกเขารู้สึกว่าการมาที่นี่เหมือนมาขอความช่วยเหลือ แต่อยากให้ ไฟ ฟ้า เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่ง เข้ามาแล้วรู้สึกอบอุ่น น่าอยู่ มีความเป็นอยู่ที่ดี เท่และทันสมัย
ที่ตั้งชื่อว่า "ไฟ ฟ้า" เพราะที่นี่รับเด็กที่อายุระหว่าง12-17ซึ่งเปรียบเสมือนกับไฟ และที่นี่เหมือนดั่งฟ้าที่คอยปกคลุมอยู่เคียงความสำเร็จของเด็กๆทุกคน พี่ๆ ที่ไฟ ฟ้าบอกว่า เด็กๆที่มาที่นี่แค่สามเดือนแรก เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน หลังจากพวกเขาได้รับอะไรกลับไป พวกเขาก็นำไปปรับปรุงกับชุมชนของตัวเอง ตามสิ่งที่พวกเขาเห็นและได้เรียนรู้
อธิบายกันไปพอให้หายสงสัยว่าเด็กไฟ ฟ้าและไฟ ฟ้าคืออะไร มาต่อกันที่ ไฟ ฟ้ามีอะไร? เรียนอะไร? วันๆทำอะไรกันบ้าง?
ไฟ ฟ้า เป็นตึกเหมือนห้องแถวกว้างประมาณสามห้องสี่ชั้นครึ่ง ออกแบบมาอย่างสวยงามโดยบิล เบนสลีย์ สถาปนิกชื่อดังระดับโลก ทางทีมงานของเราชอบมาก เก๋กู๊ดทีเดียวหละ ทางไฟ ฟ้าพาพวกเราเดินชมสถานที่ภายใน ต้องบอกเลยว่า "อิจฉาเด็ก" จริงๆ ตัวเรากลายเป็นผู้ใหญ่ด้อยโอกาสไปเลย(ฮา)
ก็จะไม่ให้เสียดายได้อย่างไร มีทั้งสอนทำอาหาร สอนเต้น สอนดนตรี สอนนั่งสมาธิ สอนศิลปะ สอนปลูกผัก สอนพิเศษวิชาต่างๆ ที่จำเป็นและที่สำคัญคือสอนเด็กๆเหล่านี้ให้อยู่ในสังคมได้อย่างแท้จริง เด็กที่มาที่นี่ต้องด้อยโอกาสจริงๆ ฐานะยากจน ก่อนจะเข้ามาก็ต้องสอบสัมภาษณ์ว่าที่บ้านลำบากจริง และการที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ก็ต้องให้พ่อแม่มารับรู้ด้วยว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้าง
ที่นี่ให้โอกาสมากมายกับพวกเขา ของทุกอย่างที่ใช้เป็นของอย่างดี สถานที่ก็เท่สุดๆ แต่สิ่งที่เด็กๆต้องนำมาแลกกับที่นี่ก็คือ "ความตั้งใจจริง" เพราะหนึ่งคนสามารถเลือกเรียนได้สองวิชา เรียนในวันเสาร์-อาทิตย์ สองวิชานี้สามารถเรียนได้ถึงสามปี เรียกได้ว่าเรียนจบคอร์สก็สามารถทำงานหาเงินจริงจังกันได้เลยทีเดียว
ใครที่พอมีความสามารถและใจบุญก็สามารถมาเป็นอาสาสมัครผู้ช่วยครูได้ หรือจะรวมกลุ่มมาทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆไฟ ฟ้าก็เป็นโอกาสที่ดี ซึ่งเต้แอบสนใจศิลปะเพราะเต้เรียนศิลปกรรมมา สอนทำอาหารก็สนใจแต่กลัวจะสู้เด็กๆไม่ได้
เพราะอะไร? เพราะอาหารที่ไฟฟ้าสอนเด็กๆไม่ใช่อาหารพื้นๆบ้านๆข้าวไข่เจียวข้าวผัดปลากระป๋องไรงี้นะจ๊ะ มีสอนทำเบเกอรี่ อาหารฝรั่ง อาหารญี่ปุ่น วันนี้ที่ไปก็แอบได้ชิมบานอฟฟี่และชูครีม อร่อยทีเดียว เต้ขอเบิ้ลสองเลยหละ แหะๆ
อาหารที่สอนเรียกได้ว่าขึ้นห้างไม่ใช่อาหารไก่ก่าเหมือนตอนเรียนคหกรรมขำๆตอนประถม
ไฟ ฟ้า ไม่ใช่แค่โครงการทำเล่นขำๆสองสามวันเลิก แต่เขาเปิดมาครบปีแล้ว ทำกันจริงจัง แล้วก็ได้ผลมากทีเดียว เต้ชอบไอเดียนี้สุดพลัง เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่มีความตั้งใจ เพราะหากไม่มีความตั้งใจจริงเขาก็จะค่อยๆหายไปเอง เด็กที่ยังอยู่ที่นี่คือเด็กที่ค่อนข้างมีความตั้งใจสูง เพราะที่นี่ไม่บังคับ อยู่กันเสมือนบ้านหลังนึง
ไม่ใช่แค่ว่ามารับความรู้และโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิตเท่านั้น แต่เด็กๆที่นี่ยังต้องเรียนรู้ที่จะ "แบ่งปัน" และ "ตอบแทน" ให้กับสังคมอีกด้วย เพราะครูที่นี่จะคอยสรรหากิจกรรมสาธารณะประโยชน์ให้เด็กๆทำ ไม่ว่าจะไปปรับปรุงพื้นที่เสื่อมโทรมของชุมชนที่ตัวเองอยู่อาศัยหรือใกล้เคียง ไปเล่นละครให้เด็กๆ ที่ป่วยในโรงพยาบาลเด็กดู เป็นต้น จะได้เรียนรู้การให้และรับแบบครบถ้วน และยังต่อยอดการทำดีไปสู่คนอื่นๆรอบข้างอีกต่างหาก
เกริ่นมาซะเยอะ มาต่อที่เนื้อๆกันดีกว่า ว่าวันนี้เต้และจีบันมาทำอะไร
เต้และทีมจีบันรวมถึงแบรนด์ DHC มาทำกิจกรรมสอนเด็กๆ แต่งหน้า อ๊ะ ไม่ใช่สอนให้เด็กๆ แก่แดดอะไรหรอกนะ
แต่ เด็กๆเหล่านี้บางทีต้องขึ้นแสดงบนเวที อย่างที่บอกว่ามีสอนเต้นด้วย หรือบางครั้งก็ไปเล่นละคร สันทนาการให้เด็กที่ป่วยดู จะเป็นการช่วยให้พวกเขามีความรู้พื้นฐานและไม่จำเป็นต้องไปจ้างช่าง เพราะหลังจากจบงานนี้ DHC ยังใจดีมอบเครื่องสำอางไว้ให้เด็กๆไฟ ฟ้าไว้อีก 1 เซ็ทใหญ่
เริ่มต้นเราก็เอาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดไปตั้งไว้ตามโต๊ะ แยกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ มีพี่ฟ้าและป้าจีนเป็นวิทยากรแนะนำ ป้าจีนแนะนำในส่วนของการดูแลทำความสะอาดผิว เพราะเด็กๆอยู่ช่วงของวัยรุ่น กำลังเริ่มตื่นตระหนกกับสิว ส่วนพี่ฟ้าสอนในส่วนของการแต่งหน้า สอนตั้งแต่เริ่มลงรองพื้นจนจบขั้นตอนกันเลยทีเดียว อธิบายกันจนเข้าใจ
มาถึงเวลาแต่งจริงเด็กๆดูตื่นเต้นและสนุกสนานกันใหญ่ มีกลัวบ้าง เกร็งบ้าง เพราะหลายคนไม่เคยแต่งหน้าเลย ก็ให้จับคู่กันกับเพื่อน บางคนก็รีเควสแบบเกาหลี แบบเลดี้กาก้า บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มทั้งเด็กๆไฟ ฟ้าและทีมงานทุกๆ คน บางคนเราก็ช่วยแต่งให้ดูครึ่งนึง อีกครึ่งให้ลองทำเอง ทางทีมงานก็จะคอยนั่งอยู่ข้างๆคอยแนะนำ
การแต่งหน้าเต้ว่าช่วยให้เรารู้ถึงลักษณะนิสัยของบางคนได้ด้วยนะ คนนี้ชอบสีโทนหวานๆอบอุ่น คนนี้ชอบสีสดใสสีเข้มๆดูกล้าแสดงออก แต่งกันไปก็เม้าท์กันสนุกสนาน อยู่ๆก็มีเด็กคนนึงถามกับเต้ว่า "พี่คะ ทำไมต้องแต่งอะ แล้วแต่งหน้าทำไม" เต้จึงอธิบายไปว่า "เราแต่งหน้าตามแต่โอกาส อย่างเวลาน้องแสดงอยู่บนเวที เราต้องการที่จะสวยอยู่ในชุดไทย หรือชุดตามการแสดงนั้นๆ ต้องการดูเท่เวลาเต้น การแต่งหน้าช่วยเสริมสร้างบุคลิกนั้นๆได้ และคนเราควรแต่งหน้าเพื่อให้สวยงาม ไม่ใช่แต่งให้คนมองนะ"
เด็กๆ ก็ร้องอ๋อกันทันที แถมยังหันไปแซวกันเองอีกว่า "เห็นไหม พี่เขาบอกว่าแต่งหน้าให้สวยไม่ใช่แต่งให้คนมองแบบแก" ได้ยินละถึงกับฮาก๊ากเลยทีเดียว
แต่งกันไปพักใหญ่ มันกันเต็มที่ พี่ๆที่ไฟ ฟ้าบอกกับทีมงานว่า ไม่เคยเห็นเด็กๆเงียบขนาดนี้มาก่อน เราก็ประหลาดใจว่าจริงหรอ สงสัยการแต่งหน้าจะช่วยเรื่องสมาธิได้อีกด้วย คงคล้ายๆกับการสร้างสรรค์งานศิลปะนั่นแหละ
การแต่งหน้าเต้ว่าช่วยให้เรารู้ถึงลักษณะนิสัยของบางคนได้ด้วยนะ คนนี้ชอบสีโทนหวานๆอบอุ่น คนนี้ชอบสีสดใสสีเข้มๆดูกล้าแสดงออก แต่งกันไปก็เม้าท์กันสนุกสนาน อยู่ๆก็มีเด็กคนนึงถามกับเต้ว่า "พี่คะ ทำไมต้องแต่งอะ แล้วแต่งหน้าทำไม" เต้จึงอธิบายไปว่า "เราแต่งหน้าตามแต่โอกาส อย่างเวลาน้องแสดงอยู่บนเวที เราต้องการที่จะสวยอยู่ในชุดไทย หรือชุดตามการแสดงนั้นๆ ต้องการดูเท่เวลาเต้น การแต่งหน้าช่วยเสริมสร้างบุคลิกนั้นๆได้ และคนเราควรแต่งหน้าเพื่อให้สวยงาม ไม่ใช่แต่งให้คนมองนะ"
เด็กๆ ก็ร้องอ๋อกันทันที แถมยังหันไปแซวกันเองอีกว่า "เห็นไหม พี่เขาบอกว่าแต่งหน้าให้สวยไม่ใช่แต่งให้คนมองแบบแก" ได้ยินละถึงกับฮาก๊ากเลยทีเดียว
แต่งกันไปพักใหญ่ มันกันเต็มที่ พี่ๆที่ไฟ ฟ้าบอกกับทีมงานว่า ไม่เคยเห็นเด็กๆเงียบขนาดนี้มาก่อน เราก็ประหลาดใจว่าจริงหรอ สงสัยการแต่งหน้าจะช่วยเรื่องสมาธิได้อีกด้วย คงคล้ายๆกับการสร้างสรรค์งานศิลปะนั่นแหละ
จบงานทางทีมงานก็ได้มอบขนมปัง"เลอแปง"ไว้ให้เด็กๆ ทานเป็นอาหารว่าง เห็นเด็กๆยิ้มแย้มร่างเริง เราก็รู้สึกดีไปด้วย เต้ว่ามันอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก คือเรามาเพื่อให้พวกเขา แต่พวกเขาจะทราบไหมว่า เขาได้ให้เรากลับมาเต็มๆ
คือเต้รู้สึกเลยว่า การให้มันไม่ใช่แค่เงินทองอย่างเดียวนะ เด็กๆที่นี่จะรู้เป็นอย่างดีว่าการให้ไม่ใช่แค่เงินทอง แค่มีเด็กคนนึงเดินมาบอกกับเราว่า "พี่เต้คะ ขอบคุณคะ" พร้อมกับยิ้มและยกมือไหว้ ทำให้เต้รู้สึกอิ่มและยิ้มอย่างมีความสุขจริงๆในวันนี้
ถ้ามีโอกาสเต้คิดว่าจะกลับไปที่นี่อีกแน่นอน เพราะเต้รู้สึกว่าที่นี่คือบ้านจริงๆ อยากไปหาไปช่วยเหลือน้องๆ อะไรที่เรารู้แต่เขาไม่รู้ ก็อยากนำไปแบ่งปัน การแบ่งปันความรู้เต้ว่ามันไม่ได้เสียเงินทองอะไร ความรู้สึกดีๆไม่ได้หาซื้อได้เหมือนผักปลา
ถ้ามีโอกาสเต้คิดว่าจะกลับไปที่นี่อีกแน่นอน เพราะเต้รู้สึกว่าที่นี่คือบ้านจริงๆ อยากไปหาไปช่วยเหลือน้องๆ อะไรที่เรารู้แต่เขาไม่รู้ ก็อยากนำไปแบ่งปัน การแบ่งปันความรู้เต้ว่ามันไม่ได้เสียเงินทองอะไร ความรู้สึกดีๆไม่ได้หาซื้อได้เหมือนผักปลา
สุดท้ายนี้อยากจะบอกถึงอะไรในใจที่เต้คิด ที่ได้รับในวันนี้ (จริงๆก็พูดมาเยอะแล้วนะ
)
เต้ไม่ใช่คนรักเด็กเหมือนนางงามอะไรขนาดนั้น แต่เต้คิดว่าการให้การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ดี เพราะพื้นฐานเต้ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร วันนี้เต้ได้รับรู้อีกมุมนึงของชีวิต ได้รู้ว่าเด็กๆเขาคิดยังไงกับสังคมรอบตัว ได้รู้ว่าเขามองโลกใบนี้ยังไง จากเด็กที่อยู่ในสังคมและชุมชนที่ด้อยโอกาสกว่าเราจริงๆ
การที่เรามีโอกาสช่วยสอนแนะนำแบ่งปันความรู้ เหมือนช่วยสร้างสะพานให้เขาได้เดินต่อไปในทิศทางที่เขาชอบและใฝ่ฝัน เด็กเหล่านี้ยังใสจริงๆ ยังดูละคร ยังวิ่งเล่น ไม่ใช่เด็กในสังคมเทคโนโลยี ซึ่งเวลาเราทำอะไรเราแนะนำอะไร คือเขาสนใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าใครบังคับให้มา แต่เขามาเพราะเขาสนใจและอยากได้ความรู้จากเรา เต้และทีมงานทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากๆในวันนี้ ขอบคุณ TMB, DHC และ ขนมปังเลอแปง รวมถึงทีมจีบันของเราที่ช่วยให้เกิดกิจกรรมดีๆแบบนี้ร่วมกันกับคนในชุมชนครับ