เปิดปมขัดแย้ง ก่อชนวนดราม่า Cultural appropriation
candy 31 7
Cultural appropriation คืออะไร เหตุไฉน ประเด็นนี้จึงกลายเป็นชนวนดราม่าสร้างความความขัดแย้งมาแล้วหลายครั้ง ??
คุณอาจจะเคยสงสัยว่า เพราะอะไรภาพของคาร์ลี่ คลอสที่ใส่เครื่องประดับผมของชาวเผ่าพื้นเมืองอเมริกันใน Victoria's Secret Fashion show จึงถูกวิพากษ์อย่างแรงทำให้แบรนด์ต้องออกโรงขอโทษและตัดชุดนี้ออกจากการเผยแพร่เทปบันทึกโชว์
เมื่อใดที่เซเลบที่ไม่ได้มีเชื้อสายแอฟริกันทำทรงผมCornrows หรือ Dreadlocks แล้วจะมีเสียงกล่าวหาเรื่อง Cultural Appropriation ตามมา
เพราะอะไร ผู้นำองค์กร the Universal Society of Hinduism จึงเรียกร้องให้เซเลน่า โกเมซแสดงคำขอโทษ หลังจากเธอขึ้นแสดงบนเวที MTV ด้วยท่าเต้นและเครื่องแต่งกายที่ตั้งใจทำให้เป็นสไตล์ Bollywood รวมถึงเครื่องหมาย Bindi ที่หน้าผาก
การหยิบยืมทางวัฒนธรรมหรือ cultural appropriation นี้เป็นสิ่งที่เกิดจากการถ่ายเทวัฒนธรรมจากกลุ่มชนชาติอื่นนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ทรงผม ดนตรี การเต้นระบำ การบริหารร่างกาย
cultural appropriation ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งมักจะเกิดจากการขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมผู้อื่นและการแสดงออกที่ตอกย้ำบาดแผลของเจ้าของวัฒนธรรม ชี้ชัดให้เห็นถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของผู้ที่หยิบยืมนำวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ของตัวเองมาใช้ ในขณะเดียวกัน ผู้ที่เป็นต้นแบบนั้นกลับได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในสังคม พวกเขาถูกแบ่งแยกกีดกันจากการใช้วัฒนธรรมของตัวเอง และเมื่อเรียกร้องให้เกิดความเข้าใจและเคารพในวัฒนธรรมของพวกเค้ากลับถูกโต้กลับว่า senstive เกินไป คิดมากไปเองไม่เข้าเรื่อง
cultural appropriation ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งมักจะเกิดจากการขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมผู้อื่นและการแสดงออกที่ตอกย้ำบาดแผลของเจ้าของวัฒนธรรม ชี้ชัดให้เห็นถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชนของผู้ที่หยิบยืมนำวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ของตัวเองมาใช้ ในขณะเดียวกัน ผู้ที่เป็นต้นแบบนั้นกลับได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในสังคม พวกเขาถูกแบ่งแยกกีดกันจากการใช้วัฒนธรรมของตัวเอง และเมื่อเรียกร้องให้เกิดความเข้าใจและเคารพในวัฒนธรรมของพวกเค้ากลับถูกโต้กลับว่า senstive เกินไป คิดมากไปเองไม่เข้าเรื่อง
คุณอาจจะเคยเห็นเครื่องประดับศีรษะของชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน (อินเดียนแดง) บนปกแม็กกาซีน เทศกาลดนตรี Coachella หรือจะเป็นพาร์ตี้ย์กำหนด theme เหมือนกับภาพของคริส เฮมสเวิร์ธ เราหลายคนอาจจะมองว่าเครื่องประดับนี้ดูโดดเด่นเหมาะสำหรับที่จะเป็น fashion accessories
แต่สำหรับผู้ที่สืบเชื้อสายชนพื้นเมืองที่มีจำนวนประชากรเหลืออยู่เพียงน้อยนิดหลังจากที่ถูกรุกรานจากชาวยุโรปผิวขาวที่เข้ามาตั้งรกรากในแผ่นดินอเมริกา เครื่องประดับศีรษะเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ ผู้ที่จะสวมใส่ได้นั้นจะต้องสั่งสมบารมีแสดงความสามารถที่คู่ควรต่อเครื่องประดับนี้ มันไม่ใช่เรื่องของแฟชั่นที่สนุกสนาน แต่มีความสำคัญต่อผู้ที่สืบทอดวัฒนธรรมชนพื้นเมือง มันคือเหตุผลที่ไม่ว่าเมื่อไรที่มีภาพการใส่เครื่องประดับศีรษะนี้เมือไรก็จะมีเสียงท้วงติงถึงความไม่เหมาะสมทุกครั้งไป คริส เฮมสเวิร์ธเป็นหนึ่งในคนดังที่ต้องขออภัยในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นี้
ฟาเรลล์ วิลเลียมส์ เคยถูกโจมตีหลังจากใส่เครื่องประดับศีรษะ War bonnet อันเป็นเครื่องหมายของหัวหน้าเผ่าขึ้นปกนิตยสารแฟชั่น ในอดีต War bonnet จะถูกใช้สวมใส่ในการรบ ซึ่งในปัจจุบันจะถูกใช้ในพิธีกรรมสำคัญเท่านั้น แม้ว่าฟาเรลล์จะเคยเล่าว่าสืบเชื้อสายมาจากชนพื้นเมือง แต่คลิฟฟ์ มาเทียส ผู้อำนวยการแห่ง Redhawk Native American Arts Council ได้ตำหนิว่า " ถ้าเขามีเชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกันก็ควรจะรู้ดีกว่านี้ ถึงคุณจะสืบเชื้อสายชนพื้นเมืองแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิ์จะใส่ War Bonnet คุณได้ทำอะไรให้กับชนพื้นเมืองมาบ้าง คุณเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมใดกันแน่ มันน่าเศร้าถ้าคุณทำได้แค่พูดว่าเป็นชนพื้นเมืองอเมริกันและสามารถจะใส่สิ่งนี้ได้ "
หน่วยงาน Indian Country Media Network แสดงความไม่พอใจเช่นกัน พวกเขาได้เตือนผ่านหน้าเว็บไซต์ว่า "ลองใคร่ครวญตามนี้ดู มีผู้คนอีกเยอะที่ตกตะลึงที่ได้เห็นภาพนี้ พวกเค้ามีความผูกพันลึกล้ำกับวัฒนธรรมชนพื้นเมืองและดำรงชีวิตกับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด หากพวกเค้าบอกว่าภาพนี้สร้างความเจ็บปวดใจให้ นั่นหมายความว่าพวกเค้าเจ็บปวดจริง ๆ "
หลังจากมีกระแสโจมตีด้วย #NotHappy ฟาเรลล์ได้ออกมาแสดงความเสียใจ และยืนยันว่าเขาเคารพและให้เกียรติทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธุ์และทุกวัฒนธรรม"
หน่วยงาน Indian Country Media Network แสดงความไม่พอใจเช่นกัน พวกเขาได้เตือนผ่านหน้าเว็บไซต์ว่า "ลองใคร่ครวญตามนี้ดู มีผู้คนอีกเยอะที่ตกตะลึงที่ได้เห็นภาพนี้ พวกเค้ามีความผูกพันลึกล้ำกับวัฒนธรรมชนพื้นเมืองและดำรงชีวิตกับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด หากพวกเค้าบอกว่าภาพนี้สร้างความเจ็บปวดใจให้ นั่นหมายความว่าพวกเค้าเจ็บปวดจริง ๆ "
หลังจากมีกระแสโจมตีด้วย #NotHappy ฟาเรลล์ได้ออกมาแสดงความเสียใจ และยืนยันว่าเขาเคารพและให้เกียรติทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธุ์และทุกวัฒนธรรม"
ทรงผมกับความเท่าเทียม
เพราะอะไร ทรงผมจึงเข้าไปพัวพันกับความเหลื่อมล้ำในสังคม บางคนอาจจะสงสัยว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็มีสิทธิ์จะจัดแต่งทรงผมตามที่ต้องการโดยไม่ถูกตราหน้ามิใช่หรือ ?
แต่ในสังคมตะวันตกบางประเทศ ผู้คนเชื้อสายแอฟริกันยังต้องแบกรับกับ stigma ที่ถูกยัดเยียดให้ ไม่ว่าจะเป็นผมหยิกฟูตามธรรมชาติและการจัดทรงเพื่อคอนโทรลไม่ให้เส้นผมรบกวนชีวิตประจำวันในรูปแบบของ Cornrows Dreadlocks และเปียแบบต่าง ๆ ถูกตั้งแง่ด้วยทัศนคติที่เหยียดหยาม
เด็กแฝดที่ถูกพักการเรียนและห้ามไปงานพรอมและเข้าชมรมเพราะต่อผมและถักเปียรอบศีรษะ
เด็กหญิงในเท็กซัสถูกล้อเลียนเรื่องผมหยิกฟูตามธรรมชาติ และเมื่อโรงเรียนทราบเรื่อง นอกจากจะไม่จัดการคนที่ bully แล้ว ยังบอกให้แม่ของเธอพาไปยืดผมซะไม่งั้นจะให้เธอออกจากโรงเรียน พอเรื่อนี้กลายเป็น viral โรงเรียนก็มาชี้แจงสั้น ๆ ว่าไม่ได้ให้ไปตัดผมออกซะหน่อย แค่ให้จัดแต่งทรงตามกฎในคู่มือ ในขณะที่เด็ดผิวขาวสามารถปล่อยผมธรรมชาติในโรงเรียนได้
สาวลูกครึ่งพนักงานในช็อป Zara ถูกผู้จัดการติเตียนเรื่องผมเปียที่ดูไม่เป็นมืออาชีพ
ไม่กี่ปีก่อน บางสื่อได้ชี้ให้เห็นว่าหากค้น Google คำว่าทรงผมที่ดูไม่เป็นมืออาชีพในที่ทำงานกับทรงผมที่เป็นมืออาชีพ ผลที่ได้คือ ผมหยิกตามธรรมชาติทีจัดเป็นทรงต่าง ๆ อันเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สืบมาอย่างยาวนานของคนเชื้อสายแอฟริกันนั้นจะอยู่ในหมวดของไม่เป็นมืออาชีพ ตรงกันข้ามกับผมเรียบตรงเงางามของสาวผิวขาว (ปัจจุบัน result จากการ google จะไม่แบ่งแยกตามนั้นแล้วค่ะ เพราะเจอกระแสกดดันรุนแรงทีเดียว)
บางคนอาจจะคิดว่า ทรงผมเหล่านี้มีจุดกำเนิกมาจากวัฒนธรรมฮิปฮอปของชาวอเมริกัน แต่ที่จริงแล้ว เปียและเดรดเหล่านี้เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของชาวแอฟริกันมาเนิ่นนาน ในบางชนเผ่า ทรงผมจะเป็นสัญลักษณ์ของนักรบผู้กล้าหาญ เปียติดหนังศีรษะหรือ cornrows นั้นถือเป็นทรงผมที่สวยงาม และที่สำคัญยังดูแลรักษาได้ง่ายไม่ต้องยุ่งยากใจกับผมที่พันกันเป็นกระจุก แต่ในช่วงเวลาหนึ่ง cornrows เป็นทรงผมต้องห้ามในที่ทำงานในประเทศอเมริกา ทำให้คนเชื้อสายแอฟริกันต้องเรียกร้องให้สังคมเลิกอคติต่อความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของพวกเค้า
มีคนที่คิดว่า ผม dreadlocks คือตัวสัญลักษณ์ของฮิปปี้ แต่ทว่า ผู้นับถือลัทธิ Rastafari ในจาไมก้าได้ไว้ dreadlocks มานมนานก่อนที่บ็อบ มาร์เลย์จะกลายเป็นไอคอนแห่งวงการดนตรีเรกเก้และทำให้ผมทรงนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ด้วยความเชื่อที่ว่าเส้นผมเป็นจุดศูนย์รวมแห่งพลังความแข็งแกร่งและจะไม่ตัดผมออก ทรงผมจึงไม่ได้เป็นเรื่องของความสวยความงามและสไตล์ทันสมัยดึงดูดใจ แต่สำหรับส่วนหนึ่งของสังคม ทรงผมคือการแสดงความภูมิใจในวัฒนธรรมที่ร่วมใจรักษาไว้
ในทางกลับกัน แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่กลุ่มคนเชื้อสายแอฟริกันภาคภูมิใจ แต่เมื่อคนหมู่มากที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมหลักไม่ยอมรับ แสดงท่าทีต่อต้าน สร้างกฎระเบียบห้ามในสิ่งที่พวกเค้าเป็น ความกดดันมันจะเป็นเช่นไร เมื่อคิดภาพออกเลยใช่มั้ยคะ
พวกเค้าจะต้องเจอกับเรื่องทำนองนี้
- ปล่อยผมตามธรรมชาติ ถูกด่าว่าไม่เรียบร้อย เบี่ยงเบนความสนใจจนน่ารำคาญ
- ถัก cornrows ให้เรียบติดหนังศีรษะ ดูเหมือนนักเลงข้างถนน ไม่โพร
- dreadlocks เหมือนพวกชอบเล่นยาหรือโฮมเลส
- ยืดผมให้ตรง สงสัยอยากจะเป็นคนผิวขาวจนต้องเลียนแบบทรงผม
พวกเค้าจะต้องเจอกับเรื่องทำนองนี้
- ปล่อยผมตามธรรมชาติ ถูกด่าว่าไม่เรียบร้อย เบี่ยงเบนความสนใจจนน่ารำคาญ
- ถัก cornrows ให้เรียบติดหนังศีรษะ ดูเหมือนนักเลงข้างถนน ไม่โพร
- dreadlocks เหมือนพวกชอบเล่นยาหรือโฮมเลส
- ยืดผมให้ตรง สงสัยอยากจะเป็นคนผิวขาวจนต้องเลียนแบบทรงผม
แต่เมื่อคนผิวขาวหยิบจับสิ่งนั้นมาแสดงออกทางแฟชั่นแล้วได้รับเสียงชื่นชม โดยเฉพาะคนดังที่สื่อบันเทิงพร้อมใจจะพาดหัวว่าเป็นเทรนด์สุดร้อนแรงจากอิทเกิร์ล
คำว่า culture appropriation ก็กลายเป็นกระแสตีกลับทันที
คำว่า culture appropriation ก็กลายเป็นกระแสตีกลับทันที
แต่เมื่อคนผิวขาวหยิบจับสิ่งนั้นมาแสดงออกทางแฟชั่นแล้วได้รับเสียงยกย่องชื่นชมเป็นผู้นำเทรนด์ โดยเฉพาะคนดังที่สื่อบันเทิงพร้อมใจจะพาดหัวว่าเชียร์ว่ามันจะกลายเป็นลุคที่ฮิทไปทั่ว
คำว่า culture appropriation ก็กลายเป็นกระแสตีกลับทันที
คำว่า culture appropriation ก็กลายเป็นกระแสตีกลับทันที
เมื่อคุณ google คำว่า Kylie Jenner และ Cornrow จะมีบทความเรื่องการฉกฉวยทางวัฒนธรรมจากสื่อต่างๆ เรียงรายเต็มไปหมด จาก TeenVogue , The Guardian , FOX news ไปจนถึง VanityFair แม้หลายคนจะออกโรงโต้ตอบแทนคนดังว่า "จะเอาอะไรกันนักกันหนากับแค่เรื่องทรงผม " แต่ในส่วนหนึ่งของสังคม คุณอาจจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนหรือเสียงานไปเพราะทรงผมที่โดดเด่นในวัฒนธรรมของตัวเอง เมื่อได้เห็นเหล่าอิทเกิร์ลปั่นเทรนด์ขึ้นมาจากสิ่งที่มีอยู่แล้วแต่ไม่เป็นที่ยอมรับ กระแสความไม่พอใจก็ถาโถมขึ้นมา จนในที่สุด สื่อต่าง ๆ ก็ได้เห็นความสำคัญกับการเคลื่อนไหวอันนี้และร่วมส่งสารสู่ผู้คนให้ได้เข้าใจถึงที่มาของการต่อต้าน culture appropriation
อแมนด้า สเทนเบิร์ก ดาราสาวจาก The Hunger Games ได้ทักท้วงไคลี่ เจนเนอร์ที่ดูปลาบปลื้มในเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของคนเชื้อสายแอฟริกันผิวดำ แต่ไม่เคยใช้พื้นที่ในการเป็นคนดังทรงอิทธิพลของตัวเองเป็นปากเสียงให้กับคนดำที่ประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และเธอได้รับคำตอบจากอิทเกิร์ทคนดังว่า "กลับไปเล่นกับเจเดน สมิธซะเถอะ"
สมาชิกบ้าน KarJenner นั้นจะได้รับเสียงวิจารณ์ในเรื่องนี้มาตลอด นอกจากพี่สาวคนโต พวกเธอคบหาแต่ผู้ชายผิวดำจากวงการฮิปฮอปและวงการกีฬา มักนำเสนอรูปลักษณ์และสไตล์ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Black culture มีทายาทเป็นลูกครึ่งผิวดำ แต่น้อยครั้งที่พวกเธอจะพูดถึงปัญหาการแบ่งแยกทางสีผิว (คิมเคยเปิดใจถึงแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างเปิดกว้างโดยเลือกที่จะไม่กังวลในเรื่องสีผิวที่แตกต่างกัน)
สมาชิกบ้าน KarJenner นั้นจะได้รับเสียงวิจารณ์ในเรื่องนี้มาตลอด นอกจากพี่สาวคนโต พวกเธอคบหาแต่ผู้ชายผิวดำจากวงการฮิปฮอปและวงการกีฬา มักนำเสนอรูปลักษณ์และสไตล์ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Black culture มีทายาทเป็นลูกครึ่งผิวดำ แต่น้อยครั้งที่พวกเธอจะพูดถึงปัญหาการแบ่งแยกทางสีผิว (คิมเคยเปิดใจถึงแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างเปิดกว้างโดยเลือกที่จะไม่กังวลในเรื่องสีผิวที่แตกต่างกัน)
เซนดาย่าได้เปิดใจเคลียร์ต่อเรื่องนี้ว่า
"ก่อนอื่นนะคะ เปียพวกนี้ไม่ใช่อะไรใหม่เลย ผู้หญิงผิวดำทำผมแบบนี้มานานมาก และมันเป็นเหตุผลที่พวกเราหงุดหงิดใจ เราใช้มันเพื่อวิธีดูแลรักษาผมและมันก็เป็นทรงผมที่ดูดีด้วย มันเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมและกลุ่มพวกเรามายาวนาน เพราะฉะนั้นพอมันไปอยู่บนหัวของคนอื่นที่ไม่ใช่คนดำ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องกลายเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และสร้างความสนุกสนาน"
"อแมนด้าสาวสุดเจ๋งเพื่อนของชั้นได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมา เธอบอกว่าถ้าสังคมให้ความรักกับคนดำพอ ๆ กับที่รักวัฒนธรรมคนดำก็คงจะดีมากๆ และนั่นคือความจริงค่ะ พวกเราไม่ได้รับเครดิตยามที่แสดงตัวตนที่มีเอกลักษณ์ ผู้คนนำเลือกแต่สิ่งดีๆในวัฒนธรรมเราไปใช้ แต่พวกเค้าไม่อยากรับรู้ถึงปัญหาใดๆ ตอนที่พวกเราคนดำถูกยิงตามถนนหนทางนั่นล่ะ เข้าใจใช่มั้ยคะ คุณต้องเผชิญกับทุกสิ่งร่วมกันสิคะ ไม่ใช่ว่าเลือกแต่อะไรที่คุณรู้สึกสะดวกใจเท่านั้น"
"ก่อนอื่นนะคะ เปียพวกนี้ไม่ใช่อะไรใหม่เลย ผู้หญิงผิวดำทำผมแบบนี้มานานมาก และมันเป็นเหตุผลที่พวกเราหงุดหงิดใจ เราใช้มันเพื่อวิธีดูแลรักษาผมและมันก็เป็นทรงผมที่ดูดีด้วย มันเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมและกลุ่มพวกเรามายาวนาน เพราะฉะนั้นพอมันไปอยู่บนหัวของคนอื่นที่ไม่ใช่คนดำ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องกลายเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และสร้างความสนุกสนาน"
"อแมนด้าสาวสุดเจ๋งเพื่อนของชั้นได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมา เธอบอกว่าถ้าสังคมให้ความรักกับคนดำพอ ๆ กับที่รักวัฒนธรรมคนดำก็คงจะดีมากๆ และนั่นคือความจริงค่ะ พวกเราไม่ได้รับเครดิตยามที่แสดงตัวตนที่มีเอกลักษณ์ ผู้คนนำเลือกแต่สิ่งดีๆในวัฒนธรรมเราไปใช้ แต่พวกเค้าไม่อยากรับรู้ถึงปัญหาใดๆ ตอนที่พวกเราคนดำถูกยิงตามถนนหนทางนั่นล่ะ เข้าใจใช่มั้ยคะ คุณต้องเผชิญกับทุกสิ่งร่วมกันสิคะ ไม่ใช่ว่าเลือกแต่อะไรที่คุณรู้สึกสะดวกใจเท่านั้น"
เมื่อสังคมเริ่มมีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้มากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่มีผู้ออกโรงตำหนิคนดังผู้มีพฤติกรรมแบบ cultural appropriation ไม่ใช่กลุ่มคนเชื้อสายแอฟริกันผิวดำเท่านั้น สื่อดังบางเจ้าก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับ "เทรนด์" นี้ด้วยเช่นกัน
เรื่อง culture appropriation นี้ไม่ได้เป็นประเด็นถกเถียงในโลกตะวันตกเท่านั้น คุณอาจจะผ่านหูผ่านตาดราม่าที่เกิดในวงการ K Pop มาแล้วหลายครั้ง ในขณะที่ผู้คนจำนวนหนึ่งยืนยันว่าสังคมของเกาหลีใต้แตกต่างกับในตะวันตกมาก จำเป็นด้วยหรือที่พวกเขาต้องยอมรับกระแส multicultural เหมือนกับในอเมริกาหรือยุโรป ในเมื่อประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อชาติเกาหลี ทำไมจะต้องใส่ใจว่าสิ่งที่ปรากฎในสื่อจะไปกระทบกระเทือนใจชาวต่างชาติ ?
เมื่อลองวิเคราะห์ถึงการสร้างกระแสดนตรี K Pop ให้โด่งดังไปทั่วโลก ไม่ใช่แต่ชาวเอเชียนเท่านั้นที่ปลาบปลื้มติดตามศิลปินจากเกาหลีใต้ ผู้คนจากหลากหลายประเทศในตะวันตกได้หันมาชื่นชม K Pop แต่บางสิ่งที่ปรากฏในภาพสื่อบันเทิงเกาหลีใต้กลับสร้างข้อโต้แย้งขึ้นมา
คุณจะสัมผัสได้ชัดเจนว่า K Pop รับเอาวัฒนธรรมดนตรีของอเมริกามาปรับให้เข้ากลับความนิยมของชาวเกาหลีใต้ ศิลปินหลายคนได้แสดงออกไม่ต่างจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน แฟชั่น ทรงผม แนวดนตรี
แทยังวง Big Bang ประกาศว่าใฝ่ฝันอยากเป็นที่ยอมรับในวงการดนตรีของชาวอเมริกันผิวดำ "ผมไม่ใช่คนดำ ดังนั้นผมจึงต้องเพิ่มเติมประสบการณ์ที่เจ็บปวด ถ้าต้องการจะปลดปล่อยความรู้สึกและจิตวิญญาณที่คนดำมีผ่านดนตรีของผม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมจึงเชื่อว่าความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานนั้นสามารถทำให้ดนตรีผมลุ่มลึกบาดใจมากขึ้น"
แม้กระทั่งแร็พเพอร์ Zico ยังเคยแร็พว่า จิตวิญญาณของเขาเป็นคนดำ
แต่กลับกลายเป็นว่าคอมเมนท์ทำนองนี้ทำให้คนแอฟริกันผิวดำ(รวมไปถึงชนชาติอื่น) เกิดอาการประมาณขนลุกขึ้นมาทีเดียว
แทยังวง Big Bang ประกาศว่าใฝ่ฝันอยากเป็นที่ยอมรับในวงการดนตรีของชาวอเมริกันผิวดำ "ผมไม่ใช่คนดำ ดังนั้นผมจึงต้องเพิ่มเติมประสบการณ์ที่เจ็บปวด ถ้าต้องการจะปลดปล่อยความรู้สึกและจิตวิญญาณที่คนดำมีผ่านดนตรีของผม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมจึงเชื่อว่าความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานนั้นสามารถทำให้ดนตรีผมลุ่มลึกบาดใจมากขึ้น"
แม้กระทั่งแร็พเพอร์ Zico ยังเคยแร็พว่า จิตวิญญาณของเขาเป็นคนดำ
แต่กลับกลายเป็นว่าคอมเมนท์ทำนองนี้ทำให้คนแอฟริกันผิวดำ(รวมไปถึงชนชาติอื่น) เกิดอาการประมาณขนลุกขึ้นมาทีเดียว
ในขณะที่ผู้คนเชื้อสายแอฟริกันหลายคนชี้ให้เห็นว่า แม้คุณจะหลงรักดนตรีฮิปฮอปและชื่นชม black culture แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะประกาศตัวว่ามีจิตวิญญาณแบบคนดำได้ ไม่ว่าคณจะเติบโตที่ไหนในโลก หากคุณไม่เคยได้พบกับประสบการณ์ที่พวกเค้าได้เจอ
- ตั้งแต่เด็ก คุณอาจจะต้องพบเจอกับผู้คนที่ถูกปลูกฝังให้แบ่งแยกสีผิวไม่เปิดใจยอมรับความแตกต่าง ถูกล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์ หยามหยันด้วย N word คำต้องห้ามที่ถือเป็นการเเหยียดผิวนับแต่สมัยที่ยังมีการค้าทาสคนดำ
- หากเข้าไปในช็อปก็อาจจะไม่ได้การต้อนรับอย่างเต็มใจ ขนาดโอปราห์ที่เข้าไปเลือกซื้อกระเป๋าในช็อปหรูที่สวิสเซอร์แลนด์ยังถูกพนักงานปฏิเสธที่จะหยิบสินค้ามาให้ดูและบอกว่ากระเป๋าใบนั้นแพงเกินไปสำหรับเธอ Gabourey Sidibe ดาราจาก Empire ก็เคยถูกพนักงานช็อป Chanel ปฏิบัติแบบมีอคติจนเธอต้องออกมาเขียนจดหมายระบายความรู้สึก ทำให้แบรนด์ดังต้องออกโรงขอโทษในภายหลัง หรือบางคนถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยเมื่อพิสูจน์ตัวได้ก็ไม่ได้รับคำขอโทษ
- ถูกตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุจนเสียชีวิตไปหลายศพส่งผลให้เกิดการประท้วงลามปลายเป็นจลาจลหลายครั้ง
เป็นระยะเวลายาวนานที่มีการต่อสู้เพื่อทำลายกำแพงอคติของการเหยียดเชื้อชาติ แต่ปัญหานี้ก็ยังปลูกรากฝังลึกในสังคม มันจึงเป็นเรื่องที่สวนทางความรู้สึกของกลุ่มชนเชื้อสายแอฟริกันบางกลุ่มที่ได้เห็นคนเชื้อชาติอื่นประกาศว่ามีจิตญาณคนดำหรือต้องการจะรู้สึกนึกคิดเหมือนกับคนดำ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าพวกเค้าต้องผ่านประสบการณ์ใดมาบ้าง
และที่เจ็บกว่านั้นคือการแสดงออกแบบเหยียดผิวโดยใช้คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์มาขอโทษ
- ตั้งแต่เด็ก คุณอาจจะต้องพบเจอกับผู้คนที่ถูกปลูกฝังให้แบ่งแยกสีผิวไม่เปิดใจยอมรับความแตกต่าง ถูกล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์ หยามหยันด้วย N word คำต้องห้ามที่ถือเป็นการเเหยียดผิวนับแต่สมัยที่ยังมีการค้าทาสคนดำ
- หากเข้าไปในช็อปก็อาจจะไม่ได้การต้อนรับอย่างเต็มใจ ขนาดโอปราห์ที่เข้าไปเลือกซื้อกระเป๋าในช็อปหรูที่สวิสเซอร์แลนด์ยังถูกพนักงานปฏิเสธที่จะหยิบสินค้ามาให้ดูและบอกว่ากระเป๋าใบนั้นแพงเกินไปสำหรับเธอ Gabourey Sidibe ดาราจาก Empire ก็เคยถูกพนักงานช็อป Chanel ปฏิบัติแบบมีอคติจนเธอต้องออกมาเขียนจดหมายระบายความรู้สึก ทำให้แบรนด์ดังต้องออกโรงขอโทษในภายหลัง หรือบางคนถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยเมื่อพิสูจน์ตัวได้ก็ไม่ได้รับคำขอโทษ
- ถูกตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุจนเสียชีวิตไปหลายศพส่งผลให้เกิดการประท้วงลามปลายเป็นจลาจลหลายครั้ง
เป็นระยะเวลายาวนานที่มีการต่อสู้เพื่อทำลายกำแพงอคติของการเหยียดเชื้อชาติ แต่ปัญหานี้ก็ยังปลูกรากฝังลึกในสังคม มันจึงเป็นเรื่องที่สวนทางความรู้สึกของกลุ่มชนเชื้อสายแอฟริกันบางกลุ่มที่ได้เห็นคนเชื้อชาติอื่นประกาศว่ามีจิตญาณคนดำหรือต้องการจะรู้สึกนึกคิดเหมือนกับคนดำ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าพวกเค้าต้องผ่านประสบการณ์ใดมาบ้าง
และที่เจ็บกว่านั้นคือการแสดงออกแบบเหยียดผิวโดยใช้คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์มาขอโทษ
Black face ในสื่อเกาหลีใต้
ครูสอนภาษาอังกฤษในเกาหลีใต้คนหนึ่งได้ระบายว่า มันก็ดีนะที่เห็นพวกเค้าชื่นชอบวัฒนธรรมของพวกเราและสื่อผ่านทางดนตรี แต่มันก็เจ็บปวดที่ได้เห็นพวกเค้าดูถูกพวกเราออกสื่อ
ครูสอนภาษาอังกฤษในเกาหลีใต้คนหนึ่งได้ระบายว่า มันก็ดีนะที่เห็นพวกเค้าชื่นชอบวัฒนธรรมของพวกเราและสื่อผ่านทางดนตรี แต่มันก็เจ็บปวดที่ได้เห็นพวกเค้าดูถูกพวกเราออกสื่อ
ในระยะหลายปีที่เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการสร้างอุตสาหกรรมบันเทิงส่งออกต่างประเทศและมีแฟนๆ หลายเชื้อชาติเพิ่มขึ้นสูง ชาวเน็ทและสื่อออนไลน์ก็เริ่มตื่นตัวในการต่อต้าน Blackface ในสื่อ
Blackface คืออะไร เพราะอะไรจึงถือว่าเป็นการเหยียดผิว?
มันคือใช้เมคอัพหรือเทคนิคตกแต่งให้คนเชื้อสายอื่นมีรูปลักษณ์แบบคนแอฟริกัน ในอดีต การแสดง Blackface นั้นเป็นโชว์ที่มีวัตถุประสงค์ล้อเลียนคนผิวดำสร้างความขำขันให้กับผู้ชมผิวขาว และมีการยกเลิกการแสดงเหล่านั้นไปเนิ่นนานแล้ว
Blackface คืออะไร เพราะอะไรจึงถือว่าเป็นการเหยียดผิว?
มันคือใช้เมคอัพหรือเทคนิคตกแต่งให้คนเชื้อสายอื่นมีรูปลักษณ์แบบคนแอฟริกัน ในอดีต การแสดง Blackface นั้นเป็นโชว์ที่มีวัตถุประสงค์ล้อเลียนคนผิวดำสร้างความขำขันให้กับผู้ชมผิวขาว และมีการยกเลิกการแสดงเหล่านั้นไปเนิ่นนานแล้ว
และแม้ว่าจะถูกตำหนิไปหลายครั้งหลายครา โพรดิวเซอร์ของรายการวาไรตี้บางช่องก็นำ Blackface เข้ามาใส่ในสคริปท์รายการ พวกเค้าให้คนเกาหลีใต้ทาหน้าดำคล้ำ ทาปากให้ใหญ่เกินจริง บางคนใส่วิผมหยิกเพื่อนำเสนอความตลกขบขันให้กับผู้ชม
มีผู้แสดงความเห็นว่า เพราะอะไรโพรดิวเซอร์และตัวคนดังที่แต่ง Blackface จึงรู้สึกว่ามันโอเคที่จะแสดงออกว่ารูปลักษณ์ของมนุษย์ร่วมโลกนั้นดู "ตลก" และปล่อยให้มีภาพที่สร้างความกระทบกระเทือนใจเหล่านี้ออกมา
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายครั้งจนมีคนเข้าไปตั้งแคมเปญเรียกร้องให้ยุติ Blackface ในสื่อเกาหลีใต้
Sam Okyere นายแบบชาวไนจีเรียนที่ไปโด่งดังในวงการ TV เกาหลีใต้ได้เรียกร้องว่า "ผมอยากบอกว่านี่มันรับไม่ได้เลยครับ มันปีไหนแล้วเนี่ย พวกเราไม่ได้มีให้ไว้ใช้เรียกความฮานะครับ เรื่องนี้ควรจะหมด ๆ ไปซักที" เขายังทิ้งคำพูดเตือนใจไว้ว่า แม้สีผิวจะต่างกัน แต่ก็มีเลือดสีเดียวกัน และขอแรงสนับสนุนให้ยุติการเหยียดผิวออกไปจากสังคม