เรื่องราวน่ารู้ของเสื้อผ้าอาภรณ์ชนชั้นสูงยุโรป

58 12
บรรดาพร็อพที่สร้างความโดดเด่นให้กับแฟชั่นของชนชั้นสูงในยุโรปเมื่อหลายศตวรรษก่อนจะมีชื่อเรียกว่าอะไร และที่มาอันน่าสนใจของสิ่งเหล่านี้จะมีอะไรบ้าง   มาติดตามกันได้เลยค่ะ

Panniers


ในยุคปัจจุบัน เราคงไม่ต้องมาคอยตั้งคำถามว่า เสื้อผ้าที่สวมใส่กันนั้นมีความกว้างขนาดไหน แต่หากเป็นยุคแห่งความฟุ้งเฟ้อในราชสำนักยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 17 ต้องบอกเลยว่า ถ้ากว้างไม่พอจนคนอื่นเอื้อมมาถึงตัวได้ง่ายๆ อาจจะต้องเตรียมแต่งองค์ทรงเครื่องกันใหม่!

ไม่เพียงแต่กว้างเท่านั้น  ชุดของสตรีชั้นสูงจะให้ความรู้สึกที่แบน เหมือนกับตรึงกระดานไว้กับท่อนกระโปรง  ส่วนนี่เองที่เรียกว่า  Pannier  (หรือแพนนีเยอร์)     ชุดที่ดูเหมือนกับการหอบม่านติดตัวตลอดเวลานี้อาจจะแตกต่างกับภาพของเจ้าหญิงในจินตนาการ  แต่ก็เป็นเทรนด์ที่ฮิตข้ามศตวรรษเลยทีเดียว
พอพูดถึงPanniers   หลายคนคงนึกถึงภาพของแฟชั่นจากหนัง Marie Antoinette  และสันนิษฐานว่า ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปั้นเทรนด์นี้เหมือนกับอาภรณ์อื่นๆที่โด่งดังในยุโรป   แต่ความจริงแล้ว เป็นราชสำนักในสเปนที่จุดประกายความมิติที่กว้างและแบน  ดังที่ได้ปรากฏในผลงานศิลปะของจิตรกรชื่อก้อง  Velázquez  
ที่มาของชื่อpanniers มาจากตะกร้าแพคคู่บรรจุขนมปัง (หรือสิ่งของอย่างอื่น) ที่มีม้าหรือลาแบกไว้ทั้งสองด้าน     ซึ่งตรงกับconcept ของการสานโครงสร้างชุดที่เน้นความกว้างของช่วงสะโพกนั่นเองค่ะ  วัสดุของที่ใช้ทำโครงสร้างนี้ก็มีทั้งโลหะ  ไม้เหลา  หรือกระดูกปลาวาฬ

panniers ถูกจับคู่กับช่วงบนที่คอดกิ่วด้วย corset ที่ดูส่วนทางกับความกว้างของช่วงล่าง  ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18    สตรีในราชสำนักจะใส่ panniers ที่กว้างมากๆ อาจจะถึง 7 feet ในงานสังคมที่เป็นทางการ   และกว้างแบบเบาๆในวันทั่วไป   ด้วยความกว้างในระดับนี้  ทำให้ fashionista ชั้นสูงในยุคนั้นไม่สามารถเดินผ่านประตูพร้อมๆ กันสองคนได้   อย่าว่าแต่เดินผ่านประตูเลย  จะนั่งเสวนาประสาไฮโซก็ต้องทำมุมให้พอดีเพื่อจะเอื้อมตัวไปกระซิบเม้ามอยกันได้



Crinoline

โครงสร้างที่กว้างและแบนแบบ panniers อาจจะไม่ได้เป็นชุดสไตล์เจ้าหญิงในอุดมคติของหลายคน      แต่สิ่งที่ตราตรึงใจพวกเรากลับเป็นกระโปรงที่มีมี volume พองฟู  เวลาคนดังใส่เดรสแบบนี้บนพรมแดงเมื่อใดก็ถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยายอยู่เรื่อยไป   และภาพของเจ้าหญิงในนิยายก็นำมาจากความจริงนั่นเองค่ะ   ตัวช่วยที่ทำให้ท่อนล่างของชุดที่แสนงดงามดุจความฝันเรียกว่า Crinoline ค่ะ


crinoline ได้ก้าวเข้ามาแทนที่ panniers ที่เสื่อมความนิยมลงไปในศตวรรษที่ 19    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้รับการพัฒนาให้วนเวียนปรากฏในผลงานจากห้องเสื้อจนถึงยุคปัจจุบันนี้   ชื่อของใันมาจากคำว่า crin (ขนม้าในภาษาฝรั่งเศส) ผสมกับ cotton และ linen    ซึ่งเป็นวัสดุดั้งเดิมในการตัดเย็บกระโปรงชั้นในที่เพิ่มความvolumeให้กับชุด  และสร้างความนิยมข้ามไปลายประเทศเมื่อมีการคิดค้นโครงที่ทำจากโลหะขึ้นมาแทนกระโปรงขนม้า
  Crinoline  ถูกสร้างขึ้นมาใน Parisในกลางศตวรรษที่19  และเพียงเวลาไม่นาน มันก็ได้กลายเป็นเทรนด์สุดเปรี้ยงปังสั่นสะเทือนยุโรป   ดังที่หลายคนน่าจะได้ยินมาก่อนว่า  ยามที่ผู้ดีฝรั่งเศสเค้าอินอะไรกันสักอย่าง    ผู้ดีในประเทศในละแวกเดียวกันก็เกาะเทรนด์ตามไปด้วย  ในช่วงแรกที่โรงงานผลิตสุ่มกระโปรงขึ้นมาก็ไม่ใหญ่กินที่กินทางเท่าใดนัก  แต่ยิ่งนานวันไปก็เกิดแนวคิดว่า สุ่มยิ่งใหญ่ตู้มสิยิ่งหรูเริ่ด!   วิธีการแต่งตัวก็แทบจะปีนบันไดแต่งกัน  เหล่าสาวรับใช้ต้องสาละวนช่วยนายหญิงใสสุ่ม ชวนให้เหนื่อยแทนเลยทีเดียว


Crinoline เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกชนชั้นเอื้อมถึง ไม่ได้ปรากฏในราชสำนักที่แสนฟุ้งเฟ้อเท่านั้น ความคลั่งไคล้ในกระโปรงสุ่มมหึมานี้ถูกตั้งฉายาว่า Crinolineomania และถูกจิกกัดไว้อย่างเจ็บแสบ  จากมุมมองของสุภาพบุรุษที่เห็นหญิงสาวเดินออกจากบ้านอย่างทุลักทุเลเพราะต้องหอบกระโปรงที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล  รวมไปถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระราชินี Victoria แห่งอังกฤษได้ขอให้แขกรับเชิญในพิธีเสกสมรสของพระธิดางดสวมใส่ crinoline  เพราะเกรงว่ากระโปรงสุ่มจะกินบริเวณของสถานที่จัดงานจนเบียดเสียดกันจนเกินไป!    ( แม้ว่าพระองค์จะเคยใส่crinoline หลายครั้งก็ตาม) 


เราพอจะเข้าใจว่าเหตุใดมันจึงมีกระแสต่อต้านขึ้นมา   เพราะมันดูไม่เข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันจริงๆ  แม้แต่การเต้นรำในงานสังคมอันหรูหรา  หากเป็น crinoline  ขนาดใหญ่ที่สามารถดึงดูดความสนใจจากแขกเหรื่อในงาน แต่ถ้ามีสุภาพบุรุษรูปงามมาขอเต้นรำแล้ว  อาจจะดูกระอักกระอ่วนจากการยืดสุดแขน  การโอบแนบชิดอาจจะไม่เกิดขึ้น


กระโปรงสุ่มอาจจะเป็นชุดในฝันของผู้หญิงหลายคนที่อยากจะลองสัมผัสความรู้สึกที่เหมือนกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย   แต่ในยุคที่มันเป็นไอเท็มที่ผู้หญิงใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง  ก็ถูกถือได้ว่าเป็นการสวมใส่ความเสี่ยงให้กับตัวเองไปด้วย  เพราะเนื้อผ้าที่ยาวเหยียดและความไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวทำให้ผู้หญิงไม่สามารถเอาตัวรอดเมื่อกระโปรงถูกประกายไฟเผาไหม้  ตัวเลขการเสียชีวิตจากสาเหตุไฟคลอกในขณะที่สวม crinolineจำนวนไม่น้อยยิ่งสร้างเสียงวิจารณ์ในแง่ลบ   ไม่รวมถึงอุบัติเหตุที่ชุดไปเกี่ยวกับเครื่องเรือน พาหนะ หรือถูกเท้าคนอื่นเหยียบ   เทรนด์นี้จึงเริ่มจางหายไป  ถึงจะเริ่มกลับมาเป็นที่นิยมใหม่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ไม่ใช่ชุดลากพื้น แต่เป็นชุดกระโปรงสุ่มความยาวระดับเลยครึ่งน่องและไม่พองมากนัก      



Pelisse



ถ้าคุณเป็นแฟนการ์ตูนตาหวานเหมือนกับผู้เขียน น่าจะคุ้นเคยกับแนวทะลุมิติที่มีพระเอกสุดหล่อเป็นเจ้าชายหรือขุนนางระดับสูง คุณนักเขียนหลายคนได้ประยุกต์แฟชั่นที่พบได้จาก portrait ต่างๆเหล่าผู้ดีในยุโรปมาผสมผสานกับจินตนาการ เมื่อได้เจอบางสิ่งในผลงานการ์ตูนหลายเรื่อง ก็เริ่มมีคำถามที่ค้างคาใจว่า

"เพราะอะไรจึงต้องพาด jacket ไว้เอียงๆด้านเดียว ?" 
jacket ที่ว่านั้นมีชื่อเรียกคือ  pelisse  เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบทหารม้า  บุรุษตระกูลสูงได้วางมาดเท่เป็นนายแบบภาพวาดเหมือน  นั่นก็อาจจะมาจากความภาคภูมิใจในความเป็นชายชาติทหาร  แม้บางคนจะไม่เคยต่อสู้ในสนามรบจริงๆ

หน่วยรบทหารม้าได้สร้างชื่อเสียงเกรียงไกรในยุโรปกลางโดยมีจุดเริ่มที่Hungary ในศตวรรษที่15 แล้วทั่วยุโรปก็ได้นำแนวทางการฝึกฝนนักรบเพื่อแสดงแสนยานุภาพกองทัพในการห้ำหั่นกันในศึกสงคราม เครื่องแบบทหารม้าในแต่ละประเทศอาจจะมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาคือpelisse jacket ตัวสั้นที่พาดไว้ที่ไหล่ซ้ายของนายทหาร ซึ่งจะมีตัวช่วยยึดไม่ให้เสื้อเลื่อนหลุดลงไป ดีไซน์ของpelisseจะสอดคล้องกับเสื้อด้านใน ทั้งการปักแถบ กระดุมมาเป็น set นั่นเองค่ะ

เหตุผลที่พาดเสื้อไว้ที่ก้านซ้าย ไม่สวมใส่ไปตามปกติเป็นเพราะว่า pelisse  จะทำหน้าที่คล้ายกับเกราะที่ป้องกันคมดาบจากศัตรู   ซึ่งการใส่เกราะนั้นไม่ได้เหมาะกับการทำศึกในตามรูปแบบของทหารม้าเบาที่ใช้ความเร็วในการต่อสู้    แม้มันจะไม่ได้มีความแข็งแรงพอจจะต้านทานอาวุธ แต่ก็อาจจะลดบาดแผลหนักให้เป็นเบาได้
จะเห็นจากภาพเหมือนได้ว่า เหล่าเชื้อพระวงศ์และชายจากตระกูลสูงส่งจะไม่ปลด pelisse ออก   เพราะเป็นนายแบบในภาพที่จะถูกเก็บรักษาสืบทอดต่อคนรุ่นหลังทั้งมีก็ต้องมาแบบเต็มยศ 

pelisse ค่อยๆหายไปในปลายศตวรรษที่19  แต่ก็มียังมีใช้อยู่บ้าง   จนกระทั่งรูปแบบการสู้รบได้เปลี่ยนไป   ไม่ได้ขี่ม้ารบราฆ่าฟันก็เหมือนในอดีต   แต่ก็ยังมีประเทศที่มีกองทหารม้าที่ใส่ pelisse คือ Denmark ค่ะ

เครื่องแบบทหารม้าได้ส่งอิทธิพลต่อแฟชั่นในยุค Regency จนมี pelisse ในเวอร์ชั่นสำหรับเลดี้  ซึ่งมันไม่ได้เป็น jacketพาดไหล่ แต่เป็นเสื้อคลุมตัวยาวเย็บชายติดกับเฟอร์ที่ fit กับรูปร่าง และมีดีไซน์การปักและขดเชือกเหมือนแฟชั่นทหาร  แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีการสร้างสรรค์ชุดคลุมนี้ให้ดู feminine มากขึ้น และไม่จำเป็นต้องใช้เฟอร์ให้เหมือนกับทหารม้าแบบเป๊ะๆ

  item นี้ถูกกล่าวถึงในนิยายในยุค Regency   ตัวนักประพันธ์ชื่อก้องโลกอย่าง Jane Austen ก็เคยระบุมนจดหมายว่า เธอสวมใส่ pelisses เช่นเดียวกัน


Cravat



ก่อนที่จะมี necktie และ bow tie (หูกระต่าย)    cravat คือสัลักษณ์ของสุภาพบุรุษยุค Regency  พวกเค้าต้องใส่ใจกับการพันผ้ารอบลำคอ  ถึงขนาดต้องมีคู่มือสอนวิธีผูก cravat ในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อเสริมความมั่นใจ  

ที่จริงแล้ว หนุ่มผู้ดีทั้งหลายอาจจะไม่ต้องเรียนรู้วิธีผูก cravat แต่เป็นข้ารับใช้ที่รับหน้าที่แต่งองค์ทรงเครื่องให้คุณชายเหล่านี้ดูหล่อเหลาที่สุด

แต่เมื่อได้เห็นจากหลายๆตัวอย่างแล้ว ความปลาบปลื้มต่อคอเสื้อสูงชนติ่งหูของหนุ่มๆก็อาจจะปิดโอกาสไม่ให้ใครได้เห็นลำคอ นอกเสียจากจะเปลื้องผ้าให้ดูต่อหน้า!

trendsetter ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการผูก cravat แห่งยุค Regency คือ Beau Brummell ดาวสังคมที่ทุ่มเททั้งเงินทองและเวลาหลายชั่วโมงต่อวันในการแต่งองค์ทรงเครื่องจนผู้ดีหนุ่มหลายคนเริ่มเอาอย่าง รวมไปถึงเจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทน มีผู้บัยทึกถึงแฟชั่นผูก cravat ของเขาไว้ว่า ปกเสื้อของเขาใหญ่ถึงขนาดที่เมื่อยังไม่พับลงมาก็สามารถซ่อนทั้งใบหน้าไว้ในคอเสื้อได้เลย ส่วนผ้าที่ใช้ผูกcravat ก็ตั้งขึ้นมาวัดได้เป็นฟุต แล้วบรรจงค่อยๆพับลงมาให้มีขนาดที่พอเหมาะด้วยความพิถีพิถัน ทั้งยังจับจีบให้ดูมีมิติตามที่ต้องการ

ทีจริงแล้ว cravat ไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นในยุค regency แต่ได้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยโรมัน  การใช้ผ้าขาวพันรอบคอแล้วผูกในรูปแบบต่างๆเริ่มได้รับความนิยมไปหลายประเทศทั่วยุโรปนับตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้า Louisที่ 14 แห่งฝรั่งเศส  หลังจากพ่อค้าชาวโครแอทได้เดินทางมายัง Paris   แฟชั่นการผูกผ้าที่คอของพวกเขาได้สร้างความอยากรู้อยากเห็นระคนชื่นชมจากชาวฝรั่งเศส  กำเนิดเป็นเทรนด์ร้อนแรง และพัฒนารูปแบบมาเรื่อยมา



Pierre Jean Georges Cabanisนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่มาพร้อมกับความเยอะของ cravat   ดูเผินๆแล้วเหมือนใส่เฝือกคอ!

สำหรับยุคใหม่ necktie ก็คือ cravat ที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบมาแล้ว เห็นได้ชัดเจนจากภาษาฝรั่งเศสที่เป็นแหล่งกำเนิดคำนี้ขึ้นมา นั่นก็คือ la cravate ซึ่งหมายถึงnecktie นั่นเอง

แต่ถ้าจะให้ยกสไตล์ที่ทำให้นึกถึงกับการผูก cravat ในศตวรรษก่อนๆก็คงเป็น ascot tie ที่ใช้necktie ขนาดใหญ่กว่าทั่วไปผูกแล้วซ่อนปลายไว้ใต้เสื้อ  ถึงจะไม่ได้รับความนิยมเท่ากับ necktie  แต่ก็พบเห็นได้ในบางโอกาส  


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE