เจาะตำนานแฟชั่น Godmother Of Punk: Vivienne Westwood

34 9

เพียงไม่กี่วันก่อนจะสิ้นสุดปี 2022 โลกแฟชั่นก็ต้องพบกับข่าวที่สร้างความอาลัยอีกครั้ง หลังจากที่ Vivienne Westwood ดีไซน์เนอร์ชื่อก้องโลกได้ลาจากโลกใบนี้ไปอย่างสงบในวัย 81 ปี

เมื่อถึงชื่อของเธอก็อาจจะทำให้ผู้คนระลึกถึงชื่อเสียงอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฉายาราชินีแห่งแฟชั่นบริทิช, เจ้าแม่แฟชั่นพังค์, ผมสีส้มที่เป็น signature, ชุดแต่งงานของ Carrie จาก Sex And The City, ดีไซน์เสื้อสโลแกนเจ็บๆ และอีกหลายผลงานสุดเริ่ดบนพรมแดงที่เหล่า A Listers ปลาบปลื้ม แน่นอนว่าการต่อสู้กับปัญหาปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยิ่งตอกย้ำตัวตนที่เป็นขบถสังคมของ Vivienne Westwood ให้ตราตรึงใจผู้คนยาวนานหลายทศวรรษ






ตัวแม่สุด Bad-Ass ตลอดกาล

"ฉันมีตัวตนแบบขบถสังคมไม่แปรเปลี่ยน พังค์เป็นการประท้วงรูปแบบหนึ่ง   แฟชั่นคือการประกาศว่า เราจะไม่ยอมรับสิ่งที่คุณมองเป็นเรื่องต้องห้าม  เราจะไม่ยอมรับการใช้ชีวิตแบบปากว่าตาขยิบของคุณ"

ในยุค 70s Vivienne ในวัยสาวใฝ่ฝันจะใช้แฟชั่นเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด แต่เธอเกลีบดชังความเป็นฮิปปี้ที่เป็นกระแสยอดนิยมในช่วงนั้น  เธอและMalcolm McLaren ผู้ที่เป็นทั้งหุ้นส่วนและคู่รักตัดสินใจเปิดร้านเสื้อผ้า  Let it Rock ในย่าน  Chelsea เพื่อนำเสนอแฟชั่นจากยุค 50s ที่เหล่าหนุ่มสาวหันมาต่อต้านสังคมผ่านแฟชั่น  จากนั้นก็รีแบรนด์ร้านและสไตล์มาเรื่อยๆ  จนกระทั่ง Malcolm ได้ก้าวไปรับหน้าที่ผู้จัดการให้กับวงพังค์ Sex Pistols   ทั้งสองได้ดึงดูดความสนใจจากสื่อด้วยแฟชั่นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความคลั่งไคล้ทางเพศและสไตล์พังค์ในบูทีคที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น SEX  ในปี 1974


เสื้อยืดขาดรุ่ยที่เพนท์สโลแกน กางเกงลายตารางหมากรุกที่มีสายรัดเกี่ยวขากางเกง เสื้อถักนิตที่มีรู ฟังดูแล้วไม่ต่างจากตัวละครใน Nana มังงะยุค 2000s อันโด่งดัง แต่นั่นก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะมันคือผลงานที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Vivienne Westwood และ Sex Pistols มาเต็มๆ




คำว่า'อื้อฉาว' และ 'ยั่วยุ'ให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้อยู่คู่กับผลงานของ Vivien  เสมอมา  แต่ดีไซน์ที่หลายคนมองว่าดูฉาวโฉ่นั้นมาพร้อมกับพลังขับเคลื่อนบางอย่าง ดัง The Tits T - shirts หรือเสื้อลายนมที่สมาชิกวง Sex Pistols และ Siouxsie Sioux เคยใส่   ท้าทายแนวคิดของการปกปิดเรือนร่างของเพศหญิง  และโชว์ความย้อนแย้งของแฟชั่นที่แม้จะใส่เสื้อผ้าแต่ก็ยังรู้สึกเปลือยเปล่า  มันกลายมาเป็นไอเท็มที่ทั้งผู้หญิงผู้ชายกลุ่มหนึ่งชื่นชอบ และถือเป็นการถ่ายทอดอัตลักษณ์แบบ gender fluid (ในปัจจุบัน เสื้อผ้าพิมพ์ลายรูปร่างเปลือยกลับมาได้รับความนิยมสุดๆ)



โลกแฟชั่นหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่หยุดยั้ง  Vivienne ไม่ได้มุ่งมั่นกับการสร้างสรรค์เสื้อผ้าสไตล์พังค์เพียงเท่านั้น ได้ก้าวสู่ era ใหม่ที่เธอได้เดบิวท์ผลงานใน fashion week เป็นครั้งแรกในต้นยุค 80s และได้ขนานนามไว้ว่า New Romantic และจากปลาย 80s ไปจนถึงค้น 90s ก็พลิกแนวมาเป็นสไตล์สุดดิบ  Pagan  Years   เธอกันมาล้อเลียนการแต่งกายของชนชั้นสูง   หนึ่งในผลงานเด่นคือ  mini-crini  ที่ได้แรงบันดาลใจจากกระโปรงสุ่มของสตรีในศตวรรษที่ 19 มาออกแบบเป็นชุดสั้นระดับ mini  ซึ่งพิสูจน์ถึงการปลดแอกตัวตนของผู้หญิงในอดีตที่ต้องแบกรับความอึดอัดเพื่อแฟชั่นอันสวยหรูตามจารีตค่านิยมดั้งเดิม



ชื่อเสียงในวงการแฟชั่นทำให้แบรนด์  Vivienne Westwood  เป็นเครื่องมือการันตีความโดดเด่นบนพรมแดง  ท่ามกลางการแข่งขันสูงลิบลิ่วของห้องเสื้อที่มีชื่อเสียงเก่าแก่จากยุโรป   ชุดราตรีที่แสนเลิศหรูผลงานการออกแบบของเธอได้รับการยกย่องให้เป็นชุดที่สวยที่สุดในอีเวนท์อย่างสม่ำเสมอ 

ความเผ็ดแซ่บที่ไม่มีกาลเวลามาเป็นอุปสรรค

บางคนยืนยันว่า ผ่านไปนานเท่าไร เราก็จะได้เห็น Vivienne Westwood โชว์เรียวขาและใส่ชุดสวยล้ำ แต่ภาพที่ยังประทับในความทรงจำของผู้คนมากมายย่อมหนีไม่พ้น ลุคในวันเข้ารับพระราชทานเครื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด้จพระราชินี Elizabeth ในปี 1992 แม้ว่าเธอจะใส่ชุดที่ดูเรียบร้อยตรงกับ dresscode แต่เมื่อต้องโพสต่อหน้าช่างภาพก็สะบัดกระโปรงเผยให้เห็นภายในที่มีแต่ถุงน่องเต็มตัวโปร่งบางเพียงอย่างเดียว กลายมาเป็นตำนานเข้าเฝ้าประมุขราชวงศ์แบบไร้กางเกงชั้นใน แต่แม้ว่าภาพนั้นจะสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวางถึงความไม่เหมาะสม ในปี 2006 สำนักพระราชวังก็เรียกตัวเธอกลับมาเพื่อรับพระราชทาน DBE เลื่อนยศเป็นคุณหญิง

"ฉันได้พบกับชายผู้หนึ่งที่ทำงานเพื่อสมเด็จพระราชินี และเขาบอกว่าท่านออกจะขำกับเรื่องนี้อยู่นะ"

เมื่อถูกถามว่า ไม่ใส่ชุดชั้นในมาเข้ารับพระราชทานเครื่องราชฯ ทั้งสองครั้งหรือไม่? เธอก็ยอมรับว่า ติดนิสัยไปแล้ว

"อย่าถามเรื่องนี้อีกเลย  ฉันยังยืนยันคำตอบเดิม  ฉันไม่ใส่กางเกงชั้นในกับเดรส แต่ถ้าเป็นกางเกงก็อาจจะใส่ บ็อกเซอร์ผ้าไหมของสามีฉันน่ะ"



ในขณะหลายฝ่ายมองว่า นี่คือการแสดงออกถึงจิตวิญญาณของผู้ต่อต้านระบบ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่า เธอแค่ไม่อยากฝืนตัวตนเท่านั้น


ผ่านไปหลายสิบปี  Vivienne ก็ยังแสดงท่าทางซุกซน   สามีขอเธอมักจะแชร์ภาพภรรยาผู้โด่งดัง mix and match เสื้อผ้าจนสวยปิ๊ง ไม่ว่าจะเป็นวันอยู่บ้านสบายๆ หรือตอนแต่งจัดเต็มเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมกล่าวสุนทรพจน์เรื่อง climate change   ไม่ว่าจะเป็น little black dress, hot pants, mini skirt, bodycon   และยังใส่เสื้อยืดพิมพ์ลายหน้าอกเปลือยไม่ต่างจาก punk star ยุค  70s  และสัมผัสได้ชัดเจนว่า ความสนุกสนานใน fashion ไม่เคยเสื่อมหายไป

บทบาทนักเคลื่อนไหวเพื่อโลก

การเรียกร้องให้ผู้คนมีจิตสำนึกต่อสถานการณ์ climate change ด้วยการโกนศีรษะนั้นอาจจะทำให้หลายคนคิดว่า เธอมุ่งมั่นเพื่อแสดงอุดมการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ที่จริงแล้วเธอได้ร่วมหลายแคมเปญเพื่อสังคม เช่นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การต่อต้านสงคราม ต่อต้านการใช้อำนาจคอร์รัปชัน


จากยุค 70s ที่เคยขายเสื้อยืดสโลแกนที่มีคำว่า Destroy เมื่อเข้าสู่วัยอาวุโสเธอได้ใส่เสื้ออพรินท์สโลแกนเพื่อโพรโมทเรื่อง climate change ให้เห็นจนชินตา หรือแม้กระทั่งสโลแกนที่แนะนำผู้คนให้ซื้อเสื้อผ้าน้อยลง และโฟกัสเรื่องการเลือกสรรวัสดุนำมาใช้ได้ยาวนานเพื่อความยั่งยืนจากสโลแกน Buy Less Choose Well Make It Last

แต่การนโยบาย green movement ของ Vivienne ก็เคยถูกตั้งข้อกังขาจากสินค้าของแบรนด์ที่ผลิตในจีนและใช้วัสดุต่างๆที่ผลิตจากสารเคมี จนสื่อบางเจ้าตั้งข้อกล่าวหาว่า เธอใช้เรื่องรักษ์โลกมาเป็นเครื่องมือทางการตลาด สายตาที่จ้องจับผิดนั้นไม่ได้ทำให้เธอหยุดยั้งการเคลื่อนไหว ทั้งเข้าร่วมกับองค์กรการกุศลหลายแห่งและประกาศอุดมการณ์ผ่านผลงานดีไซน์บนรันเวย์จนถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของแบรนด์



ก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไป เธอได้ฝากคำสั่งเสียไว้ว่า "ทุนนิยมคืออาชญากรรม มันคือรากเหง้าของปัญหาสงคราม ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและคอร์รัปชั่น
ทีมงายของ Vivienne ยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เธอยังทำสิ่งต่างๆที่มีใจรักจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ทั้งการออกแบบ งานศิลปะ เขียนหนังสือ และพยายามเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีกว่าเดิม



"ฉันไม่ใส่ใจว่าจะถูกยกย่องเป็น icon หรือไม่    ถ้าฉันตายไปสักสิบปีก็คงไม่มีใครจำฉันได้แล้ว มันก็ไม่เห็นจะเป็นไรไป ฉันไม่แคร์  ที่จริงก็หวังไว้บ้างว่าธุรกิจนี้ยังจะดำเนินไปได้ แต่มันน่าคงไปได้ดีเพราะ Andreas (สามีคนที่ 3 ที่ใช้ชีวิตคู่และร่วมงานสร้างสรรค์แฟชั่นมาถึง 30ปีจนกระทั่งความตายทำให้พรากจากกัน) จะยังจดจำฉันได้เสมอและมั่นใจได้ถึงวิธีการทำงานร่วมกันแบบฉบับ Vivienne และ Andreas แต่ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น ฉันแค่อยากจะช่วยเหลือโลกของเราและใช้ชีวิตเต็มที่"


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE