รีวิวเปรียบเทียบคุชชั่นเกาหลี 15 รุ่น จากประสบการณ์ที่เคยใช้ Cushion มากว่า 20 รุ่น
Jip 59 25สวัสดีค่าาาา วันนี้จิ๊บจะมาแชร์เรื่องราวของ Cushion ยอดฮิตจากเกาหลี
เมื่อปีที่แล้วจิ๊บไปเกาหลีมาเลยสอยกลับมาตรึม + ที่เคยซื้อๆมา
จริงๆแล้วจิ๊บรู้จักกับ Cushion มานานมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ทำออกมาเลยประมาณ 2 ปีก่อน
จากนั้นก็ชอบในผลิตภัณฑ์ Cushion หรือ คุชชั่น เรื่อยมา
Cushion คือ อะไร ?
ขออธิบายง่ายๆให้คนที่ไม่รู้จักฟังก่อนเนอะ คุชชั่นคือรองพื้น หรือ บีบี ซีซี ชนิดหนึ่ง
มาในรูปแบบตลับ ซึ่งมักจะบรรจุอยู่ในฟองน้ำอีกทีหนึ่ง
เวลาเปิดจะเลยจะมีหน้าตาเป็นเหมือนฟองน้ำสีเนื้อ เมื่อจิ้มๆดูก็จะมีเนื้อรองพื้นติดขึ้นมา
ซึ่งจะให้ความรู้สึกที่บางเบากว่ารองพื้น ไม่ปกปิดเท่า แต่โชว์ความใสของผิวได้ดีกว่า
ถ้าคุณต้องการลุคปกปิดกริ๊บ เนี๊ยบ โบกคุชชั่นจะสู้การโบกรองพื้นไม่ได้ค่ะ
ทีนี้วิธีการใช้งานนั้นก็คือใช้พัฟที่ให้มา แตกต่างกันตามนวัตกรรมของแต่ละแบรนด์
รวมถึงเนื้อฟองน้ำที่อุ้มเนื้อคุชชั่นไว้ก็แตกต่างกันตามการดีไซน์ของแต่ละแบรนด์เช่นกัน
ส่วนมาก คุชชั่นจะมีปริมาณ 15 กรัม ซึ่งน้อยกว่ารองพื้นมากกกกก
จึงมักจะมี รีฟิลให้ถอดเปลี่ยนได้ และทำรูปแบบตลับน่ารักๆแตกต่างกัน
เพื่อดึงดูความสนใจจากผู้บริโภคอย่างเราๆค่ะ ส่วนมากแต่ละยี่ห้อจะใส่รีฟิลกันและกันไม่ได้
แต่ก่อนอื่นขออธิบายสั้นๆด้วยภาพเลยค่ะ
หลายๆคนเข้าใจว่า Cushion คือแป้ง เอาจริงๆตามต้นกำเนิด เค้าคือ รองพื้น บีบี ซีซี ค่ะ
แต่เนื่องจากประเทศต้นกำเนิดมีอากาศเย็น จึงทำให้สามาถใช้ทาเพียวๆแทนแป้งได้
ไม่ใช่แป้งน้ำนะคะ คือบางรุ่นทาแล้วแมตต์ แต่สำหรับประเทศไทยก็อยากแนะนำให้ทาแป้งฝุ่นตาม
สำหรับประเทศไทยที่เป็นเขตร้อน และ ชื้น การใช้คุชชั่นอย่างเดียวจิ๊บว่าจะทำให้เยิ้มต่อให้ผิวแห้ง
จากการทดลองกับตัวเองมาตลอด พบว่า ต่อให้เป็นรุ่นแมตต์ คุมมัน นางก็ยังเป็นรองพื้นชนิดนึง
หลายๆคนถามเข้ามาว่า ทาคุชชั่นแล้วต้องทารองพื้นไหม๊ หรือทาแป้งแล้วทาคุชชั่นตามหรือยังไง
เลือกอย่างใดอย่างนึงค่ะ รองพื้น หรือ คุชชั่น จากนั้น ปัดแป้งฝุ่นเบาๆ ย้ำว่า
ไม่ควรใช้แป้งผสมรองพื้นค่ะ เพราะถือว่าทารองพื้นแล้ว อย่าโบกเพิ่มอีกชั้น จะทำให้เกิดคราบได้
แป้งผสมรองพื้น ไว้ใช้งานระหว่างวัน ตอนคุชชั่นเริ่มหายไปจะดีกว่าค่ะ ( ความเห็นส่วนตัวจิ๊บ )
ซึ่งพบเห็นมากมาย นอกเหนือจากการใช้ผิดเบอร์ คือการเข้าใจว่าผิวจะสวยเด้งแบบสาวเกาหลี
กลับกลายเป็นว่า ผิวหน้าไม่ได้ฉ่ำวาว แต่มันเลื่อม สองคำนี้มีเส้นบางๆกั้นอยู่ และการเลือกใช้ผิดสี
ซึ่งการใช้แป้งฝุ่น เป็นตัวซับเหงื่อขั้นแรกที่ออกมาจะทำให้ผิวก็ยังเด้งและฉ่ำวาวได้อยู่
มาดูคุชชั่นในความครอบครองของจิ๊บกันบ้าง ( จริงๆมีอีกบางยี่ห้อที่ได้ลองแต่ไม่มีตลับ
เพราะได้มาแต่ตัวรีฟิล ก็ไม่เอามานับละกัน ตามรูปด้านล่างนี้จิ๊บเคยใช้มาไม่ต่ำกว่า 20 รุ่น )
ในนี้มีของ L'Oreal ที่ไม่ใช่ของเกาหลี 1 รุ่นค่ะ
แต่หลายๆรุ่นที่เอามาถ่ายรวมด้วย บางอันหมดไปแล้ว
บางอันเป็นรุ่นแรกที่แบรนด์ทำออกมา และไม่ได้มีจำหน่ายแล้ว
รวมไปถึงบางรุ่นถูกปรับสูตรไปหลายรอบมาก
จิ๊บเลยจะขอพูดถึง 15 รุ่นตามด้านล่างนี้นะคะ ซึ่งเป็นรุ่นที่ออกเมื่อปีที่แล้ว
และออกมาในปีนี้ ยังสามารถหาซื้อตามกันได้อยู่ค่ะ
ส่วนมากเป็นที่ซื้อมาจากเกาหลี บางยี่ห้อเลยจะหาซื้อในไทยไม่ได้
อาจจะต้องฝากหาร้านพรีออเดอร์เอานะคะ
จะแบ่งเป็น 3 แถว เริ่มจากด้านบนสุด Hi-End เกาหลี
แถวกลางเป็น Mass brand และแถวล่าง กึ่งแมส แต่มีแพคเกจชนะเลิศ
กับแบรนด์หนึ่งที่เป็นแบรนด์ไทยแต่ผลิตโรงงานเกาหลีค่ะ
เปิดออกมา ก็จะมีพัฟ และด้านฝาก็จะเป็นกระจกค่ะ
ส่วนพัฟก็แตกต่างกันไปตามดีไซน์ ช่วงหลังๆเริ่มเน้นขายแพคเกจมากขึ้น
พัฟเลยจะมีการสกรีนลาย น่ารักกุ๊กกิ๊ก สังเกตได้เลยว่าแถวล่างพัฟจะน่ารักมาก
แต่ที่เหมือนกันก็คือ สายคาดของทุกแบรนด์จะระบุชื่อแบรนด์เอาไว้ค่ะ
เมื่อเปิดออกมา จริงๆแล้วหน้าตานั้นเหมือนกับแทบทุกยี่ห้อค่ะ
แตกต่างกันไปตามสูตรและเนื้อฟองน้ำของแต่ละแบรนด์
บางแบรนด์จะเป็นฟองน้ำขาวๆ เมื่อใช้งานครั้งแรกเนื้อคุชชั่นจะโผล่ขึ้นมา
มาเริ่มกันเลยดีกว่า ยาวหน่อยนะคะ แต่ข้อมูลแน่นค่ะ ^^
THE HISTORY OF WHOO" Whitening & Moisture Glow cushion foundation SPF50+/PA+++ "
ปริมาณตลับละ 15 g/ มีรีฟิลให้ 1 ชิ้น/ ราคา เคาท์เตอร์ไทย 2,xxx บาท
ประเดิมแบรนด์แรกด้วยแบรนด์สุดหรูราชนิกูล เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในไทยได้สักพัก
และเป็นยี่ห้อที่ให้ความ โกลว์ผิว สูงสุด ฉ่ำวาวเด้ง แต่ตามมาด้วยราคาที่แพงที่สุด
เหมาะมากสำหรับผู้ที่ผิวสุขภาพดี และต้องการลุคโชว์ผิวเด้งสวย ติดทนเพราะเป็นรองพื้น
ให้ความชุ่มชื้นกับผิวสูงมากกกก มีให้เลือก 2 เฉดสี
– จากเครือ LG แต่ไม่สามารถใส่รีฟิลกับตลับอื่นๆได้ –
นำมาทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ อันนี้ไม่ขออธิบายอะไรมาก
เพราะเดี๋ยวตอนท้ายจะมีสรุปปิดให้รวมๆทุกยี่ห้ออีกทีค่ะ ( จะมีให้คะแนนแบ่งหมวด สามารถชมได้ในคลิปค่ะ )
คำนิยามสั้นๆ – บาง โกลว์ เด้ง ไม่ค่อยปกปิด แต่ชุ่มชื้น ทนทั้งวัน
O HUI" Ultimate cover CC cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณตลับละ 15 g/ รุ่นนี้มีรีฟิลให้อีก 3 อัน เลอค่า/ ราคา ซื้อมาเกือบ 2 พัน ( ร้านหิ้ว )
เป็นเนื้อ CC เลยจะไม่ได้ติดทนมากนัก ให้ความชุ่มชื้นพอประมาณ มี 2 เฉดสี
ยี่ห้อนี้ ไม่มีจำหน่ายที่ไทยค่ะ อาจจะหาซื้อยากสักหน่อย แต่ด้วยความที่มีรีฟิล 3 อัน
บวกกับแพคเกจสุดเว่อร์วัง จึงทำให้ซื้ออย่างแทบไม่คิดอะไร รุ่นนี้เป็น Limited ค่ะ
หลายคนอาจจะผ่านตา รุ่นนี้ดังมาจากซีรี่ย์เกาหลีเรื่อง Oh my Venus จ้า นางเอกใช้
-จากเครือ LG ไม่สามารถใส่รีฟิลกับยี่ห้ออื่นได้ค่ะ-
คำนิยามสั้นๆ – บาง ปกปิด แต่ไม่ทน วาวไม่มาก
SULWHASOO" Evenfair perfecting cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณตลับละ 15 g/ มีรีฟิลให้ 1 อัน/ ราคาประมาณ 2,xxx ต้นๆ มีจำหน่ายที่ไทย
คุชชั่นของแพงที่ลองจับเป็นแบรนด์แรก กลิ่มโสมหอมๆ ใช้มา 2 ตลับ รีฟิลอีก 2 มีปรับแพคเกจนิดนึง
เป็นคุชชั่นที่เอาไปใช้ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาว ผิวเด้งสวยมาก
สีอมเหลือง ซึ่งเฉดสีโอเคกว่าหลายๆแบรนด์ มีให้เลือก 3 เฉด เป็นเนื้อรองพื้น เลยติดทนพอสมควร
ให้ความชุ่มชื้นพอประมาณ ฉ่ำแต่โกลว์สู้ Whoo ไม่ได้
-เครือ Amore Pacific สามารถถอดรีฟิลใส่ตลับ Etude House/ Hera/ IOPE ได้-
แอบใส่ตลับของ The face shop/ Beyond ได้แต่เปิดไม่ค่อยพอดี
คำนิยามสั้นๆ – โสม ฉ่ำ เด้ง ทนแต่วาวไม่มาก ทนทั้งวัน
Hera" UV Mist cushion ultra moisture SPF34/PA++ "
ปริมาณตลับละ 15 g/ มีรีฟิล 1 ชิ้น/ ราคา จำไม่ได้ น่าจะพันกว่าบาทซื้อตอนไปเกาหลี
HERA เป็นแบรนด์น้องๆของ Sulwhasoo ในเครือเดียวกัน ตลับนี้เป็นลาย Limited ค่ะ
มีหลายรุ่นค่ะ แต่จิ๊บเลือกรุ่น ultra moist เพราะเป็นคนผิวแห้ง จากที่ใช้มา
ถือเป็นยี่ห้อที่ ปกปิดปานกลาง ไม่โกลว์มาก แต่ก็ชุ่มชื้นผิวดี ยังเป็นเนื้อรองพื้นอยู่
ค่ากันแดด น้อยที่สุดในกองที่รีวิววันนี้ คือ SPF 34 นอกนั้นเค้า 50 กันหมด ถ้าจำไม่ผิดมี 3 เฉดสี
เครือ Amore Pacific ใส่รีฟิลกับตลับ Sulwhasoo/ IOPE/ Etude House ได้เช่นกัน
แอบใส่ตลับของ The face shop/ Beyond ได้แต่เปิดไม่ค่อยพอดี
คำนิยามสั้นๆ แพงรองๆ ชุ่มชื้น เด้ง ปกปิดกลางๆ ทนเกือบทั้งวัน
IOPE" AIR cushion XP ( Natural ) SPF50+/PA+++ "
ปริมาณ 15 g/ มีรีฟิลให้ 1 ชิ้น/ ราคา ประมาณเกือบ 1พัน ซื้อจากเกาหลี
รู้หรือไม่ ? แบรนด์ IOPE ( ไอ-โอ-เป้ ) เป็นแบรนด์ที่ทำคุชชั่นออกมาเป็นแบรนด์แรก
นางมีหลายรุ่น รุ่นปกปิด รุ่นชิมเมอร์ก็มี แต่จิ๊บเลือกรุ่น Natural มา มีให้เลือก3 สีต่อรุ่น
ด้วยความที่ไม่มีปัญหาผิว รุ่นนี้ก็โอเคดี กลิ่นหอมด้วย เป็นเนื้อรองพื้น
สำหรับรุ่น Natural นี้ ปกปิดไม่มาก แต่เผยผิวสวยมาก ชุ่มชื้นกลางๆ ติดทนดีอยู่
เครือ Amore Pacific ใส่กับ Sulwhasoo/ Hera/ Etude House ได้
แอบใส่ตลับของ The face shop/ Beyond ได้แต่เปิดไม่ค่อยพอดี
คำนิยายสั้นๆ – แพงไม่มาก ผิวสวยๆ ทนกลางๆ ชุ่มชื้นดี วาวนิดๆ
The SAEM" ECO SOUL powder proof cooling bb cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณ 13 g/ ไม่มีรีฟิลมาให้/ ราคาที่ไทย 999 บาท
เป็นคุชชั่นที่แปลกตาในตอนแรก เปิดมาเจอเพียงฟองน้ำขาวๆ เห้ย เค้าลืมใส่เนื้อคุชชั่นมารึเปล่า
อ๋อๆ ต้องกดก่อน เนื้ออยู่ข้างล่าง ฮ่าๆ เริ่มเข้าสู่คุชชั่นเนื้อ บีบี ส่วนตัวจิ๊บว่าทนไม่ทั้งวัน
ประมาณ 5 ชั่วโมงเนื้อคุชชั่นที่ผิวเริ่มจางหาย แต่ราคาเริ่มคบหาได้ ที่ได้มาสีขาวไปนิส
แต่รุ่นนี้ ทาแล้ว แมตต์ ค่อนข้างแนะนำสำหรับสาวผิวมันหรือผสม วาวและฉ่ำไม่มาก
แต่ ปริมาณน้อยกว่าชาวบ้าน 2 g ทาแล้วไม่ได้เย็นฉ่ำแบบชื่อแต่ไม่หนักผิว
แกะรีฟิลออกได้แต่ใส่กับตลับอื่นไม่ได้ อ๋อ มีให้เลือก 2 เฉดสี
คำนิยามสั้นๆ – ไม่ค่อยทน ปกปิดกลาง คุมมันดี ทาแล้วแมตต์
ETUDE HOUSE" Precious Mineral any cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณ 15 g/ ไม่มีรีฟิลให้/ ราคา 5xx จากราคาที่เกาหลีนะคะ
เป็นแบรนด์ที่สองที่ลองใช้คุชชั่น เลยมีตลับหลายเวอร์ชั่นค่ะ ยี่ห้อแรก Laneige ชอบนะ
แต่รุ่นหลังๆยังไม่ได้ลองซื้อใช้ เอา Etude House มาก่อนละกัน มีให้เลือก 2 เฉดสี
แต่มักจะมีตลับ Limited ออกมา ตลับปกติจะเป็นแบบซ้าย มีสีขาว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเหลือง
ตลับกลางลายมินนี่ เป็น Limited เมื่อนานมาแล้ว ขายแค่ที่เกาหลี ส่วนขวาสุด เป็น limited
เช่นกัน เป็นคอลเลคชั่นแพคเกจสวยเพื่อตอกย้ำผลิตภัณฑ์ขายดีในหลายๆหมวด
ตอนแรกที่ลองก็ชอบ ตอนนี้ลอง พบว่า หนาไปนิด ปกปิดดีอยู่ เหมาะกับคนผิวมันมากกว่า เนื้อบีบี
เครือ Amore Pacific – ใส่ตลับ Sulwhasoo/ Hera/ IOPE ได้
แอบใส่ตลับของ The face shop/ Beyond ได้แต่เปิดไม่ค่อยพอดี
ปกปิดดีไม่โกลว์ ไม่ค่อยชุ่มชื้น คุมมันดี เนื้อหนักหน่อย ทนไม่ทั้งวัน
GRID solution" CC cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณ 13 g/ ไม่มีรีฟิล/ ราคาตลับละ 690 บาท
ยี่ห้อนี้เป็นเนื้อ CC เปิดมา คล้าย The Saem ที่เป็นฟองน้ำขาว
แล้วค่อยกดพัฟเพื่อให้เนื้อซีซีลอยขึ้นมา กลิ่นหอมแต่หอมแบบแปลกๆ มีให้เลือก 1 สี
ซึ่งค่อนข้างขาว แต่สำหรับจิ๊บทาแล้วไม่วอกค่ะ คุมมัน ไม่ฉ่ำ ตัวพัฟไม่นิ่มเท่ายี่ห้อข้างบน
แมตต์ คุมมัน ไม่วาวมาก ชุ่มชื้นไม่มาก ปกปิดกลางๆ
THE Face Shop" CC cushion "
ปริมาณ 15 g/ ไม่มีรีฟิลให้/ ราคา 6xx-7xx บาท
ไม่มีรีฟิลให้ แต่มักจะมีโปรแถมรีฟิลค่ะ ต้องลองตามดูโปรนิดนึง
เคยใช้ 3 รุ่น ตลับซ้ายสุดสีขาว หมดไปแล้วเลยไม่ได้เอามารวม
แต่ซ้าย ตลับขาว เหมาะกับคนผิวมัน เพราะคุมมันและแมตต์ เป็นเนื้อ บีบี
ส่วนตลับกลางและขวา เป็นรุ่นออกใหม่ เป็นเนื้อ CC ค่ะ
" CC Intense cover cushion SPF50+/PA+++ " มีให้เลือก 2 สี ค่ะ เป็นรุ่นที่เน้นการปกปิด ตัวนี้เป็นรุ่นเป็นกลางทุกด้าน
ซึ่งเมื่อเทียบคุณภาพแล้ว ราคานี้ ขอปรบมือ เพราะถ้าซื้อตอนมีโปรละคุ้มมาก
รุ่นนี้ปกปิด ให้ความชุ่มชื้นน้อยๆ เนื้อบางหน่อย เลยไม่ติดทนทั้งวัน
เครือ LG สามารถใส่กับยี่ห้อ Beyond ได้
แต่แอบใส่กับ Sulwhasoo/ Hera/IOPE/ Etude house ได้เช่นกันแต่เปิดยากหน่อย
เนื้อค่อนข้างบาง ปกปิดดีอยู่ ชุ่มชื้นเล็กน้อย ไม่แมตต์
" CC Ultra moist cushion SPF50+/PA+++ " มีให้เลือก 2 เฉดสีเช่นเดียวกัน มีความโกลว์เกือบสูง และมีความชุ่มชื้นสูง เนื้อบางหน่อย
ติดทนไม่ทั้งวัน เนื้อเป็น CC บางกว่าพวก BB
เครือ LG สามารถใส่กับยี่ห้อ Beyond ได้
แต่แอบใส่กับ Sulwhasoo/ Hera/IOPE/ Etude house ได้เช่นกันแต่เปิดยากหน่อย
ชุ่มชื้นและโกลว์ดี ปกปิดไม่มาก ติดไม่ทน ไม่เหมาะผิวมันและผสม
BEYOND" Alice in glow cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณ 15 g/ มีรีฟิลให้ 1 อัน/ ราคา ประมาณ 7xx-8xx บาท ซื้อที่เกาหลีนะคะ
อันนี้ยอมรับว่าซื้อเพราะแพคเกจ ฮ่าๆ มันน่ารัก เคยรีวิวแล้ว > คลิ๊ก <
แต่พอกลับมาแล้วแกะลองพบว่า เห้ยยย มันดี บางเบา โกลว์ ปกปิด คุ้มราคา
แต่ไม่ติดทนทั้งวัน ครึ่งวันหาย เนื้อเหมือนจะเป็น บีบี
เครือ LG สามารถใส่กับยี่ห้อ The face shop ได้พอดี
แต่แอบใส่กับ Sulwhasoo/ Hera/IOPE/ Etude house ได้เช่นกันแต่เปิดยากหน่อย
ติดไม่ทนมาก ทาแล้วโกลว์ บางเบา แต่ปกปิดโดนน้ำก็หาย ชุ่มชื้นอยู่พอควร
Too Cool For School" Dinoplatz UFO multibox SPF50+/PA+++ "
แพคเกจดูแอ๊บแต๊กซ์ เป็นลายเส้นขยุกๆ นางมีดีตรงไหนถึงซื้อมาน่ะหรอ
ดูรูปต่อไปค่ะ ฮ่าๆ
ปริมาณ 12 g – คอนซีลเลอร์ 0.8 g – เบสปิดรูขุมขน 0.8 g – แก้มและปาก 1.1 g
/ ไม่มีรีฟิล/ 35,000 วอน เกือบพันบาท ราคาไทยไม่ทราบ แต่น่าจะมีขายที่ไทยจ้า
นางมีร่างแยก แขนขาโผล่ออกมา กลายเป็น เบสปิดรูขุมขน คอนซีลเลอร์ และบลัชออน
พัฟสวย ตลับเหลี่ยม แปลกๆดี เนื้อเป็นรองพื้น ปกปิดได้ดี ชุ่มชื้นดีแต่ไม่มาก ติดทนอยู่เกือบวัน
แต่เนื้อก็ไม่ได้เบาเท่าไหร่ หนักกว่า hi-end แบรนด์อยู่ดี
Missha" M Magic cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณ 15 g/ มีรีฟิลให้ 2 อัน ( ตอนนี้ปรับเหลือรีฟีล 1 อันแล้ว )/ ราคา 5xx-9xx บาท ตามร้านหิ้ว
อันนี้เคยกรีดร้องไปแล้ว สามารถชมรีวิวเจาะลึกได้ที่ > คลิ๊ก <
แค่แพคเกจก็กินขาด ฮ่าๆ มาๆ มาดูรีวิวกันค่ะ
" M Magic cushion ( moisture ) SPF50+/PA+++ "
ตามชื่อเลยว่าเป็นรุ่น Moisture รุ่นนี้จิ๊บจึงชอบมาก แต่นางไม่ได้ฉ่ำมาก ปกปิดน้อย
แต่พอแห้งแล้วก็แห้งดี ไม่มันเยิ้มเพิ่มเติม ผิวเด้งดี ติดไม่ค่อยทน ระหว่างวันหายหมด
แต่ถ้าเทียบกับราคาแล้ว โอเค ยอมซับหน้าเติมคุชชั่นระหว่างวันได้ แพคเกจกินขาดชนะเลิศ
ไม่เหมาะกับผิวมัน ผิวแห้งจะรักนางมากกว่าบราวน์ มี 2 เฉดสี แต่นี่คือสีเข้มสุดแล้ว
รีฟิลใส่กับตลับอื่นไม่ได้เลย ฮืออออ
" M Magic cushion ( moisture ) SPF50+/PA+++ "
รุ่นนี้ใครผิวมันแนะนำมากกว่ารุ่นแซลลี่ คุมมันได้ดีกว่า ผิวเด้งแต่ไม่ได้โกลว์
พอแห้งเซ็ตตัวก็คือแห้ง เมื่อเทียบราคาถือว่าน่ารักมากแต่เนื้อหนักหน่อย ปกปิดดีอยู่
มี 2 เฉดสี แต่นี่คือสีเข้มสุดแล้ว ส่วนรีฟิลใส่กับตลับอื่นไม่ได้เลย ฮือออออีกรอบ
A'PIEU" Airfit A'pieu cushion SPF50+/PA+++ "
ปริมาณ 13.5 g/ มีรีฟิล 1/ ราคา ประมาณ 300 บาท
ปิดท้ายสายแบ๊วกับพี่ม่อน คือ A'pieu นางเป็นลูกๆขของ Missha ซึ่ง
ทั้งแบรนด์แม่ แบรนด์ลูกเน้นขายแพคเกจ และราคาถูกมาก พี่ม่อนนี่ราคา 300 บาทได้รีฟิล
Missha ว่าถูก A'Pieu ถูกกว่า บ้าบอมากค่ะราคานี้ ฮ่าๆ มีให้เลือก 3 สี
ราคาถูกก็ตามมาด้วย คุณภาพที่ตามราคา คือถ้าเทียบราคา มันถือว่าเป็นคุชชั่นที่คุ้มราคา
เนื้อหนักหน่อย แต่นอกนั้นถือว่าดี ปกปิดใช้ได้ คุมมันดี ชุ่มชื้นกลางๆ แต่ไม่ฉ่ำวาวค่ะ
และที่สำคัญ ก็ไม่ได้ติดทนทั้งวัน ตลับรีฟิลใส่กับยี่ห้ออื่นๆไม่ได้แม้ missha
นิยามสั้นๆ ถูก ปกปิด เนื้อหนัก คุมมันได้อยู่ ไม่โกลว ไม่ทน ใช้อยุ่บ้านโอเค
แฮ่ กว่าจะครบ 15 รุ่น คนเขียนรีวิวก็เหนื่อยค่ะ มาดูรูปแล้วเปรียบเทียบไปพร้อมๆกันต่อนะ
เนื้อแต่ละรุ่นที่ปาดออกมาค่ะ ส่วนมากจะเป็นสี 23 หรือก็คือสีที่เข้มสุด
มีแค่ The Saem/ Etude House/ A'PIEU เป็นสีเบอร์ 01 หรือ 21 ค่ะ
มาชมวีดีโอเปรียบเทียบการปกปิดแบบสดๆกันค่ะ
ในคลิปจิ๊บให้คะแนนแต่ละด้านไว้ ดูสรุปในคลิปนะคะ
( ในคลิปถ้าเปิดในคอมพิวเตอร์ สามารถเลือกดูแบรนด์ที่ชอบและย้อนไปย้อนมาได้ค่ะ )
มาดูกันค่ะว่าเมื่อปาดมาทาที่กระดาษซับมัน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 7 ชั่วโมง
คือสังเกตได้เลยรุ่นที่เน้น Moist หรือความชุ่มชื้น อย่าง
The History of Whoo/ O HUI/ The face shop นั้น
ให้ความชุ่มชื้นตามที่กล่าวอ้างจริงๆ แต่ Missha moist หรือตลับแซลลี่ กลับให้ Moist ไม่เยอะ
ซึ่งถ้าคุณผิวแห้ง ตัวที่มีขอบซึมเยอะ เหมาะกับคุณ ส่วนถ้าผิวมันแนะนำให้เลือกที่ซึมน้อย
หลังจากที่แห้งแล้ว จิ๊บนำกลิตเตอร์แผ่นบางๆ มาโรย แล้วเคาะออก
เพื่อดูว่าหลังจากทิ้งไว้ให้เซ็ตตัวแล้ว เริ่มแห้งแล้ว ถ้าไม่ทาแป้งทับ
ทาแต่คุชชั่นเพียวๆ ใครจะทำให้กลิตเตอร์ปลิวไปติดมากน้อยฃ
หมวดนี้ Etude House ชนะ เพราะนางแห้งแล้วแห้งเลย กลิตเตอร์ไปติดตัวนางน้อยมาก
และปิดท้าย มาดูการปกปิดกันค่ะ สังเกตได้ว่ายี่ห้อที่ปกปิดดี
จะมี 2 แบบ คือ ปิดดีแล้วไม่หนา กับปิดดีและหนา และเนื้อที่เป็น CC จะบางกว่าเนื้อที่เป็น BB และเนื้อที่เป็น Foundation หรือรองพื้นนั้น จะปกปิดและติดทนนานที่สุด และไม่หนามาก
หมวดนี้ขอแนะนำให้ดูในคลิปด้านบนประกอบค่ะ เพราะภาพนิ่ง
ไม่ชัดเจนเท่าในคลิปจ้า
จิ๊บชอบใช้คุชชั่นค่ะ เพราะผิวไม่มีปัญหา สำหรับใครที่ผิวมีปัญหา ต้องการการปกปิด
ต้องการการติดทนยาวนาน แนะนำให้ใช้รองพื้นจะตอบโจทย์มากกว่าค่ะ
แต่ถ้าเน้นความสวย ธรรมชาติ งานผิว แนะนำคุชชั่นเลยจ้า แต่ก็มีกันทุกแบรนด์
เลือกให้เหมาะ ลองก่อนทุกครั้งจะดีที่สุดค่า ส่วนของเกาหลีเอาจริงๆ
ในความเห็นจิ๊บ ค่อนข้างมีความคล้ายกันค่อนข้างสูง ใช้แล้วก็เหมือนๆกันทุกยี่ห้อ
แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เลยเป็นที่มาของการเจาะลึกในวันนี้จ้า
เรามากันยาวไกลมากกก ตอนนี้แอบเหนื่อยแล้ว นั่งพิมพ์ ตัดต่อ ทำรูปมา 2 วันเต็มๆ ขอลากันไปก่อนแล้วไว้พบกันใหม่ภาค 2 นะจ๊ะ เพราะตอนนี้ซื้อของใหม่มาอีกแล้ว แง้วๆ