WAT Ep0: รีวิวการเดินทางมา Put In Bay, OHIO

4 0

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกในชีวิตเลย ตั้งใจเขียนมากๆ อยากจะแชร์ประสบการณ์ ติชมได้นะคะ ขอแนะนำตัวก่อนจขกท.ชื่ออิ๊งค์นะคะ เรียนอยู่วิศวกรรมวัสดุ ปีสอง มจธ.ค่ะ

เริ่มแรกต้องขอเล่าก่อนว่าตามคำแนะนำของโครงการจะให้เราลงที่  Cleveland, Ohio มันก็จะธรรมดาเกินไปที่เราจะไปตามแผน เลยเลือกที่จะลงเมืองใหญ่ เพราะค่าตั๋วถูกกว่า แล้วต่อด้วยการขนส่งอะไรสักอย่างมาลงที่ Ohio เลยกลายเป็นการเดินทางที่ยาวนานมากๆ 55555 ร่ายมายาวละ เล่าเลยละกัน

การมาเมกาในครั้งนี้เรามา Work & Travel เลือกที่จะมาเป็น Housekeeping ที่ Put in Bay resort

เริ่มจากสุวรรณภูมิ เราใช้บริการสายการบิน Royal Jordanian (เพิ่งเคยได้ยินเนี่ยแหละ) โดยจะต้องมา Transit ที่ Hub ของสายการบิน นั่นคือประเทศจอน์แดน ใช้เวลาบินจากไทยมาที่ Jordan ร่วมๆ 8 ชั่วโมง และพักเครื่องเพื่อต่อไปยังเมกา 6 ชั่วโมง (คนที่นี่จะคิดว่าเราเป็นคนจีนสะส่วนใหญ่ หันมาหนีห่าวให้เราหมดเลย นี่ก็ได้แต่ยิ้มๆ 55555 อย่าว่าแต่ที่จอร์แดนเลย ที่สุวรรณภูมิก็พูดจีนกะเรา จนเราต้องบอกว่าเราเป็นคนไทย 5555555) ถามว่า 6 ชั่วโมงทำอะไร สนามบินนี้ (Queen amman alia airport)  ค่อนข้างเล็ก เดินแปปเดียวก็ทั่วแล้ว หิวๆ ก็เลยหาซื้อของกิน (ให้เยอะมาก คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ใจดี 55555) หลังจากนั้นก็นั่งเล่นโทรศัพท์มาเรื่อยๆ เพราะมี free- wifi แล้วก้อฟุบโต๊ะนอน นอนไปได้สักพัก โต๊ะหลังพาเด็กมา เสียงดังมาก เหมือนเขาไม่ค่อยมีความเกรงใจกันสักเท่าไหร่ ไม่ยกเก้าอี้แต่จะใช้ลากเอา คือก็เสียงดังไง หลังจากนั้นก็เข้าห้องน้ำ ห้องน้ำสะอาดมาก มีคนดูแลตลอดเวลา ส่วนใหญ่เป็นอิสลาม(ก็ประเทศอิสลามนี่เนอะ มีห้องละหมาดเยอะด้วย) สักพักก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ตอนนี่แหละเขาค้นตัวแบบละเอียดมาก (ก็ใกล้ซีเรียหนิเนอะ) ค้นกระเป๋า ขอย้ำว่าค้นไม่มีการสแกน ค้นทุกช่องกระเป๋าเล็ก กระเป๋าน้อยค้นทุกใบ เรามีไฟฉายอันเล็กๆก็แกะออกมาดู แล้วเอาถ่านออก ขนาดกล่องรีเทนเนอร์ยังหยิบออกมาหมุนๆดูเลย (เจ้าหน้าที่น่าจะเกือบทั้งหมดเป็นมุสลิม หน้าก็จะคมๆ ดุๆหน่อย) ต่อมาก็ค้นตัวค้นหมดเลยมีกี่กะเป๋าจับหมด ใส่หมวกไหมพรมอยุ่ก็ให้ถอด ใช้คนทั้งหมดในการตรวจ ไม่มีเครื่องแบบบ้านเรา หลังจากนั้นก็รอขึ้นเครื่องที่จะไป JFK (New york) พอขึ้นเครื่องมาก็สัมผัสได้ว่าน่าจะไม่มีคนเอเชียเลย เพราะหน้านี่คมเข้มกันมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เที่ยวบินนี้ใช้เวลาทั้งหมด 11 ชั่วโมง ค่ะ! นอนยาวไปค่ะ นั่งจนเมื่อยตูด นอนมันทุกท่า อาหารเสิร์ฟสองมื้อ ค่ะ... แทนที่จะได้นอนคือเด็กวิ่งเล่นทั่วลำเลย ร้องไห้ กรี๊ดๆๆ อยุ่อย่างนั้น เงียบคือกิน แล้วจะหลับลงได้ไง TT บางคนอาจมีคำถามทำไม พ่อแม่ไม่ห้ามละ นั่นสิ!!! ทำไมเขาไม่ห้ามมมมมม ก็หลับๆ ตื่นๆยัน JFK พอลงเครื่องมา เราก็ต้องมาต่อแถวเพื่อผ่าน ตม. นี่ลุ้นมากเลยว่าจะผ่านไหม ตม.ถามเยอะมาก ถามว่า มาจากไหน มาทำงานอะไร มานานแค่ไหน จะเที่ยวไหนบ้าง ที่ทำงานจ่ายเงินเดือนไหม เงินเดือนเท่าไหร่ พักที่ไหน ตอนอยุ่เมืองไทยเรียนอะไร นั่นแหละค่ะ 555555 ตอบชัดถ้อย ชัดคำทุกคำถามค่ะถึงจะผ่าน ผ่านมาได้ก็มารอเอากระเป๋า พอได้กระเป๋าก็สังเกตเห็นว่าสายลัดกระเป๋าหาย แต่ข้างในไม่มีอะไรหาย เพราะลอครหัสไว้ หลังจากนี้จะทรหดมาก เพราะกระเป๋าเริ่มมีบทบาทในการเดินทาง (ของที่เอาขึ้นเครื่องมีเป้ + กระเป๋าสะพายข้าง + และหมอน ใครนึกไม่ออกหมอนเราแบบอิเปรี้ยวที่กำลังเป็นข่าวเลยจ่ะ แบบนั้นเลย พกไว้เพราะต้องนอนสนามบินเลยพกแบบนี้) หลังจากนั้นออกมาจาก terminal ที่เครื่องลงได้ (terminal 8) ก็ต้องออกมาจากตึกเพื่อจะนั่ง airtrain ไปยัง terminal  5 เพื่อจะใช้ wifi เป็นเทอมินอลเดียวที่มีวายฟายให้ใช้ฟรี  (ขอบอกว่าระหว่างเทอมินอลต้องใช้ airtrian เท่านั้นนะ กว้างมากๆ) พอมาถึงเทอมินอล5 ก็หาที่ซุกหัวนอน เพราะการเดินทางต่อไปคือใช้รถไฟรอบที่มีแล้วสะดวกที่สุดคือในวันถัดไป (เครื่องลงประมาณสี่โมงเย็นตามเวลาท้องถิ่น) เราก็นั่งๆ นอนๆ เอาขาพาดกระเป๋ามั่ง นั่งเอาขาห้อยมั่ง คือจะท่าไหนก็เมื่อยอะ (จะบอกว่าที่นี่สองทุ่มยังไม่มืดเลย) พอนอนไปนอนมา เริ่มหิวเพราะว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยหลังจากลงเครื่อง ก็ไปหาอะไรกิน ได่แซนวิชอันเบอเร่อมา (คนืี่นี่ทานค่อนข้างเยอะ 55555) ราคา $10.99 หรือประมาณ ฿350 TT แพงแต่ก็ต้องกิน ไม่งั้นไม่มีไรกิน หลังจากนั้นก็ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วก็มานั่งหลับ จนถึงประมาณตีสี่ ( ก็หลับๆตื่นตลอดนะ) ก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน เช็ดตัว(ไม่มีที่อาบน้ำเลย TT) อีกรอบเพื่อที่เดินทางต่อ เรานั่ง airtrain ไปยัง Jamaica แล้วต่อ Subwayไปยังสถานีขนส่งรถไฟ (Penn station) อย่าคิดว่าอากาศเย็นเดอนชิวๆสบายๆค่ะนอกจากตัวที่แบกเป้แล้ว เรายังมีกระเป๋าเดินทางเจ้ากรรมขนาด 28 นิ้วหนักเกือบ 30 โลไปด้วยค่ะ พอถึง Jamaica ก็สามารถซื้อตั๋ว Subway ได้เลยแต่ต้องใช้แต่เงินสด ไม่รับบัตร เราก็ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยกดให้ เพราะใช้ไม่เป็น ราคาค่าตั๋ว $8 จาก Jamaica ไป penn station พอซื้อตั๋วเสร็จก็เดิน งงหาGate  ที่จะไป subway ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาถามว่า จะไปsubway ใช่ไหม ให้ไปทางนี้ๆๆ เราก็ขอบคุณเขา (คนที่นี่ค่อนข้างมีน้ำใจมากนะ แบบช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ อาจจะเห็นเป็นชะนีโง่ๆ เลยมาช่วยเอาบุญ555555) พอจะมาแตะบัตรที่ทางเข้า ซึ่งแคบกว่าบีทีเอสบ้านเรามากๆ กระเป๋าเดินทางผ่านได้ แต่ก็นะ...ลำบาก ก็มีชายหนุ่มรูปงาม มาช่วยก 55555 เดินลงมาผ่านบันไดเลื่อนเก่ามาที่ชานชลาเพื่อยืนรอรถไฟ มีวายฟายให้เล่นด้วย คนมารอค่อนข้างเยอะ จะบอกว่าสถานีสกปรกมากกกกก บีทีเอสบ้านเรายังสะอาดกว่า หนูตัวเท่าฝ่ามือเดินเล่นกันสนุกสนาน หลังจากนั้นไม่นาน รถไฟก็มา แถงชานชลารู้สึกว่าจะไม่มีเจ้าหน้าที่เลย ไม่มีที่กั้นระหว่างชานชลากับรางรถไฟด้วย จากนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางเข้ารถไฟไป ประมาณ 10 สถานีถึงจะถึง penn station เข้ามานี่กลิ่นแบบเหม็นมากอะ ไม่รู้ว่าเหม็นอะไร แล้วคือในนี้นี่จะไม่มีความเกรงใจแบบบ้านเรานะ ใครไคร่นอน นอน ใครไครเอากระเป๋าวางบนที่่นั่งก็ตามสบาย แม้คนจะแน่นอย่างไรก็ตาม แบบหนึ่งคนต่อกี่ที่นั่งก็ได้ไรงี้ เป็นที่นั่งแบบยาวๆ ไม่ใช่แบบบีทีเอสบ้านเรา สักพักก็มาถึง penn station จะบอกว่าหนาวมากๆๆๆๆๆ มาถึงก็เช้าตรู่ (ออกจากสนามบินตีห้า) พอมาถึงเราก็ไปฝากกระเป๋าที่ Amtrak office ค่าฝากใบละ$10 น้ำหนักห้ามเกิน 50 lb สถานีใหญ่มากๆ ใหญ่กว่าสนามบินในจอร์แดนอีกมั้ง 555555 พอฝากเสร็จเราก็เดินเที่ยวรอบๆ Manhattan หลงแล้วหลงอีก 555555 ถามเจ้าหน้าที่น่าจะสองโหลได้ ทุกคนเต็มใจช่วยเราหมด แต่เราก็หลงอยุ่ดีเดินวนไปวนมา เดินมาเจอที่เดิมตลอด เพิ่งมาเข้าใจประโยคที่ว่า "ยืนงงในดงตีน" ก็ที่นี่แหละ เพราะฝรั่งสูงมาก ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เรานี่ตัวประมาณเด็กอายุ 8 ขวบได้ (แต่หน้านี่ไปไกลละ 5555) เดินกันตั้งแต่  8 โมงเช้า หาที่กินอาหาร (ก็ข้างถนนนี่แหละไม่ต้องคิดไปไกล 555555) พอประมาณเที่ยงๆ เราก็จะเดินหาซื้ออาหารเพื่อที่จะเก็บไว้กินบนรถไฟ เพราะบนรถไฟรอบเราไม่มีอาหารเลี้ยง จะมีก็แต่เป็นโบกี้อาหาร แต่ต้องซื้อซึ่งแน่นอนแพงมาก เราเลยเลือกที่จะซื้อแล้วเก็บไปกินดีกว่า พอประมาณบ่ายๆ เราก็กลับเข้าสถานีเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้เมื่อเช้า แล้วไปนั่งรอรอบรถของเรา รอบรถเราคือ 15.40 รอวนไปค่ะ  ง่วงมาก เพราะเป็นเวลาตีสองของเมืองไทย แล้วตลอดสองวันที่ผ่านมา นอนไม่เต็มอิ่มเลย แล้วล้ากับการแบกเป้ลากกระเป๋ามาก ไหนจะยก ไหนจะลาก รอจนถึงเวลาขึ้นรถไฟ ก็ลากสังขารตัวเอง และกระเป๋าเจ้ากรรมไป รอบเราไม่มีโหลดกระเป๋า ต้องเอามันไปนั่งด้วย ซึ่งมันทั้งหนักและใหญ่ ใครเห็นก็มองแบบ อีนี่แบกบ้านมาหรอ5555555 จนเจ้าหน้าที่ต้องมาช่วยยกกระเป๋า แล้วก็สบถเล็กๆว่า "What the hell in your luggage?!" อีนี่ก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วก็หาที่นั่ง ที่นั่งจะนั่งที่ไหนก็ได้ ไม่มีการจองล่วงหน้า มีปลั๊กและมีวายฟายให้ ที่นั่งกว้างมาก กว้างกว่าบนเครื่องบินอีก สักพักจะมีคนมาตรวจตั๋๋ว ของเราจองผ่านเว็บจะเป็น e-ticket  ก็ให้เขายิง แล้วเขาจะเอาป้ายมาติดบนที่นั่งเราว่าเราลงไหน เพื่อที่เขาจะมาเรียกเราลง พอทุกอย่างลงตัว เราก็หลับ หลับยาวเลยสักสามสี่ชม.ได้ การเดินทางนี้ใช้เวลา 11 ชั่วโมง ดูเหมือนนานใช่แมะ แต่หลับตลอดเลย ก็เลยไม่ได้รู้สึกเบื่อเหมือนนั่งเครื่อง เงียบด้วยไม่มีใครมากวนเลย พอใกล้ถึง ก็จะมีเจ้าหน้าที่บอกให้เราเตรียมตัว เราก็แบกกระเป๋าเจ้ากรรม นายเวรไปต่อแถว แล้วก็ลงที่ Sandusky, Ohio หนาวมากๆ ลมแรงด้วย แล้วมันจะมีห้องรับรองเล็กๆ มีห้องน้ำ มีที่นั่ง เราก็เลยเข้ามาหลบลม เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วหาวิธีเดินทางต่อ เพราะต้องเรียกแทกซี่ ซึ่งเราไม่มีซิมของที่นี่ พอนั่งคิดไปคิดมาสักพัก ก็มีคนดำเดินเข้ามาแล้ว ถามว่าจะไปท่าเรือรึเปล่า เราก็อึ้งๆแล้วก็บอกว่าใช่ ตอนนั้นกลัวมาก เพราะว่าเพื่อนบอกว่าอย่าไปคุยกะคนดำคนดำน่ากลัว แต่พอคุยไปคุยมา เขาบอกว่ามีอีกสองคนอยุ่บนรถจะไปท่าเรือเหมือนกัน ถ้าจะไปด้วย ค่ารถก็จะถูกลงเหลือคนละ $25 ตามคำแนะนำของโครงการ เราต้องต่อแทกซี่อยุ่แล้ว ซึ่งค่าโดยสารก็ประมาณนี้ แต่เราก็ยังไม่เขื่อคนนี้อยุ่ดี เลยขอไปคุยกับผู้หญิงสองคนที่อยุ่บนรถอยุ่แล้ว ปรากฎว่าไปที่เดียวกันจริง เป็นเด็ก work  เหมือนกันด้วยจากบัลแกเรีย เราก็เลยนั่งไป ระหว่างนั่ง เราก็ชวนคนขับคุยไปเรื่อย ถึงที่ที่เราเคยมาแล้วก็ที่ที่เราอยากไป คุยไปเรื่อยจนมาถึงท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที  จาก sandusky มาถึง port clinton เราก็มานั่งคิดว่าเราโชคดีมากที่เจอ แทกซี่ไม่งั้นเราก็ไม่รุ้เลยว่าจะเรียกยังไง ยังไงก็ขอขอบคุณสองสาวบัลแกเรียด้วย 555555 หลังจากนั้นก็ต่อเรือมายังเกาะ put in bay ประมาณ 30 นาทีได้ พอมาถึงเกาะก็งงอีกรอบ เพราะตามคำแนะนำของโครงการคือขึ้น แทกซี่ แล้วจะเรียกจากไหนหละ มันเป็นเกาะนะ ยืนงงสักพักก็มีผู้หญิงสองคนเดินมาทักอีกแล้วค่ะ ถามว่าจะไป Put in Bay resort ใช่ไหม แล้วเขาก็พาเรานั่งรถไปค่ะ จนมารู้ตอนหลังว่าเขาเป็นผู้จัดการของเราเอง พอมาถึงก็ประมาณ 8.00 ก็เข้าที่พักตอนแรกเขาจะให้เรานอนกะเด็กไทย แต่เหมือนห้องเด็กไทยจะเต็ม (เต็มแบบพวกเขาวางของกันจนเต็มอะ 5555555) สุดท้ายเขาเปิดห้องใหม่ให้เรา ทั้งห้องเราก็อยุ่กับเพื่อนเราสองคน จากนั้นก็เก็บของ อาบน้ำ ต้มมาม่ากิน เพราะไม่ได้ซื้อของเข้ามาเลยก็ได้แต่กอนของที่เอามาจากเมืองไทย พอกอนเสร็จเราก็มานอน นอนตั้งแต่ 10.00 ตื่นมาอีกทีคือสามทุ่ม เรายังตกใจ ทำไมนอนเยอะขนาดนั้น อ๋อ...ลากกระเป๋าทั้งวันปวดแขนมากบวกกับไม่ได้นอนมาสามวันติด 555555 เพื่อนๆก็กลับมาจากที่ทำงานกันแล้วเสียงดังนิดหน่อยเพราะมีปาร์ตี้กัน เราก็มึนๆ มีเด็กต่างชาติด้วยนะ มีแต่ผู้ชาย 55555555 หลังจากนั้นเราก็อยุ่ในห้องตลอด จนถึงตอนนี้ประมาณตีสองก็ยังนอนไม่หลับเลยมาพิมพ์เพื่อแชร์ประสบการณ์(จะมีคนอยากรุ้ไหม 55555) ตอนนี้ก็เริ่มง่วงละพรุ่งนี้ทำงานวันแรก

ปล.การเดินทางแบบนี้สนุกมากๆ เพราะขึ้นมันทุกยานพาหนะเลย แต่ต้องหาข้อมูลให้รอบครอบมากๆเลย ไม่งั้นหลง เพราะเมืองใหญ่มาก แต่การเดินทางค่อนข้างสะดวก เพราะเขาใช้subway เป็นหลัก ซึ่งก็มีแผนที่ให้ และมีป้ายบอกตลอดทาง

ปล.สอง ใครอ่านแล้วรู้สึกว่าคำผิดเยอะ ขออภัย ใช้โทรศัพท์พิมพ์ มันจะลำบากๆหน่อย 555555

ฝันดี


Ink_Rinya

Ink_Rinya

สวัสดีทุกคนที่เข้ามาชมบล็อคของอิ๊งนะคะ จะเขียนเกี่ยวกับที่มาทำ Work & Travel การเตรียมตัว และประสบการณ์ที่เที่ยวในอเมริกา อาจไม่ถูกต้อง แต่อยากแบ่งปันค่ะ อาจมีเขียนรีวิวของ เห่อของนิดหน่อยบ้างตามประสาชะนีชอบช๊อปค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

FULL PROFILE