คนเห่อหมาขอแชร์! 5 ข้อคิดที่ได้จากการเลี้ยงหมา

17 15

เรื่องของเรื่องคือ... เมื่อสิ้นปี 2017 ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าครอบครัว 2 ชีวิตถ้วน ชื่อน้อง "โต๋และเต๋" เป็นลูกหมาพันธุ์ปอมเมอเรเนียนผสมชิวาว่า อายุ 2 เดือนกว่าๆ ตัวผู้ทั้งคู่ ที่เราบังเอิญไปเจอใน Facebook ที่หาบ้านให้น้องหมาน้องแมว พอเห็นประกาศปุ๊บ ก็ถูกชะตาปั๊บ รีบติดต่อเจ้าของแล้วไปรับมาวันนั้นเลย

ความตั้งใจแรกในการรับเลี้ยงหมา คืออยากช่วยเหลือน้องหมาที่เค้าไม่มีคนพร้อมดูแล และต้องการหาบ้านจริงๆ อีกมุมคืออยากให้ของขวัญปีใหม่กับตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากทำมานานมากแล้ว และรู้สึกว่านี่คือความสุขในแบบที่สิ่งของสนองไม่ได้ เลยตัดสินใจลุย

นับจากวันแรกที่รับจนถึงวันนี้ ผ่านไปแค่ 20 วัน แต่ใครจะรู้ว่าเป็น 20 วัน ที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ในทุกวัน ซึ่งมันดีมากๆ กับเรา เลยแบ่งกลุ่มออกมาได้เป็น 5 ข้อหลักๆ เพื่อมาแชร์ให้ทุกคนฟังกัน :)

1. รู้จักใช้ "สัญชาตญาณ" อย่างมี "หลักการ"

ตัวเราเองมักเคยชินกับการทำตามสัญชาตญาณก่อนหลักการอยู่บ่อยๆ เช่น เวลาซื้อมือถือเครื่องใหม่มาเราจะเรียนรู้วิธีการใช้งานด้วยการ "ลอง" เลื่อนจอซ้าย-ขวา ขึ้น-ลง กดปุ่มนั้น ปุ่มนี้ เพื่อดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เอาไว้ทำอะไรได้บ้าง ถ้าติดปัญหาตรงไหนก็แค่ถามคนที่เคยใช้ แทนที่จะเริ่มต้นจากการเปิดคู่มือ เพื่อดูว่ามือถือเครื่องนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มีกี่ปุ่ม ทำหน้าที่อะไร เป็นต้น

แล้วการเลี้ยงหมาทำให้เราเรียนรู้ที่จะหาหลักการก่อนที่จะใช้สัญชาตญาณ... ยังไง?

จริงๆ มันเริ่มที่ปัญหาสุดเบสิคคือ ทำยังไงให้หมาฉี่เป็นที่ ตอนแรกก็ใช้สัญชาตญาณคือ วิ่ง 100 เมตรเข้าไปชาร์ท แล้วก็โวยวายด้วยเสียงหวีดแหลมสูงว่าฉี่ตรงนี้ไม่ด้ายยยยย ทำไมฉี่ตรงนี้ แล้วก็อุ้มไปที่ฉี่บอกว่า ฉี่ตรงนี้สิ นี่สิที่ฉี่ แต่หมาก็ยังฉี่ไม่เป็นที่อยู่ดี!

ก็เลยเสิร์ชหาข้อมูลว่า "ทำยังไงให้หมาฉี่เป็นที่" จนได้ข้อมูลมาตั้งแต่... ทำไมหมาถึงฉี่ไม่เป็นที่? การฉี่ไม่เป็นที่หมายถึงอะไร? แล้วการสอนต้องสอนยังไง? สอนยังไงหมาถึงฟัง? หมาไม่ฟังเราเพราะอะไร? บลาๆๆๆ เยอะมาก จนกระทั่งเรารู้หลักการ และที่มาที่ไป จึงพบว่าสิ่งที่ทำตามสัญชาตญาณมันไม่เวิร์ค! เราเลยเอาข้อมูลที่ได้ มาปรับใช้ตามสัญชาตญาณ เพื่อให้เหมาะสมกับหมาของเรา ผลคือหมาฉี่เป็นที่มากขึ้น

ซึ่งข้อนี้เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับการทำงาน หรือการใช้ชีวิตได้ด้วยเช่นกันนะ มันจะช่วยให้เราไม่ปักใจเชื่อในความเคยชิน หรือสัญชาตญาณเร็วจนเกินไป แต่เรียนรู้ที่จะหาหลักการ หรือข้อมูลก่อนเสมอ เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

2. เป้าหมายที่ชัดเจน เป็นหนึ่งในกุญแจสู่ความสำเร็จ

สังเกตตัวเองแล้ว เราเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายระยะยาวชัดๆ ในชีวิตเลย ส่วนมากจะสั้นๆ เช่น ปีนี้จะต้องเลื่อนตำแหน่ง เดือนนี้จะเริ่มวิ่ง งานนี้จะต้องเสร็จภายในกำหนด แต่เรายังไม่สามารถบอกตัวเองชัดๆอย่างเต็มภาคภูมิได้ว่า "ฉันจะเป็นโปรแกรมเมอร์มือหนึ่งของประเทศไทยที่กูเกิ้ลจะต้องซื้อตัวเข้าทำงาน" เป็นต้น

แต่การเลี้ยงหมาทำให้เราค้นพบ "เป้าหมายระยะยาว" ที่ชัดเจนเป็นครั้งแรก เรารู้ว่าเราต้องการเป็น "จ่าฝูง" เพื่อที่เรากับหมาจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขที่สุด เค้าเคารพกติกาในบ้าน เราก็ไม่หัวเสียกับการกระทำของเค้า พลังงานที่เราให้เค้า เค้าให้เรา ก็จะมีแต่ด้านบวก แล้วสิ่งที่ต้องทำคือ ทำให้หมาเชื่อใจ เคารพ รู้สึกสบายใจ และปลอดภัยที่ได้อยู่กับเรา ด้วยหลักการและสัญชาตญาณที่เราต้องสะสมไป แต่การจะเป็นจ่าฝูงนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นได้ภายในวันสองวัน แต่อาจหลายเดือน หรือหลายปี แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป และสำคัญคือ เราจะต้องรักษาความรู้สึกนี้ของเค้าให้ได้ไปตลอดที่เค้าอยู่กับเรา

ดังนั้นในแง่ของการใช้ชีวิตและการทำงาน การที่เรารู้เป้าหมายของเราอย่างชัดเจน เราจะรู้ว่าเราควรจะต้องทำอะไร เพื่ออะไร ต่อให้มีอุปสรรคเข้ามาเราจะสามารถเรียนรู้ที่จะหาทางแก้ไข แทนที่จะล้มเลิก และอีกหนึ่งสิ่งที่เรียนรู้คือ ภายใต้เป้าหมายระยะยาว การตั้งเป้าหมายระยะสั้นในเส้นทางเดียวกัน จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้อย่างสนุกสนานขึ้น เช่น ถ้าเราจะเป็นจ่าฝูง อันดับแรกเราเรียกหมา หมาต้องมาตามเสียงเรียก เราก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่าภายใน 2 อาทิตย์ เราต้องฝึกให้เค้ากลับมาตามเสียงเรียกของเรา โดยไม่วอกแวกให้ได้ แล้วค่อยๆ ตั้ง Mission ต่อไปเรื่อยๆ ก็ทำให้สนุกในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย

3. ความสุขุมและสงบนิ่ง คือภาวะของผู้นำที่แท้จริง

ในชีวิตประจำวัน หลายครั้งที่เราปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล อาจเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เราไม่รู้ตัว เช่น หงุดหงิดรถติด ทั้งที่ก็รู้ว่าเวลานี้เป็นช่วงเวลาปกติที่รถติด หรือเรื่องใหญ่ อย่างการกระทบกระทั่งกับเพื่อนร่วมงานในการทำงาน ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอารมณ์ขึ้น เมื่อนั้นแปลว่าสิ่งที่เราพูดถูกลดความน่าเชื่อถือลงไปแล้ว 70% ยกตัวอย่างเรามีหัวหน้า แล้วหัวหน้าเป็นคนใจเย็น ใช้เหตุผล เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เรา ต่อให้เค้าไม่ดุ ไม่ด่า ไม่ตะคอก เราก็จะรู้สึกเกรงใจ เคารพ และเชื่อในเค้า แต่ถ้าเรามีหัวหน้าอารมณ์ร้อน ใช้อารมณ์แก้ปัญหา เราอาจกลัวที่เค้าเสียงดัง ดุด่า แต่ถามว่าเราเชื่อ และเคารพในตัวเค้ามั้ย? อันนี้เราก็ไม่แน่ใจ

การเลี้ยงหมาก็เช่นกัน การจะทำให้หมาเชื่อฟัง และเชื่อใจ เราต้องใจเย็น และไร้อารมณ์ในทุกครั้งที่ทำการฝึก เคยมีหงุดหงิดช่วงฝึกฉี่แรกๆ แล้วหมาชอบฉี่ที่พรม เราจะตกใจปนโมโห ละวิ่ง 100 เมตรไปชาร์ท แล้วตะโกนเสียงหวีดแหลม "โต๋!!!! ม่ายยยยยยยย!!!!!! ทำไมทำแบบนี้!!!!!!! ฉี่ไม่ได้!!!!!!" เค้าก็จะตกใจ แต่เห็นก็ยังทำทุกที คราวนี้เปลี่ยนวิธี เวลาเห็นปุ๊บ เราจะเดินเข้าไปนิ่งๆ จับคอเค้าดมฉี่ตัวเองแล้วบอก "ไม่!" (เสียงแข็ง โทนต่ำ) แล้วก็รีบพาเค้าไปที่แผ่นฉี่แล้วบอก "ฉี่!" ทำด้วยภาวะไร้ความรู้สึก ไม่โมโห ทำแบบนี้ได้ 2-3 ครั้ง ผลคือเค้าฟัง แล้วเค้าก็เข้าไปฉี่ในที่ๆ เราเตรียมไว้ให้

ดังนั้นเราจึงได้เรียนรู้การควบคุมอารมณ์ และฝึกความสงบนิ่ง เพื่อไปใช้ในการดำเนินชีวิต และการทำงาน จากการเลี้ยงหมาด้วยนั่นเอง

4. เรียนรู้ความต่าง ลดความคาดหวัง ช่วยเพิ่มความสุข

เราต้องเจอคนมากมาย ทำงานกับคนนิสัยหลากหลายรูปแบบ หลายครั้งการปะทะมาจากการที่เราไม่เข้าใจในความต่าง เราอดไม่ได้ที่จะคาดหวังให้เค้ารู้แบบที่เรารู้ คิดแบบที่เราคิด เข้าใจแบบที่เราเข้าใจ เลยเกิดเป็นความผิดหวังจากการคาดหวัง แล้วเราเลยไม่มีความสุข

การเลี้ยงหมาทำให้ได้เรียนรู้ข้อนี้อย่างมาก! เพราะอย่างแรกเลย เรากับหมาสื่อสารกันคนละภาษา ภาษาคนหมาไม่เกท ภาษาหมาคนไม่เข้าใจ อย่างที่สองเรากับหมามีมุมมอง และความคิดที่แตกต่าง คนพยายามให้ความรัก แต่หมามองหาความเป็นผู้นำ ความแข็งแรง ความเชื่อใจ ส่วนอย่างทีสามคือนิสัยของหมาที่ต่างกัน โต๋กับเต๋มาจากพ่อแม่เดียวกัน เติบโตมาในที่เดียวกัน กินเหมือนกัน เลี้ยงแบบเดียวกัน อายุเท่ากัน แต่... นิสัยต่างกันมาก! ตอนรับมาเลี้ยงได้ 2 อาทิตย์แรก เราฝึกเหมือนกันทุกอย่าง คาดหวังว่าเรียนรู้พร้อมกัน ผลคงออกมาเหมือนกัน แต่ปรากฎว่าเต๋มีภาวะของจ่าฝูงกว่า นิ่งกว่า สุขุมกว่า และเอาแต่ใจ ทำให้โต๋เชื่อฟังกว่า และทำตามมากกว่า หมายความว่าพอเราเข้าใจความแตกต่างในแต่ละด้าน และไม่คาดหวังให้เค้าเป็นอย่างแบบแผนที่เราวางไว้ เลยทำให้รู้ว่าเราต้องสื่อสารกับแต่ละตัวยังไง และต้องแสดงออกกับเค้าแบบไหนให้เค้าเข้าใจเรา

ซึ่งในชีวิตจริง หากเราเปิดใจเรียนรู้ความต่าง โดยไม่คาดหวังได้ เราจะรู้ว่าเรากำลังดีลอยู่กับใคร และต้องเข้าหา หรือต่อรองด้วยวิธีไหน ทำให้เราสามารถทำงาน หรือใช้ชีวิตร่วมกับคนหลากหลายรูปแบบได้อย่างเข้าใจ และมีความสุขมากขึ้น

5. การจัดการเวลา คือการฝึกวินัยพื้นฐานที่ดีที่สุด

สิ่งที่ทำได้ยากมากกกกกที่สุดในการดำเนินชีวิตของเราเลยก็คือ "จัดการเวลา" หลายครั้งที่ชอบเสียเวลาไปกับสิ่งที่ชอบทำ มากกว่าสิ่งที่ควรทำ แล้วหลายครั้งก็ชอบเอาเวลาเป็นข้ออ้าง เช่น ตั้งใจจะออกกำลังกายตอนเย็น แต่เลิกงานก็ไปกินข้าวกะเพื่อนบ้าง นอนดูทีวีบ้าง แล้วก็บอกตัวเองว่า "ไม่มีเวลา"

การเลี้ยงหมาทำให้เราต้องจัดการกับเวลาให้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเรา "ไม่มีเวลาไม่ได้" เราต้องบังคับตัวเองให้ตื่นแต่เช้าในวันหยุด เพื่อมาให้อาหาร และพาเค้าไปเดินเล่น ผลพลอยได้คือเรามีเวลาในวันหยุดมากขึ้น (จากปกติมีแค่ครึ่งวัน เพราะตื่นเกือบเที่ยง) หรือในแต่ละวันของการทำงาน เราต้องใช้เวลาในการทำงานมากขึ้น แว่บไปดูนั่นดูนี่น้อยลง เพราะต้องเคลียร์ตัวเองให้ว่างในช่วงเลิกงาน รีบกลับบ้านมาพาหมาไปวิ่ง มาฝึกวินัยหมา ผลพลอยได้คือได้ออกกำลังกาย และได้ใช้เวลาในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้นทุกวันนี้เลยเหมือนได้ฝึกวินัยตัวเอง ด้วยการพยายามจัดการเวลาทุกนาทีให้มีค่าที่สุด (แต่ยังทำได้บ้างไม่ได้บ้างเป็นช่วงๆ นะ ^^")

หมดแล้ว 5 ข้อคิดที่ได้จากการเลี้ยงหมา เอาไว้ถ้ามีอะไรดีๆ จะมาแชร์อีกนะค้าบบบบบบบบบ

ปล. ทั้งหมดทั้งปวงคือข้อคิดที่ได้ของตัวเอง และเป็นความเห็นส่วนตัวนะฮะ ไม่มีถูกผิด

ปล2. ข้อมูลการฝึกหมาเราตามอยู่ 4-5 แหล่งข้างล่างนี้ ทิ้งไว้ให้เผื่อใครสนใจ

Website

- Yoja&Jiji (Bloggang)

- Dogilike

- cesarsway

Youtube

- Nat Geo Wild รายการ Dog Whisperer (Cesar Millan)

- Mahidol kids channel รายการ EZ Pet Care by Mahidol

- Dogilike

- PetOasis


WthoutQuote

WthoutQuote

FULL PROFILE