รีวิว Skincare Routine ช่วงกอบกู้ผิวโทรม ตาคล้ำ ผิวแพ้ sebderm (แบบละเอียดยิบ)
Bebe Kim 10 3หลังจากคลอดน้องเจคอปมาหมาดๆ ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการตื่นทุก 2 ชั่วโมงเพื่อให้นมลูก ให้เสร็จก็ปั้มนมต่อ พอตอนเช้าก็ล้างพวกขวดนม ซักเสื้อผ้าเด็ก หลังๆ มานี่ ก็ต้องคอยเล่นกับลูก ตอนลูกไม่นอน 555 ปาดเหงื่อเลยค่ะ ยอมรับว่าช่วงแรกปรับตัวไม่ทัน และหน้าโทรมมาก (ไม่มีสิว แต่โทรม!55) แถมตอนท้องอยู่เป็นเซ็บเดิร์มเพราะฮอร์โมนอีก (เซ็บเดิร์มคือผื่นแพ้ผิวหนัง ใครไม่รู้จักลองเสิร์จว่า sebderm) คือตอนนั้นหน้าพังมากกกก 555 ตอนนี้ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว ก็เลยอยากจะมาแชร์ว่าเห้ย ช่วงหน้าโทรมใช้อะไรกอบกู้แล้วได้ผลบ้าง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับสาวๆ ที่กำลังหน้าหมองๆ โทรมๆ เนอะ
ผลิตภัณฑ์ที่บีใช้ในช่วงผิวพังๆ และรู้สึกดีขึ้นคือ
Mystic Skin Rose Mist Serum
Biotherm life plankton essence
Ezerra
Ran Water Magnet Gel
Laneige Eye Sleeping Mask
คำถามคือ ทำไมใช้น้อยจัง แต่ก่อนเย๊อะเยอะ
คืองี้ค่ะ บีมีความคิดว่าช่วงที่ผิวเราแพ้อยู่เนี่ย ควรงดเครื่องสำอางทุกอย่าง และใช้สกินแคร์น้อยๆ เน้นตัวที่อ่อนโยนจริงๆ เท่านั้น ตอนนั้นบีหยุดใช้โฟมล้างหน้าไปเลยนะ ใช้น้ำเปล่าอย่างเดียวเลย หน้าก็ไม่แต่งเลย เรียกได้ว่าต้องปฏิวัติตัวเองทั้งหมดค่ะ 555
เริ่มจากตัวแรกเลย เป็นขั้นตอนแรกก่อนที่บีจะลงครีมตัวอื่นๆ นั่นก็คือน้ำแร่ค่ะ
Mystic Skin Rose Mist Serum
ตั้งแต่ตอนท้องมาก็ใช้น้ำแร่มาตลอด สลับและลองใช้หลายๆ ตัว เพราะคิดว่าช่วงท้องผิวเราจะแพ้ง่ายกว่าปกติ ก็เลยใช้น้ำแร่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นและลดการระคายเคืองนั่นเอง ส่วนตัวที่บีชอบมากๆ และใช้ประจำวันในช่วงนี้คือ Mystic Skin Rose Mist Serum
เป็นสเปรย์น้ำแร่กุหลาบเข้มข้นค่ะ ตัวนี้จะช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิวค่ะ ลดการอักเสบของผิว และช่วยเรื่องรอยดำรอยแดงจากสิวด้วย ซึ่งต่างจากน้ำแร่ตัวอื่นคือตัวนี้เป็นเซรั่มด้วย ไม่ได้ให้ความชุ่มชื้นอย่างเดียว แต่ช่วยให้ผิวใส สุขภาพดีขึ้นจริงๆ เหมือนเราบำรุงผิวอีกขั้นตอนนั่นเอง บีเลยชอบใช้ลงก่อนสกินแคร์ค่ะ
วิธีใช้คือ พอล้างหน้าเสร็จ เช็ดหน้าเรียบร้อย บีจะฉีดเจ้าตัวนี้ทันที และก็ใช้เนื้อเกลี่ยๆ ตบๆ ให้เข้าผิว แล้วค่อยลงสกินแคน์ตัวอื่น และถ้าจะใช้ฟิกเมคอัพให้แน่นอยู่ทนทั้งวัน ก็จะใช้หลังแต่งหน้าเสร็จ โดยฉีดห่างๆ ให้ฟุ้งๆ หน่อยค่ะ ได้ผลดีทีเดียวเลย ระหว่างวันบีก็พกไปด้วยค่ะ ช่วยเติมน้ำให้ผิวได้ดีเลย
ตัวนี้จะบำรุงลึกถึงชั้นผิวเลย ใช้แล้วผิวฉ่ำน้ำขึ้นค่ะ และมีกลีบกุหลาบจริงๆ ใส่ลงไปด้วย
Biotherm life plankton essence
ขั้นตอนต่อมาคือน้ำตบค่ะ เคยอ่านเจอวิธีทาครีมว่าให้ลงตั้งแต่สกินแคร์ที่บางเบาที่สุดแล้วค่อยไล่ที่หนาขึ้น ขั้นต่อมาที่หนากว่าเซรั่มน้ำแร่ก็คือน้ำตบ Biotherm life plankton essence ตัวนี้ค่ะ
จริงๆ บีเป็นคนติดน้ำตบแพลงตอนมากกกก ใช้มาตลอดและรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ได้ผลเสมอ เคยใช้ตัวที่วางขายในเซเว่นด้วยก็รู้สึกว่ามันเวิร์คทุกตัวเลย เลนฟันธงเลยว่าเป็นเพราะเจ้าแพลงตอนนี่แหละที่ดี
วิธีใช้ตัวนี้ก็ไม่ยุ่งยาก หลังจากเซรั่มน้ำแร่ซึมเข้าผิวหน้าแล้ว บีก็จะเขย่าควรเจ้าตัวนี้ เชคๆๆๆ จนไม่มีตะกอน แล้วก็เทใส่มือประมาณเท่าเหรียญห้า จากนั้นก็ใช้วิธีแตะๆ ซับๆ เบาๆ ให้เข้าผิวค่ะ
เจ้าตัวนี้จะซึมเข้าผิวช้าหน่อย ดังนั้นต้องอาศัยการแตะๆๆๆ ตบๆๆๆ นะคะ (เคยใช้ของ snowgirl แบบซองตัวนั้นซึมเร็วดีกว่า และใช้ดีเหมือนกัน)
เจ้าน้ำตบบีว่าเห็นผลชัดเจนในเรื่องของรอยสิวและรูขุมขนค่ะ ตอนเด็กๆ เนี่ย (หมายถึง 3-4 ปีที่แล้ว อิอิ) บีเป็นคนมีปัญหาเรื่องรูขุมขนตรงแก้มค่ะ จะเห็นแบบชัดเจนเลย หลังจากใช้ตัวนี้ รูขุมขนก็หายไปปริยายค่ะ จากนั้นก็เสพติดเลยต้องใช้มาตลอด เพราะกลัวว่าหยุดแล้วรูขุมขนจะกลับมา555
ช่วงที่ตั้งครรภ์แล้วเป็น Sebderm ถึงได้รู้มาว่าผิวต้องการอะไรที่อ่อนโยน (ตัวที่บีใช้ปกติก็อ่อนโยนอยู่แล้ว) และตัวนี้ก็ตอบโจทย์เพราะให้ความชุ่มชื่นบวกกับอ่อนโยน
สอยมาในราคาเกือบพัน เห้ยยย หลอดแค่นี้เนี่ยนะ! แต่ก็ใช้มาเรื่อยๆ และรู้สึกว่าผิวตรงเซ็บเดิร์มมันดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ (แต่มาหายเองจริงๆ หลังคลอด 1 สัปดาห์ หายไปเลย หายไปในอากาศ) ช่วยประคับประคองอาการเซ็บเดิร์มได้ดีค่ะ ไม่ต้องใช้เสตียรอยด์ให้เปลืองใจมาก จะกังวลเกินไปซะเปล่าๆ บีก็จะทาตรงบริเวณคางและจมูกที่เป็น แต่ตอนนี้แม้จะหายแล้วก็เอามาทาต่อ(จะทาเฉพาะก่อนนอนนะคะ เพราะเนื้อค่อนข้างหนา) รู้สึกว่าใช้แล้วผิวอิ่มน้ำขึ้น ผิวสุขภาพดี และไม่แห้งเลยค่ะ
เหมือนเป็นอีกขั้นตอนที่ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มนวลจริงๆ ตอนนี้บีก็เลยจะใช้ตัวนี้ตลอด และไม่ได้ใช้แค่กับคางเหมือนแต่ก่อน แต่ใช้ทั้งหน้าเลย
ตัวนี้ทั่วโลกคอนเฟิร์มว่ามันปลอดภัยต่อผิวมากๆ หลายๆ รีวิวก็ใช้ตอนติดเสตียรอยด์ ดังนั้นมันจะตอบโจทย์ผิวที่ Sensitive มากกก ตัวนี้ไม่ได้มีสารบำรุงผิวอะไรมากมาย แต่อย่างที่บอกคือมันให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้ดีจริงๆ และมันอ่อนโยน ทำให้ใช้แล้วเหมือนเป็นตัวฟื้นฟูผิว รอวันให้ผิวโทรมๆ ถูกผลัดไปตามกลไกลของผิวนั่นเองค่ะ
ตัวนี้หลายๆ คน น่าจะคุ้นเคยมาบ้าง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ของช่างแต่งหน้าที่ชื่อน้องฉัตร บีเองก็ติดตามอยู่ โด่งดังเพราะฝีมือการแต่งหน้าจริงๆ บีชอบที่เค้าแต่งหน้าแล้วดูผิวสวยธรรมชาติดี ก็เลยลองใช้ตัวนี้บ้าง เพราะเคลมว่าเป็นไพรเมอร์ที่บำรุงผิวด้วย
ปกติพวกไพรเมอร์หรือเมคอัพเบส จะเป็นเนื้อครีม เนื้อซิลิโคลน แต่ตัวนี้เป็นเนื้อเจลใส ทาแล้วจะไม่อุดตัน
โดยบีจะใช้ตัวนี้หลังลงสกินแคร์ทุกตัวเสร็จ และลงกันแดดแล้วค่ะ เพราะตัวนี้นอกจากจะเป็นไพรเมอร์ทำให้เครื่องสำอางทนแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวด้วย (บีแอบนับเป็นไพรเมอร์ที่เป็นสกินแคร์ไปในตัวค่ะ) ถึงบีจะไม่ได้คาดหวังเรื่องการบำรุงผิวของไพรเมอร์มาก แต่ก็ยอมรับว่าเจ้าตัวนี้ช่วยได้เยอะค่ะ และที่บีต้องใช้เลยคือตัวนี้ช่วยกันแสงสีฟ้า คือเราใช้กันแดดเนี่ยมันกันได้แต่พวก UV ใช่มั้ยคะ แต่เจ้าตัวนี้กันแสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์ไอทีต่างๆ ได้ด้วย พวกจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์ จอโทรทัศน์ต้องสยบตัวนี้
ตัวนี้พอทาลงไปแล้วจะให้ผิวที่ดูธรรมชาติ จะลงก่อนแต่งหน้าทุกครั้งเลย สำหรับบางคืนที่ใช้สกินแคร์แล้วรู้สึกผิวหน้าฉ่ำหรือมันไป จะใช้ตัวนี้ในการอุ้มน้ำในผิว ก็จะทำให้ผิวไม่มัน สบายหน้าขึ้น ช่วยกระชับรูขุมขนด้วยค่ะ
มาที่ใต้ตากันบ้าง มาสายเกาหลีสักหน่อย (จริงๆ ก็ไม่ได้ไปทางเกา แต่คือตัวนี้ใช้ดีจริง!) Laneige Eye Sleeping Mask
ใช้อายครีมมาเยอะ แต่ตัวนี้ราคาสมเหตุสมผล และรู้สึกว่าใต้ตาดีขึ้นจริง ที่รู้เพราะพอหยุดใช้สักระยะ ตาก็กลับมาสภาพเดิม ตอนนี้เพื่อไม่ให้ใต้ตาดูโทรมเกินไป บีก็จะใช้ตัวนี้ตลอด
หัวจะเป็นลักษณะแบบนี้ค่ะ มีตุ้มกลมๆ เอาไว้นวดตาค่ะ ซึ่งจะกระตุ้นช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตรอบดวงตา
แนะนำว่าก่อนใช้เนี่ย ควรจะแช่เย็นนะคะ จะฟินไปถึงโลกหน้าเลย
คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ ช่วยเรื่องผิวได้ดีจริงๆ และขอย้ำอีกครั้งนะคะ ยิ่งช่วงไหนโทรมต้องยิ่งอ่อนโยนกับผิว และแต่งหน้าน้อยๆ ถ้าจะให้ดีก็แต่งเฉพาะคิ้ว ริมฝีปาก และเปลือกตาบนเบาๆ พอ จะได้รบกวนผิวน้อยที่สุดค่ะ
และผิวโทรม ผิวแพ้หายได้ แต่ต้องใช้เวลาเนอะ บีเองก็ใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะดีขึ้น ดังนั้นต้องใจเย็นๆ และฮึดสู้ค่ะ!