★ HAUL: เห่อสกินแคร์ใหม่กับ The Ordinary ชื่อธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา ★
Nakhal 10 1
สวัสดีค่ะ
เนื่องจากช่วงต้นปีที่ผ่านมางานยุ่งมากๆ จนแทบไม่มีเวลาหยุดพักหายใจ ละเลยเรื่องการดูแลผิวไปเกือบจะสิ้นเชิง เรียกว่าไม่ได้ทาเซรั่ม ครีม หรือโลชั่นอะไรเลย นอกจากล้างหน้าด้วยโฟมวันละสองครั้งตามเวลาอาบน้ำ
พอมีเวลามาส่องกระจกอีกทีก็ต้องตกใจเพราะผิวหน้าแห้งมาก ถึงกับผิวลอกเลย ส่วนปัญหาเดิมๆ อย่างเรื่องผิวหน้าขรุขระ ไม่เรียบเนียนก็แก้ไม่หาย แม้ว่าจะลอง BHA 2% ของป้าพอลล่าจนหมดขวดไปแล้วก็ตามที (ซึ่งว่ากันตามจริง BHA เป็นตัวการทำให้หน้าแห้งด้วย)
และหลังจากนั่งอ่านรีวิวตามเว็บต่างประเทศได้สักพัก ก็สนใจแบรนด์ "The Ordinary" ขึ้นมาค่ะ
ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก คือผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นจะราคาอยู่ที่ราวๆ 10-20 USD ซึ่งก็คือประมาณ 300-600 บาท โดยทางแบรนด์เคลมว่า เป็นการใช้สาร Actives ที่มีผลต่อผิวแบบต่างๆ ที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง มาอยู่ในสภาพของสารละลาย และค่า pH ที่เหมาะกับสารแต่ละชนิด ให้ผู้ใช้ได้ลองดูว่า อันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับหน้าเรา
ความที่เดิมทีพลอยใช้ BHA เป็นโทนเนอร์ เลยเลือกสิ่งที่น่าจะทำหน้าที่แทนกันได้มาลองดู ซึ่งจริงๆ ก็ลังเลอยู่นาน เพราะเขามีผลิตภัณฑ์หลายตัวมาก แต่หลังจากอ่านรีวิวต่างๆ มากมาย สุดท้ายก็เลือกสองกล่องนี้มาลองค่ะ
เนื่องจากช่วงต้นปีที่ผ่านมางานยุ่งมากๆ จนแทบไม่มีเวลาหยุดพักหายใจ ละเลยเรื่องการดูแลผิวไปเกือบจะสิ้นเชิง เรียกว่าไม่ได้ทาเซรั่ม ครีม หรือโลชั่นอะไรเลย นอกจากล้างหน้าด้วยโฟมวันละสองครั้งตามเวลาอาบน้ำ
พอมีเวลามาส่องกระจกอีกทีก็ต้องตกใจเพราะผิวหน้าแห้งมาก ถึงกับผิวลอกเลย ส่วนปัญหาเดิมๆ อย่างเรื่องผิวหน้าขรุขระ ไม่เรียบเนียนก็แก้ไม่หาย แม้ว่าจะลอง BHA 2% ของป้าพอลล่าจนหมดขวดไปแล้วก็ตามที (ซึ่งว่ากันตามจริง BHA เป็นตัวการทำให้หน้าแห้งด้วย)
และหลังจากนั่งอ่านรีวิวตามเว็บต่างประเทศได้สักพัก ก็สนใจแบรนด์ "The Ordinary" ขึ้นมาค่ะ
ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก คือผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นจะราคาอยู่ที่ราวๆ 10-20 USD ซึ่งก็คือประมาณ 300-600 บาท โดยทางแบรนด์เคลมว่า เป็นการใช้สาร Actives ที่มีผลต่อผิวแบบต่างๆ ที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง มาอยู่ในสภาพของสารละลาย และค่า pH ที่เหมาะกับสารแต่ละชนิด ให้ผู้ใช้ได้ลองดูว่า อันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับหน้าเรา
ความที่เดิมทีพลอยใช้ BHA เป็นโทนเนอร์ เลยเลือกสิ่งที่น่าจะทำหน้าที่แทนกันได้มาลองดู ซึ่งจริงๆ ก็ลังเลอยู่นาน เพราะเขามีผลิตภัณฑ์หลายตัวมาก แต่หลังจากอ่านรีวิวต่างๆ มากมาย สุดท้ายก็เลือกสองกล่องนี้มาลองค่ะ
เจ้ากล่องขวานี่เองที่เราเลือกมาใช้แทน BHA 2% เป็นโทนเนอร์ Glycolic 7% ซึ่งจริงๆ แล้วถือว่าเป็นกรดในกลุ่ม AHA ค่ะ ราคาบนเว็บไซต์ออฟฟิเชียลอยู่ที่ 12.50 USD กับปริมาตร 240ml ถือว่าไม่แพงเลย
แต่สำหรับคนที่อยู่ในไทย ถ้าไม่สามารถฝากคนรู้จักได้ ก็ต้องซื้อจากร้านหิ้ว ซึ่งราคาก็จะสูงกว่านี้นิดนึง
จริงๆ ตอนแรกลังเลระหว่าง Glycolic กับ Lactic ค่ะ เพราะเท่าที่อ่านคำแนะนำมา เขาบอกว่า Lactic จะอ่อนโยนกว่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจสั่ง Glycolic มา เพราะคิดว่าตัวเองผ่าน BHA มาแล้ว หน้าน่าจะหนาประมาณนึง (รึเปล่า?)
แต่สำหรับคนที่อยู่ในไทย ถ้าไม่สามารถฝากคนรู้จักได้ ก็ต้องซื้อจากร้านหิ้ว ซึ่งราคาก็จะสูงกว่านี้นิดนึง
จริงๆ ตอนแรกลังเลระหว่าง Glycolic กับ Lactic ค่ะ เพราะเท่าที่อ่านคำแนะนำมา เขาบอกว่า Lactic จะอ่อนโยนกว่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจสั่ง Glycolic มา เพราะคิดว่าตัวเองผ่าน BHA มาแล้ว หน้าน่าจะหนาประมาณนึง (รึเปล่า?)
ขวดตอนแรกแกะจากกล่องฝาจะไม่ใช่แบบนี้ค่ะ จะเป็นฝาปิดธรรมดาๆ เหมือนขวดน้ำ ส่วนฝานี้จะมีแยกมาต่างหากอยู่ในกล่อง เวลาใช้เราบิดแล้วเกลียวมันจะเปิดช่องว่างให้สามารถหยดน้ำผลิตภัณฑ์ออกมาได้ คล้ายๆ ขวดพริกไทยเลยค่ะ
ส่วนโทนเนอร์ Glycolic Acid จะเป็นน้ำสีชาอ่อนๆ อย่างที่เห็นในภาพเลย ทางแบรนด์แนะนำว่าควรใช้เฉพาะตอนเย็นเท่านั้น เพราะจะทำให้ผิวหน้าเซนซิทีฟต่อแสงค่ะ
ซึ่งหลังจากใช้มาได้ 4-5 วัน ในแง่ของความเรียบเนียนของผิวยังบอกอะไรไม่ได้ เพราะเพิ่งใช้ได้ไม่นาน แต่รู้สึกว่าผิวหน้านิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่ใช้เลยค่ะ จับแล้วหน้ารู้สึกนิ่มๆ หยุ่นๆ
ส่วนโทนเนอร์ Glycolic Acid จะเป็นน้ำสีชาอ่อนๆ อย่างที่เห็นในภาพเลย ทางแบรนด์แนะนำว่าควรใช้เฉพาะตอนเย็นเท่านั้น เพราะจะทำให้ผิวหน้าเซนซิทีฟต่อแสงค่ะ
ซึ่งหลังจากใช้มาได้ 4-5 วัน ในแง่ของความเรียบเนียนของผิวยังบอกอะไรไม่ได้ เพราะเพิ่งใช้ได้ไม่นาน แต่รู้สึกว่าผิวหน้านิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่ใช้เลยค่ะ จับแล้วหน้ารู้สึกนิ่มๆ หยุ่นๆ
ส่วนอีกกล่องเป็น Alpha Laipoic Acid (ALA) ที่มาในขวดดร็อปเปอร์ค่ะ เจ้าตัว ALA นี่ในคำแนะนำของทางแบรนด์บอกว่า ไม่ควรใช้เกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
และเท่าที่อ่านจากเว็บบอร์ดต่างประเทศ เค้าแนะนำให้ใช้คู่กับพวกออยล์ หรือผลิตภัณฑ์ออยล์เบส จะลดโอกาสระคายเคืองได้ ส่วนตัวเลยใช้คู่กับ Origin Mega-Mushroom Skin Relief Soothing Lotion ซึ่งเป็นโลชั่นออยล์เบสค่ะ
จริงๆ ที่รู้ไม่ใช่เพราะไปนั่งอ่านส่วนผสมอะไรหรอก คือมีครั้งนึงเคยเด๋อเอาใส่กระปุกเล็กๆ ไปเข้ายิม ปรากฎแยกเป็นชั้นน้ำมันเลย อาเมน...
ตอนนี้เพิ่งใช้ไปแค่ 3 ครั้งเอง คงบอกผลอะไรไม่ได้ ไว้ใช้ไปสักสองเดือนจะกลับมารีวิวใหม่ แต่ส่วนตัวไม่มีอาการระคายเคืองค่ะ
และเท่าที่อ่านจากเว็บบอร์ดต่างประเทศ เค้าแนะนำให้ใช้คู่กับพวกออยล์ หรือผลิตภัณฑ์ออยล์เบส จะลดโอกาสระคายเคืองได้ ส่วนตัวเลยใช้คู่กับ Origin Mega-Mushroom Skin Relief Soothing Lotion ซึ่งเป็นโลชั่นออยล์เบสค่ะ
จริงๆ ที่รู้ไม่ใช่เพราะไปนั่งอ่านส่วนผสมอะไรหรอก คือมีครั้งนึงเคยเด๋อเอาใส่กระปุกเล็กๆ ไปเข้ายิม ปรากฎแยกเป็นชั้นน้ำมันเลย อาเมน...
ตอนนี้เพิ่งใช้ไปแค่ 3 ครั้งเอง คงบอกผลอะไรไม่ได้ ไว้ใช้ไปสักสองเดือนจะกลับมารีวิวใหม่ แต่ส่วนตัวไม่มีอาการระคายเคืองค่ะ