เล่าเรื่อง + เห่อ Max Factor เครื่องสำอางที่ขายมาเป็น100ปี และปัจจุบันก็ยังขายอยู่!!

14 3
กระทู้นี้จะมี 2 ส่วนด้วยกัน
- เล่าที่มาที่ไปของ Max Factor สาเหตุที่อยากจะเล่าเพราะพี่เค้าเป็นเมคอัพแบรนด์แรกที่ทำขายผู้หญิงทั่วไปค่ะ เรื่องจะเล่ามันเลยเยอะ ประวัติเค้ายาวนานร่วมร้อยปี จะให้เล่า5บรรทัดจบ ก็คงจะไม่ได้

- เห่อ ปน รีวิว ผลิตภัณฑ์ของ Max Factor ที่เราเพิ่งซื้อมา เพราะพี่เค้าเพิ่งกลับมาขายในไทย หลังจากเลิกขายไปเมื่อประมาณ10กว่าปีที่แล้ว

เราเป็นพวก make up geek ที่ชอบอ่านที่มาที่ไป อ่านประวัติของแบรนด์ก็เลยจะอินๆหน่อยกับเรื่องราวที่แต่ละแบรนด์เค้าอยากจะนำเสนออ่ะนะ

ทุกอย่างในกระทู้เราซื้อด้วยเงินตัวเอง
ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับทาง Max Factor Thailand
แต่ถ้า Max Factor อยากส่งของมาให้เราในฐานะลูกค้าแสนดี

ก็ติดต่อมาได้นะคะ 555 ยินดีรับไว้ทันที

----------------------------------------------------------------------------------------------------

เราคิดว่าหลายๆคนที่เพิ่งเข้าวงการการแต่งหน้าซัก5ปีถอยหลังลงมา
ไม่น่าจะรู้จักยี่ห้อนี้กันแล้ว แต่ถ้าไปถามรุ่นแม่ หรือรุ่นยายต้องรู้จัก
ยี่ห้อ Max Factor แน่นอน เพราะมันเก่าแก่มากๆ
เรารู้จัก Max Factor จากยายและแม่เนี่ยแหละ
เมื่อก่อนเห็นแม่เล่าว่ายี่ห้อนี้ก็ตีคู่สูสีมากับ Revlon
จะหาซื้อได้ตามห้างเซ็นทรัล หลังๆหายไปเกิดอะไรขึ้นมิทราบ
จนเพิ่งกลับมาขายเมื่อปลายปี2018
Max Factor มาจากชื่อของคนก่อนตั้งแกชื่อ Max Factor เนี่ยแหละ
จากนี้จะขอเรียกว่าเฮียแม็คแล้วกัน จะได้เล่าเรื่องกันง่ายๆ
จะว่าไปหน้าตาลุงเขานี่ไม่ให้จะเป็นช่างแต่งหน้าเลยนะคะ
เหมาะจะเป็นสส. สว.ซะมากกว่า
เฮียแม็คแกเป็นช่างทำวิกและก็แต่งหน้าให้กับพวกนักแสดงตามละครเวที
คือสมัยเฮียแม็คเนี่ย มันยังไม่มีภาพยนตร์ให้ดูกันนะเธอ
คนจะดูละครก็คือไปดูละครตามโรงละคร ที่ใช้คนแสดงสดๆ
การแต่งหน้าสมัยนั้นมันก็จะอารมณ์แบบเหมือนเอาสีมาทาหน้าอ่ะจ่ะ
เครื่องสำองเครื่องสำอางไม่มี๊!!!
เพราะคนสมัยนั้นเขาถือว่าผู้หญิงแต่งหน้าคือผู้หญิงทำตัวไม่งามจ้ะ
เพราะงั้นเครื่องสำอางไม่ใช่ของที่มีขายทั่วไปนะเอ้อ
จะจำกัดอยู่ในหมู่นางละครและผู้หญิงกลางคืนเท่านั้น!!!
จากนั้นหนังขาวดำก็เริ่มเข้ามาปฏิวัติวงการค่ะ
เฮียแม็คด้วยความที่เป็นช่างแต่งหน้ามือทองคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง
แกอ่านขาดทันทีว่าเมื่อการถ่ายทำภาพยนตร์
ดารานักแสดงจะแต่งหน้าแบบเดิมๆเหมือนที่เคยใช้กับละครเวทีต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
เนื่องจากหนังขาวดำเนี่ย มันไม่มีสีใช่ไหมเพื่อนๆ
สิ่งที่ทำให้เรามองออกว่าอะไรเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับการจัดแสง
เฮียแม็คเห็นว่าการแต่งหน้าแบบละครเวทีพอเอามาใช้กับหนัง
มันทำให้คนดูไม่เหมือนคน ไม่สามารถแค็ปเจอร์ความสวยหล่อของนักแสดงได้

แกเข็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกออกมาทันที
นั่นก็คือ greasepaint ซึ่งมันก็อารมณ์ครีมบลัชแหละค่ะ
ที่สามารถใช้กับหน้าก็ได้ หรือกับปากก็ได้

หลังจากผลิตภัณฑ์ตัวแรกออกมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในวงการละคร/หนัง
ในสมัยนั้นเมคอัพยังไม่ได้วางขายให้ซื้อได้ทั่วไปนะคะ
ชื่อของเฮียแม็คก็กลายเป็นช่างแต่งหน้ามือวางอันดับหนึ่ง
เรียกว่าใครจะถ่ายหนังอะไร จะเอาดาราคนไหนมาเล่น
ต้องตามตัวเฮียแม็คมาแต่งหน้าให้ 
สมัยก่อนเนี่ยคำว่า Make Up มันยังไม่มีบัญญัติไว้
เฮียแม็คเนี่ยแหละ แกเป็นคนบัญญัติคำนี้ขึ้นมา
ประมาณว่า ไม่สวยไม่เป็นไร อะไรไม่มี ก็ สร้าง (make) ขึ้น (up) เอาก็ได้
จากเครื่องสำอางของแก
จนอะไรก็ตามที่เป็นเครื่องสำอางก็ฝรั่งก็จะเรียกรวมๆว่า Make Up มาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยความที่เฮียแม็คทำงานกับดาราบ่อยๆ
แกก็จะชอบเอาดารามาโฆษณาขายของให้ค่ะ
เรียกว่าก็แกนี่ละมั้งที่ทำเทรนด์เอาคนดังมาประชาสัมพันธ์สินค้าให้
แถมดาราพวกนี้ก็ใช้ของแกจริงๆซะด้วย
เรื่องของเรื่องยุคนั้นมันก็มีแต่ของแกแหละที่มีให้ใช้ 5555

ในภาพด้านล่างคือโจแอน ครอวฟอร์ด
ถ้าเทียบความดังก็คงแองเจลิน่า โจลี่ช่วงพีคๆค่ะ
โจแอนเป็นดาราฆ่าไม่ตาย
เริ่มเล่นหนังตั้งแต่ยุคหนังเงียบ แล้วก็รอดตายมาจนถึงหนังยุคมีเสียง

ต้องเข้าใจก่อนว่าในช่วงหนังเงียบเนี่ย
มีดาราหลายคนที่ไม่สามารถพูดออกจอได้
เนื่องด้วยเสียงไม่เพราะ พูดไม่ชัด
หรืออะไรก็ตามแต่ซึ่งจุดนี้มันทำให้ความนิยมของดาราคนนั้นๆเสื่อมลงค่ะ
อารมณ์เหมือนเราปัจจุบันแชทกับคนแปลกหน้า
ก็มโนว่าเขาหล่อสวยต่างๆนาๆ พอไปเจอตัวจริงหน้าตาอีกเรื่อง
มันเลยทำให้เสน่ห์หมดไป
ดาราหลายๆคนที่เล่นหนังเงียบ พอเข้าสู่ช่วงหนังมีเสียงก็ตกงานกันก็ทีเดียว

ผลงานของเฮียแม็คที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆก็คือการแต่งหน้าให้กับจีน ฮาโลว์
เซ็กซี่สตาร์รุ่นเดอะค่ะ ต้องใช้คำว่ารุ่นเดอะจริงๆ เพราะจีน ฮาโลว์โด่งดัง
อยู่ในช่วงปี 1932 - 1936 หรือราวๆ 87 ปีที่แล้ว นานนนนมากไหมละ
และจีน ฮาโลว์คนนี้เนี่ยแหละเป็นไอดอลให้แก่หนูน้อยมาริรีน มอนโรล
มาริรีนได้อินสไปเรชั่นมาจากจีนจนเธอกลายเป็นเซ็กซี่ไอค่อน
หลายๆคนอาจจะคิดว่ามาริรีนคือต้นแบบสาวผมบลอนด์สุดเซ็กซี่
แต่จริงๆแล้ว ต้นตำนานผมบลอนด์คือจีน ฮาโลว์ต่างหาก
เอาเป็นว่าถ้ายุคนั้นมีวิกตอเรีย ซีเคร็ท จีน ฮาโลว์ก็คือแม่ของแม่ของแม่ของความเซ็กซี่ของนางแบบวิคตอเรียอีกที

แต่ความงามในยุคนี้กับยุคนั้นไม่เหมือนกัน
จีน ฮาโลว์ที่ทำคุณปู่คุณตาหรืออาจจะคุณทวดของเราหัวใจเต้นแรงในสมัยนั้น
อาจจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปสำหรับคนสมัยนี้

และในปี 1935
เฮียแม็คก็ผลิตแป้งพัฟออกมาขายเป็นเจ้าแรก ตั้งชื่อเก๋ๆว่า แป้งแพนเค้ก
เพราะจากหนังขาวดำ กำลังจะถูกเปลี่ยนผ่านไปเป็นหนังที่มีสีแล้วจ้า
เฮียแม็คจึงต้องไม่หยุดยั้ง พัฒนาสินค้าใหม่ๆตลอดเวลา

จากนั้นไม่นานเฮีย แม็คก็ตายไปในปี 1938 ค่ะ
Max Factor คนลูก (ใช้ชื่อเดียวกัน)
เข้ามาดำเนินกิจการต่อ
ซึ่งตรงนี้แหละเป็นจุดเปลี่ยน
เมื่อก่อนเครื่องสำอางของ Max Factor จะขายให้พวกกองถ่าย
หรือรับโมหน้าให้พวกดาราเท่านั้น ไม่ได้ขายเป็นวงกว้างให้ผู้หญิงทั่วไป
Max Factor คนลูกเปลี่ยนใหม่ นำเอาสินค้าผลิตภัณฑ์ออกขายทั่วไป
เพื่อให้ผู้หญิงที่อยากสวยเหมือนดารา ได้สวยสมใจ
ใช้ยี่ห้อเดียวกับดาราเลยเป็นไง สวยแน่ๆ

แต่ซาลอนของMax Factor ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่นะคะ
ในยุคนั้นดาราดังๆก็ยังคงแวะเวียนไปใช้บริการของ Max Factor
เช่น Ava Gardner
ซึ่งในปัจจุบันนี้ Max Factor ยังคงเอาชื่อ Ava มาเป็นจุดขายของแบรนด์อยู่เลยค่ะ

หลังจากนั้นแบรนด์ Max Factor ก็ยังคงเป็นที่นิยมมาเรื่อยๆค่ะ
ออกรองพื้นแบบแท่งมาวางขายในปี 1947




ออกแป้งผสมรองพื้น ในปี 1953
ซึ่งปัจจุบันนี้แป้งตัวนี้ยังมีขายอยู่ให้หาซื้อได้
ประมาณ300กว่าบาทที่วัตสัน

ยังไม่พอ Max Factor เป็นยี่ห้อแรกจริงๆที่ที่พัฒนามาสคาร่าแบบแท่งออกวางขายค่ะ สมัยก่อนเนี่ยมาสคาร่ามันจะมาเป็นแบบก้อนแห้งๆเวลาใช้ก็ต้องหยดน้ำใส่เอา แล้วเอาแปรงเล็กๆคล้ายๆแปรงสีฟันมาแปรงที่ขนตา

มาสคาร่าแท่งแบบในปัจจุบัน เหมือนจะเป็นอะไรที่ปฏิวัตินะคะ
แต่ตอนวางขายครั้งแรก มันไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก
มาสคาร่าเลยจัดเป็นผลงานที่ค่อนข้างแป้ก(ในตอนแรก)ของแบรนด์

Max Factor เป็นแบรนด์ที่เกิดและโตมาพร้อมกับฮอลลีวู้ดเลยค่ะ
ถ้าใครจะเคลมแรงเอาเครดิตตรงนี้ก็คงจะเป็น Max Factor นั่นแหละ
เพราะไม่ว่า Max Factor จะขายอะไร มักจะเอาฮอลลีวู้ดแปะท้ายไว้เสมอ
ประมาณว่าชั้นนี่แหละตัวจริงที่ดาราหนังต้องใช้ (เมื่อก่อนอ่ะนะ)
ความนิยมของ Max Factor ค่อยๆเสื่อมลงไปในยุค 70s เป็นต้นมาค่ะ
จากผลิตภัณฑ์ที่ดาราหนังใช้ ดรอปลงมาเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ง่ายๆในดรักสโตร์
คนรุ่นใหม่ๆก็รู้สึกว่ามันเป็นเครื่องสำอางโบราณของแม่ของยายหรือไม่ก็อาจจะไม่รู้จักไปเลย ในช่วงปี80s - 90s Max Factor ถูกเปลี่ยนมือไปมาหลายบริษัท

ตอนแรกไปอยู่กับเรฟล่อน ตอนหลังเรฟล่อนขายให้ P&G
ช่วงนี้ที่ Max Factor ย่ำแย่มากๆ จนต้องเลิกขายในอเมริกาไปเลย
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจะไม่ค่อยได้ยินบิวตี้บล็อกเกอร์อเมริกัน
พูดถึงยี่ห้อนี้นะคะ เพราะในอเมริกาไม่มีขายแล้วนั่นเอง

ปัจจุบันนี้ Max Factor ถูกขายให้บริษัท Coty
ก็ยังไม่มีขายในดรักสโตร์อเมริกานะคะ
แต่จะมีอีกยี่ห้อคู่เหมือนที่ขายแทนนั่นก็คือ Covergirl

สังเกตุดีๆจะเห็นว่าสองยี่ห้อนี้มีผลิตภัณฑ์เหมือนกันเป๊ะ
ต่างแค่ชื่อยี่ห้อกับชื่อรุ่นเท่านั้น





เข้าช่วง Haul + มินิรีวิวค่ะ




1. Heathy Skin harmony ราคา 419 บาท สี soft honey

รองพื้นตัวนี้เค้าอ้างว่ามันดีต่อผิว ใส่สารบำรุงมาให้

เท่าที่ดูกันจริงๆนะ 4อันดับแรกของส่วนผสมที่ใส่มา
มี น้ำ,สารหล่อลื่น,ซิลิโคนชนิดเบา แล้วก็กลีเซอรีนช่วยในเรื่องความชุ่มชื่น
ขอดูแค่4ตัวแรก เพราะส่วนผสมเขาเรียงจากมากไปน้อย ตัวที่จะกำหนดทิศทางของผลิตภัณฑ์ว่าจะไปทางไหน มันก็สารลำดับแรกๆที่เขาใส่มานั่นแหละ แล้วเราก็แอบเห็นว่าเขาใส่ Niacinamide มาในลำดับท้ายๆ

ก็ถือว่าโอเค ใส่สารบำรุงมาจริงตามคำเคลม แต่ว่ามันจะมากพอที่จะช่วยผิวหน้าได้จริงรึเปล่า อันนี้แล้วแต่บุคคล เราคิดว่าถ้าจะบำรุงหน้าจริงๆยังไงก็คงต้องพึ่งสกินแคร์มากกว่ารองพื้นอ่ะนะ

ฟีลลิ่งที่ใช้ ขอยกความดีความชอบให้เพราะเป็นรองพื้นที่เบาสบายหน้า ทาแล้วไม่รู้สึกหนัก ตรงนี้ชอบ

ฟินิชที่ได้ เป็นงานผิวที่แมท ความปกปิดและผิวที่ได้คล้ายๆลอรีอัลทรูแมช แต่ว่าตัวนี้มันจะให้ลุคที่แมทไม่ใช่ดิวอี้แบบลอรีอัล เราค่อนข้างชอบที่เดียวนะ
รองพื้นตัวนี้ไม่คุมมัน และไม่ทำให้หน้ามันเพิ่มจากปกติ

ข้อเสีย 
- มีน้ำหอม กลิ่นชวนเวียนหัว
- ออกซิไดซ์แบบร้ายแรงมาก ตอนที่บีบออกมาจากขวด กับตอนที่มันแห้งแล้ว สีจะเปลี่ยนเป็นสีส้มอย่างร้ายกาจ มันไม่เหลืองนะ มันออกส้ม ซึ่งจะทำให้หน้าเราคล้ำๆหมองๆ เหมือนฝรั่งที่ชอบทำผิวแทนแล้วมันไม่เข้ากับตัวเองอ่ะ

คะแนน ให้ 3.5/5 ชอบความรู้สึกและฟินิชที่ได้ 
แต่หักเพราะเรื่องสี เนื่องจากสีมีให้เลือกน้อยและยังออกซิไดซ์เป็นสีส้ม

fyi เราเป็นสาวผิวเข้มประมาณ NC40 ของ MAC นะคะ 
2. Facefinity all day primer 399 บาท
จะบอกว่าตัวนี้เป็นไพร์มเมอร์ที่ดีประมาณนึงเลย เพราะช่วยได้เยอะในเรื่องความมันและเรื่องของเมคอัพติดทน เวลาทาลงไปบนหน้าต้องรอซักพักในมันเซ็ทตัว แล้วหน้าจะแอบหนึบเล็กๆ เป็นอันว่าทารองพื้นต่อได้ ลองมาแล้ว รองพื้นติดทนนานขึ้นจริงและหน้ามันน้อยลงจริง

ข้อเสีย มันจะทำให้รองพื้นที่ดูหนาขึ้นค่ะ ถ้าเป็นไปได้ใช้รองพื้นที่ปกปิดน้อยหรือปกปิดปานกลางกับไพร์มเมอร์ตัวนี้ดีกว่า ถ้าเอารองพื้นหนาๆมาใช้กับไพร์มเมอร์ตัวนี้หน้าจะดูหนามาก

ให้ 4/5 ค่ะ ชอบ แต่ต้องระวังอย่าให้เยอะเกินไป และอย่าใช้กับรองพื้นหนาๆ
ไม่งั้นหน้าหนานะเธอ
3. Mastertouch Concealer 249 บาท 
ดีกว่าที่คิดค่ะ เราซื้อมาเพราะอยากลองแบรนด์นี้เฉยๆไม่ได้คิดว่ามันจะดี เอาจริงๆเลยนะ เพราะหน้าตามันดูโบราณมาก แถมยังให้น้อยอีก ปรากฏว่าดี ดีตรงที่มันไม่ตกร่องซึ่งหายากอ่ะ ตั้งแต่ใช้คอนซีลเลอร์ดรักสโตร์มามีตัวนี้ กับเมย์เบลลีนฟิตมีที่ไม่ตกร่อง ที่เหลือจับตัวตามร่องหมดเลย ปกปิดระดับปานกลาง เนื้อไม่เล่นแสงเหมือนลอรีอัลทรูแมช เหมาะกับเอาไว้ปิดรอย มากกว่าเอามาทำไฮไลท์นะคะ แล้วอย่าไปคิดว่าหัวฟองน้ำมันจะทำให้เกลี่ยง่ายนะคะ เพราะมันไม่ช่วยอะไรได้เลยค่ะ เอาไว้ป้ายๆอย่างเดียวต้องใช้นิ้วหรือฟองน้ำเกลี่ยเหมือนเดิม คอนซีลเลอร์ตัวนี้ใช้งานกับรองพื้นที่มีฟินิชเป็นแป้งๆได้ดีไม่เป็นคราบค่ะ 

ข้อเสีย สีมีให้เลือกน้อย และปริมาณให้น้อย จัดว่าแพงกว่าชาวบ้านเค้า หัวฟองน้ำใช้งานไม่ได้จริง เพราะแข็งและใช้เกลี่ยไม่ได้

ยังให้ 4/5 เพราะตัวเนื้อคอนซีลเลอร์ดิสกว่าที่คีย์ หัก1คะแนน เพราะตัวหัวฟองน้ำใช้งานไม่ได้จริง
4. Facefinity Compact 399 บาท สี Golden 
หน้าตาจะเชยไปไหนคะคุณพี่ เชยจริงๆ เชยสะบัดเลย ถ้าไม่รู้จักยี่ห้อนี้มาก่อนก็คงไม่ซื้ออะคะ แต่เป็นอีกอย่างนึงที่อยากจะบอกว่าอย่าไปตัดสินมันจากภายนอก เพราะแป้งดีกว่าที่คิด อีกแล้ว ตัวแป้งเนียนดี และติดหน้า เป็นแป้งผสมรองพื้นที่ไม่ได้หนา ให้ลุคบางๆ แต่เบลอสิ่งชั่วร้ายได้พอสมควร พัฟนุ่ม ไม่คุมมันนะคะ

ข้อเสีย ตลับใหญ่เทอะทะ มีสีให้เลือกน้อยมาก (แล้วตกลงมากหรือน้อย5555)

ให้ไป 4/5 แป้งเนื้อละมุนดี ละเอียด ไม่ได้คุมมันจัด แต่ตลับเทอะทะเกะกะมากเว่อ ทำให้มันเล็กๆหน่อยก็ไม่ได้
5. Cream Puff Blush 359 บาท สี Nude Mauve
จำได้เมื่อก่อนมันเป็นที่ต้องการมาก เพราะทางฝรั่งเขาทำมาว่าเป็น dupe ของบลัช hourglass ซึ่งตัว hourglass เราไม่เคยใช้นะ เท่าที่ดูบลัชตัวนี้เนื้อนัวร์ละเอียดเลย
แต่ที่เราซื้อมาเนี่ยสีมันค่อนข้างอ่อนไปสำหรับผิวเรา เลยปัดแล้วไม่ค่อยเห็นสีเท่าที่ควร เราจะเอาไว้ปัดท็อปปิ้งบนบลัชสีอื่นอีกที ถ้าคนขาวใช้มันจะนัวสวยมากๆ

ข้อเสีย มันเป็นบลัชแบบเบค ถ้าใช้แปรงขนสังเคราะห์บางทีจะจิกสีไม่ขึ้น ใช้แปรงขนสัตว์จะดีกว่า และอีกข้อนึงสีอ่อนไปสำหรับเรา (แต่อันนี้มันเป็นที่เราเลือกสีผิดเอง)

คะแนน 5/5 บลัชสีละมุนสวยมากค่ะ ตัวนี้ยืนหนึ่ง

สรุปภาพรวม 


ผลิตภัณฑ์ค่อนข้างประทับใจ
แต่จัดว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับหน้าตาของมันนะคะ
เพราะก้องแก้ง ป๋องแป๋ง แถมยังเชยๆ 
ไม่เฉี่ยว(และถูก)เท่าเมย์เบลลีน หรือดูดี(สำหรับของราคาไม่แพง)เท่าลอรีอัล

แต่พอลองซื้อมาใช้  ก็เอ้อ ดีเหมือนกันนะ

ไม่แนะนำให้ซื้อราคาเต็ม เพราะลดบ่อย และเวลาลด ลดเยอะค่ะ
เหมือนเค้าตั้งราคามาเผื่อลดอ่ะ เพราะงั้นอย่าไปซื้อราคาเต็ม

อย่างเราเนี่ยทุกตัวที่ซื้อมาลดหมดเลย
ตัวไพร์มเมอร์ ราคาเต็ม 399 ตอนลดเหลือแค่ 200 บาท
ตัวรองพื้น ราคาเต็ม 419 ตอนลดเหลือ 350
ตัวแป้งตลับ 399 ตอนลด 319 บาท
บลัช 359 ตอนลดเหลือ 259 บาท
มีคอนซีลเลอร์ตัวเดียวที่ซื้อราคาเต็ม

คิดว่าวัตสันน่าจะเวียนลดราคาเรื่อยๆ

มีผิดหวังจริงๆจากที่ลองทั้งหมดก็คือเรื่องของสีรองพื้นแค่ตัวเดียว
นอกนั้นบอกตรงๆว่าชอบ และแปลกใจที่มันดี
ลืมบอกไปอีกอย่าง ทุกตัวผลิตใน Ireland หมดเลย
ถึงจะไม่ได้หรูหราหมาเห่า แต่ก็ให้ความรู้สึกดีกว่า Made in China น่ะนะ

สำหรับสาวๆที่อยู่อเมริกา ถ้าสนใจอยากลอง
ให้ไปซื้อ Covergirl เอานะคะ ของมันเหมือนกัน

วันนี้จบแค่นี้แหละค่ะ 





victorym

victorym

To live with thrive of being alive.

FULL PROFILE