โดน bully มาตั้งแต่จำความได้ เพราะว่าเราไม่เหมือนใครแค่นั้นเอง
Pangculalla 44 13
วันนี้แป้งจะมาพูดถึงประสบการณ์ของตัวเองที่โดน Bully นะคะ สาเหตุมันเกิดจากที่แป้งเกิดมามีผิวเผือก มีสายตาที่ไม่ปกติเหมือนคนอื่นแล้วก็แพ้แดดค่ะ
ตั้งแต่จำความได้แป้งก็เป็นคนที่ไปไหนมาไหนก็มีคนมองแปลกๆ มาตลอด มองกันทีก็จ่องกันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ตอนช่วงอนุบาลก็ยังไม่ค่อยเท่าไร เต็มที่ก็แค่โดนแกล้ง โดนเพื่อนโยนความผิดให้จนต้องโดนตีแทน
พอขึ้นมาช่วง ป.1 ป.2 จนถึง ป.6 ก็ยังคงคอนเสปการโดนแกล้งแบบเดิม เพิ่มเติมคือจำนวนคนที่มาลุมแกล้งที่เยอะขึ้น แล้วก็เริ่มมีคำว่าอีขาว อีกเผือกเกิดขึ้น กับเพื่อนร่วมห้องและเพื่อนห้องอื่นๆ ในชั้นเดียวกันก็จะมีแค่นี้นะคะ แต่ที่หนักมากๆ ก็มันจะเป็นคนข้างนอกมากกว่า
การแสดงออกของคนที่เดินผ่านๆ กันบางคนก็ทำท่ารังเกียจ บางคนก็เกรียดแล้วมาด่าอีกนั่นอีนี่เป็นคำหยาบคาย แล้วก็จะมีบางช่วงที่มีประโยคว่า “ดำดีสีไม่ตกขาวสกปรกคบไม่ได้” เป็นประโยคยอดฮิต ประโยคนี้เป็นประโยคที่คนอื่นๆ พูดใส่แป้ง มันยิ่งทำให้รู้สึกว่ามีแต่คนรังเกรียดแป้งทั้งๆ ที่แป้งไม่เคยทำอะไรให้ใคร ลามมากจนถึงเพื่อนที่เรียนด้วยกัน จนเกิดเป็นปัญหาเพื่อนที่สนิทไม่ยอมเล่นด้วย แล้วตอนนั้นคือเด็กมากๆ การที่เพื่อนไม่เล่นด้วยมันเป็นอะไรที่เศร้ามาก แต่ยังดีที่ความสนิทกันมันมีประโยชมันทำให้เพื่อนอยากมาเล่นกับเราเหมือนเดิมได้
ช่วง ม.ต้นก็ไม่ได้ต่างจากปฐมสักเท่าไร แต่มันมีเพิ่มมาในเชิงความอิจฉามากกว่า เพราะเวลาเรียนแป้งมองกระดานไม่เห็น จดก็ช้าไม่ทันคนอื่น อยู่ในห้องเรียนก็จะนั่งเฉยๆ แล้วคอยขอสมุกเพื่อนที่สนิทมาลอกตามที่บ้าน แต่มันมีวิชานึงที่ครูไม่เข้าใจ แล้วถามโน่นถามนี่ เปรียบเทียบกับคนอื่นไปเรื่อย แล้วก็มีพูดว่า”น่าจะมีโรงเรียนเฉพาะเนอะจะได้ไม่ถ่วงคนอื่น” หลังจากนั้นพวกกลุ่มผู้ชายในห้องก็เริ่มพูดจาไม่ค่อยดีกับแป้งขึ้นมา หาว่าแป้งแกล้งมองไม่เห็นจริงๆ ขี้เกียจเขียน เอาเปรียบคนอื่นไม่ต้องทำอะไรก็ได้เกรด หลังจากนั้นก็มามีประเด็นที่แป้งสอบไม่ผ่านวิชาของครูคนเดิม แล้วครูก็ให้คนที่ตกคัดรายมือมาส่ง ซึ่งแป้งก็คัดรายมือมาส่งตามกำหนดเหมือนคนอื่น แต่ครูบอกว่าแม่แป้งเคยเรียนกับเขา เขาบอกว่ารายมือแม่แป้งเป็นแบบนี้ แป้งไม่ได้ทำเอง แป้งให้แม่เขียนให้ แค่แป้งก็เถียงว่าแป้งเขียนเองแล้วรายมือแม่ก็ไม่ใช่แบบนี้ด้วนเถียงจนร้องให้ แล้วครูก็พูดว่าไม่เป็นไรช่างเถอะส่งก็คือส่ง แต่มันไม่จบแค่นั้นนะสิคะ มันกลายเป็นว่าแป้งบีบน้ำตาให้ครูสงสาร แล้วเพื่อนทุกคนคือเชื่อหมดเลยว่าแป้งให้แม่เขียน ยกเว้นคนสนิทเพราะจำรายมือได้ ตอนนั้นหนักมากๆ ที่ไปเรียนแล้วมีแต่คนด่าคนแกล้งแต่เราไม่เคยทำใครเลย แค่นั้นยังไม่พอค่ะ จากการแพ้แดดของแป้งตอนที่เรียนยุวะถ้ามีต้องตากแดดครูจะให้แป้งไปหลบอยู่ในร่ม คราวนี้จากที่โดนแค่พวกเพื่อนผู้ชาย เพื่อนผู้หญิงที่ไม่สนิทก็เริ่มมีอาการบ้างแล้ว ก็จะพูดเหน็มแบบ “ดีจังแค่มานั่งดูคนอื่นก็จบเหมือนกัน คนอื่นร้อนแทบตายเหนื่อยแทบตาย ตัวเองอยู่ในร่มสบาย”
แต่ช่วง ม.ต้น ก็ถือว่ามีความโชคดีที่มีเพื่อนสนิทกลุ่มใหญ่เลยผ่านมาได้แบบไม่อะไรมากมาย เพราะแป้งเลือกใส่ใจแค่คนที่สำคัญกับแป้ง คนอื่นช่างมัน จะมีแค่แอบรำคาญและเบื่อบ้างเพราะไม่เข้าใจว่าเราทำผิดอะไรขนาดนั้น
อ๊ะๆ เกือบลืมเรื่องนึงช่วง ม.3 มีเด็กใหม่เข้ามาเรียน แต่ว่าคนละห้องกับแป้งนะคะ เป็นผู้ชาย ตัวสูง ผิวขาว หน้าตาดี บ้านฐานะ มีคนชอบเขาเยอะมาก แต่แป้งไม่เคยรู้เลย แล้ววันนึงมีพี่ผู้หญิง ม.ปลาย วิ่งมาขอเบอร์แป้งบอกว่าน้องพี่อยากรู้จัก แป้งไม่ได้คิดอะไรพี่เขาน่ารักดีแป้งก็เลยให้ แล้วเขาก็โทรมาคุย แล้วก็เลยได้รู้ชื่อแล้วเขาก็ว่าถ้าอยากรู้ว่าเขาคือคนไหนให้มองไปท้ายๆ แถวเพราะเขาสูงสุดในห้อง สะพายกระเป๋าสีแดง และด้วยความที่แป้งมองเองไม่เห็น แป้งก็เลยบอกให้เพื่อนสนิทมองแทน แล้วพอบอกชื่อและลักษณะไปปุ๊บ เพื่อนไม่ต้องมองเลย เพื่อนอ๋อทันที แล้วบอกว่าเป็นเด็กใหม่น่ารักมาก มีแต่คนชอบ แต่ไม่เห็นเขามีเพื่อนเลย แล้วก็เหมือนจะหยิ่งด้วย แล้วพอมีคนเริ่มรู้เรื่องก็มีคนมาพูดใส่ว่า “สงสัยเขาชอบของแปลกมั้งเขาถึงชอบแก” แล้วไม่ได้พูดใส่แค่กับแป้ง ไปพูดถามเขาอีกว่า “ขอบของแปลกหรอ ไม่น่าหละไม่คุยกับใครเลย” แล้วไม่รู้มีพูดอะไรอีกรึป่าวเพราะเรียนคนละห้อง แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจอยู่นิดหน่อยอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่หันหลังให้สังคมมากๆ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน เพราะได้คุยกันนิดเดียว พอเจอแบบนั้นเขาก็หายไปเลย หลังจากนั้นเพื่อนผู้ชายที่แป้งสนิทก็มาเล่าให้ฟังว่าได้คุยกับเขา เขาบอกว่าแค่จะคุยกับใครก็ยากแล้ว พอจะคุยมีเจอแบบนี้เลยไม่กล้าคุย แล้วก็ไม่ได้คุยอีกเลย ไม่มีคอนแทคอะไรแล้วด้วย ยังไม่ทันเริ่มก็จบแล้วอุส่าว่ามีผู้ชายมาคุยด้วยครั้งแรก 555+
พอมาถึงช่วง ปวช. พวกคำหยาบคายก็ไม่มีแล้วนะคะ แต่จะมาเป็นแบบอื่น เช่น ทำเป็นตกใจเวลาเดินผ่าน แบบคิดว่าเราเป็นผีอะไรงิ หรือพวกกวนๆ ก็จะแบบ Hello ใส่ แต่มีอันนึงที่แป้งจำได้ขึ้นใจคือวันนั้นแป้งกำลังเดินออกจากวิทยาลัย แล้วมีพี่ ปวส. กลุ่มนึงพูดกันว่า “นี่ๆ มึงชอบขาวๆ ไม่ใช่หรอ นี่ไงขาวพอมั้ย แล้วอีกคนก็พูดกว่านี่ก็ขาวเกินไปจนน่ากลัว” วันนั้นแป้งก็เพิ่งมีปัญหากับเพื่อนมาพอดีได้ยินแบบนั้นแล้วคือโมโหมากในใจก็คิดว่าแบบมั่นหน้าเนอะถ้ามาจีบคิดว่าฉันจะเอารึไง
พอมาถึงช่วงมหาลับอันนี้โชคดีมาที่เป็นช่วงกรูต้าฟีเวอร์ คนบ้าความขาวกันมาก มีแต่คนอยากฉีดอยากกินเพื่อให้ขาว มันเลยพลิกมาเป็นว่ามีแต่คนชอลผิวแป้ง อยากขาวแบบแป้งแทน หลังจากนั้นเลยกลายเป็นว่าถ้าเจอใครที่มาพูดอะไรเกี่ยวกับความขาวของแป้ง แป้งก็จะคิดในใจว่าอย่าให้เห็นซื้อกรูต้ากินละกัน 5555
ปัจจุบันนี้แป้งยังเจออะไรแบบเดิมๆ อยู่ตลอดนะคะ เรื่องคำพูด บางคนก็พูดแบบอื้งเวลาเห็น บางคนก็พูดแบบตกใจ บางคนก็พูดกึ่งด่า แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคิอมีคนพูดว่า ฉีดกรูต้าเยอะไปปะเนี่ยเอาซะขาวเวอร์เลย อันนี้คือได้ยินละทั้งหวุดหวิดทั้งตลก แต่บอกเลยว่าทุกครั้งที่แป้งได้ยินอะไรก็ตามที่คนอื่นพูดถึงแป้ง แป้งมักจะทำเป็นไม่ได้ยิน ยกเว้นบางครั้งที่อารมณ์ไม่ค่อยดีเก็บอารมณ์ไม่อยู่มีหันไปมองหน้าบ้าง กับอีกเคสที่นินทาเพราะเข้าใจว่าแป้งเป็นฝรั่งฟังไม่ออก ถ้าแป้งเดินกับเพื่อนอยู่แป้งจะชอบพูดขึ้นมา ทำไมเขาพูดดังจังกลัวเราไม่ได้ยินหรอ แบบเสียงดังๆ ให้เขารู้ว่าเราฟังรู้เรื่องนะ อย่าเยอะ
ส่วนเรื่องการมองของคนอื่นๆ ก็ยังมีเหมือนเดิมเช่นกัน มองสารพัดรูปแบบปกติถ้าแป้งเดินคนเดียวก็ไม่อะไรเท่าไรเพราะแป้งตาไม่ดีไม่ค่อยได้มองใคร แต่ว่าไปกับเพื่อนเนี่ย เพื่อนมักจะหงุดหงิดแทนว่าทำไมต้องมอง บางทีเพื่อนก็ไปด่าเขางิ 555
ไม่รู้เล่ารู้เรื่องรึป่าวนะคะ คือเรื่องมันใักลึกมากจนเริ่มไม่ถูกลงท้ายไม่เป็นเลยอ่า แต่สรุปสาเหตุที่ทุกวันนี้แป้งใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ เพราะความโชคดีที่ 1 คือตามองไม่เห็น ไม่ต้องเห็นว่าใครมองแป้งยังไง โชคดีที่ 2 คน เทรนผิวขาวมาแรงมุมมองคนเลยเปลี่ยนเพราะเข้าใจว่าฉีด 555
ตอนนี้แป้งก็เลยรู้สึกว่าในเรื่องแย่ๆ มันก็มีเรื่องดีๆ อยู่เหมือนกัน เคยรู้สึกแย่กับตาตัวเองที่มองไม่เห็นทำไมได้แบบคนอื่น แต่ก็มารู้สึกดีตรงที่เราไม่ต้องเห็นสิ่งที่เราเห็นแล้วรู้สึกแย่ แต่กับเรื่องผิวแป้งไม่ค่อยอะไรกับมันอยู่แล้วนอกจากรำคาญที่แพ้แดดเพราะทรมานกับการแสบผิว แต่ก็ดีที่ไม่ต้องไปซื้อกรูต้ามากิน 555
แป้งเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตที่เราต้องเจอมันมีมุมดีอยู่เสมออยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองมุมไหน เราไม่จำเป็นต้องไปน้อยใจที่ไม่มีใครเข้าใจเรา ขอแค่เราเข้าใจตัวเองก็พอ จะมีใครรังเกียจติฉินนินทาเราแค่ไหนสุดท้ายเขาก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเรา อย่ามากก็แค่อาจจะมีคนบางกลุ่มเคล้อยตามแต่ว่ามันก็ไม่ได้ส่งผลกับการหาอยู่หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเราเพราะฉะนั้นก็โนแคร์โนสนค่ะ