อยากเล่าแหละ ประสบการณ์การทำ Ulthera สรุปว่ามันคุ้มไหมนะถ้าจะทำ

ทำ Ulthera มันดีไหม คุ้มไหม เจ็บไหม นี่เชื่อว่าหลายคนต้องสงสัย เราเองก็สงสัยนะตอนก่อนทำ 55 วันนี้ก็เลยจะมาเล่าประสบปารณ์ให้ฟังละกันถือว่าเป็นอีก 1 ข้อมูลประกอบการตัดสินใจนะคะ

เกริ่นก่อนนิดนึง ว่าตอนแรกเราก็ลังเลไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรดีระหว่าง Thermage, Ulthera หรือ Hifu ดี แต่จากการค้นหาข้อมูลคร่าวๆก็ตัด Hifu ออกไป เพราะส่วนตัวว่าไม่คุ้มเท่าไหร่ ราคาไม่ต่างจาก Ulthera มากแต่ต้องทำบ่อยกว่าก็เลยตัดไป ทีนี้มาดูระหว่าง Thermage กับ Ulthera ก็ตัดสินใจไม่ได้อ่ะ ก็เลยเข้าไปปรึกษาคุณหมอ ซึ่งเรื่องที่เรากังวลคือ

1. หน้าห้อย 555 คือหน้าเราห้อยมาก หน้าโทรมเป็นหมาหงอยเลยค่ะ หน้าเป็นกะเปาะแยกชั้นเลยช่วงแก้มกับตา
2. ร่องแก้มกับใต้ตาเป็นร่องชัดมาก

พอเราไปคุยกับคุณหมอ คุณหมอก็แนะนำว่าถ้ากังวลเรื่องความกระชับก็ต้องเป็น Ulthera เนี่ยแหละ แต่ในส่วนร่องตากับร่องแก้มจะช่วยได้ไม่มากนะถ้าอยากแก้ฟิลเลอคือตรงจุดกว่า แต่ข้อดีอีกอย่างของ Ulthera คือจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจ้นด้วยผิวก็จะฟู ส่วน Thermage จะเน้นช่วยให้หน้าเรียว+ลดไขมันบนหน้า+พวกริ้วรอยเล็กๆบนผิว ซึ่งคุณหมอบอกว่าเราไม่ได้มีปัญหาตรงนี้ก็ไป Ulthera ดีกว่า ก็เลยจัด Ulthera ตามที่คุณหมอแนะนำค่ะ

ทีนี้ Ulthera หรือ Ultherapy คืออะไรล่ะ

“Ulthera หรือ Ultherapy คือการใช้เทคโนโลยีการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงที่มีความเฉพาะเจาะจงไปยังผิวหนัง แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนจุดเล็กๆลงลึกสู่ใต้ชั้นผิวหนัง มุ่งเป้าหมายรอยต่อของชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน ( SMAS ) ซึ่งเทคโนโลยีอื่น ๆ ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ยกเว้นการทำศัลยกรรม อัลเทอร่า จะส่งผ่านความร้อนนี้จะลงเป็นจุดเล็ก ๆ ที่มีระยะห่างระหว่างจุดเท่าๆกันประมาณ 1 มม. จึงมีความสม่ำเสมอของพลังงานที่ลงสู่ใต้ผิว และยังสามารถลงลึกได้ถึงตำแหน่งที่ต้องการจะทำการรักษา โดยแพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังที่กำลังรักษาผ่านหน้าจอเครื่องตลอดเวลา นำมาซึ่งการรักษาที่แม่นยำสูง และได้ผลการรักษาที่แน่นอนกว่า ขบวนการรักษาทั้งหมดนี้จะไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผิวค่อย ๆ ตึง เรียบเนียนขึ้นทีละน้อย ดูเป็นธรรมชาติ

Ultherapy เป็นเทคโนโลยีเดียวในปัจจุบันที่ใช้อัลตร้าซาวด์ที่มีความเฉพาะเจาะจง มารักษาริ้วรอย และเพิ่มการยกกระชับของใบหน้า โดยแพทย์สามารถเห็นสภาพผิวหนังทุกชั้นของผู้เข้ารับการรักษา ในขณะที่ส่งคลื่นเสียงที่มีพลังงานความร้อนที่มีความแม่นยำสูงลงสู่ชั้นผิว ได้ตามต้องการ โดยไม่ก่อให้ผลกระทบกับผิวบริเวณข้างเคียง จึงทำให้มีความปลอดภัยสูง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ” cr. https://www.apexprofoundbeauty.com/treatment/ultherapy-facelifting/ ไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ

พอมาถึงขั้นตอนการทำก็ปกติค่ะมีการลงยาชา แต่ด้วยว่าเราไม่เคยทำมาก่อนทางคลีนิคกลัวเจ็บก็เลยทาทิ้งไว้น่าจะ 1 -1.30 ชั่วโมงได้ พอเริ่มทำคุณหมอก็บอกเลยเจ็บจะมันเจ็บมากเลยแหละแต่ต้องอดทนนะครับ พร้อมกับผู้ช่วยเอาลูกบอลมาให้ถือ 55 ตอนแรกก็งงว่าเอามาให้ทำไม แต่นี่แหละคือ 1 ในตัวช่วยในช่วงเวลานั้นของเรา บอกก่อนว่าเราทำแบบชุดใหญ่เลยนะคะ หน้า+เหนียง+คอ คือจัดแล้วต้องยกเซท แล้วเป็นโปรแบบไม่จำกัดจำนวน คือทนได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่นี่ไม่ได้บอกหมอว่าขอคุ้มๆอะไรนะคะ ก็คือเอาเท่าที่ไหวแหละ

พอเริ่มทำแรกๆยังไม่เท่าไหร่แค่อุ่นๆ หมอก็บอกแรกๆแบบนี้แหละครับแต่มันจะค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้วหู้ยยยย มันร้อนจริงค่ะ คือร้อนใต้ผิวหนัง ร้อนเหมือนเอาธูปเอาเหล็กร้อนๆมาจี้ใต้ผิวหนัง ยิ่งช่วงโหนกแก้มนี่คือจี๊ดมากกกก เรานี่คือบีบบอลจนมือหงิก เกร็งจนหลังเปียก น้ำตาคือไหลอ่ะ แต่ทำไปหมอก็พูดไป “อดทนนะครับ อดทนอีกนิดนะ” เราก็คิดเออ...แสดงว่าคนอื่นเค้าทนได้ เอาว่ะเราก็ต้องทนได้ !!! แต่พูดไปเราก็บอกหมอให้หยุดก่อนค่าา อยู่ 2-3 ครั้งนะ หมอก็น่ารักกก หยุดตรงนี้ไปทำตรงอื่นแทน 555 ตอนนั้นในใจที่คือฉันมาทำอะไรวะ เงินก็เสีย ตัวก็เจ็บ งื่อออออ หมอก็ทำไปเราก็เกร็งไปแล้วเสียงสวรรค์ก็มา “เสร็จแล้วครับ เก่งมากเลยทนได้เก่งมากก” นี่คือกรี๊ดมากกกที่หมอหยุดแล้ว คือจะไม่ไหวแล้วจ้าาา พอหมอจะออกไปยังหันมาพูดอีก “อดทนเก่งมากเลย” น้องผู้ช่วยก็บอก “อดทนเก่งมากเลยค่ะ บางคนนะพอเป็นแบบเหมาจ่ายบอกให้หมอจัดให้หนักๆ แต่เจอไป 2-3 ร้อยช็อต ก็บอกให้พอแล้ว” นี่เลยถามของพี่ทำไปเท่าไหร่คะ “600 ช็อตค่าาา” (หรือเค้าเรียกเป็นไลน์คะวานบอกเราที) นี่ได้ยินแล้วแบบ “ขุ่นพระ” เล่าเหตุการณ์ไปแล้วมาดูรูปผลงานกันดีกว่าค่ะว่าคุ้มไหมหนอออกับความเจ็บครั้งนี้ แล้วถ้าต้องทำอีกเราจะสู้ไหม 55555

พูดตรงๆคือตอนทำแรกๆนี่เราไม่รู้สึกว่ามันคุ้มเลยอ่ะ ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงยกเว้นว่าผิวดูฟูขึ้นจริง รอยแผลเป็นก็ดูตื้นขึ้น แต่พอผ่านไปสัก 2-3 เดือนเราลองเอารูปมาเปรียบเทียบดู คือว้าวมาก เอาให้เพื่อนดูเพื่อนก็ว่าหน้าได้รูปขึ้น แต่ถ้าเอาแบบที่ตัวเราเองเห็นว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงจริงๆด้วยตาเปล่า แบบส่องกระจกดูแล้วรู้สึก ก็คือช่วงสัก 4-5 เดือนไปแล้วหลังทำ ที่ส่องกระจกแล้วรู้สึกว่าหน้าเป็นรูปทรงมากขึ้น หน้าคือยกกระชับขึ้นจริงไม่รู้สึกว่าหน้าห้อยเหมือนแต่ก่อน

แต่ Ulthera ไม่ใช่การเปลี่ยนรูปหน้านะคะ มันคือทำให้หน้าเราเป็นโครงมากขึ้นตามโครงหน้าเดิมของเรา อย่างที่จะเห็นจากรูปว่าเราเป็นคนที่มี jawline ชัดมาอยู่แล้ว เพียงแต่พอทำ ulthera มันก็ทำให้หน้ายกขึ้นโครงก็เลยชัดขึ้นนั้นเอง อิอิ แต่ไม่ใช่ว่าทำปุ๊ปจะสวยปั๊ปนะคะ มันก็มาช่วงเวลาของมัน 555 ไปดูรูปกันดีกว่า

ก็คือเราเจ็บระบบหน้าแบบมากๆขนาดที่ว่าแตะเบาๆก็เจ็บอยู่ 1-2 อาทิตย์เลยค่ะ อาทิตย์แรกคือหน้าบวมเว่อ วันแรกหลังทำตื่นมาคือตาบวมมากจนมองอะไรไม่ค่อยชัด พอหายบวมก็เห็นรอยช้ำเป็นสีเขียวๆรอบหน้าเลย 55 แต่ส่วนตัวเราเป็นคนเขียวง่ายอยู่แล้วตรงนี้คนอื่นอาจไม่เป็นกัน แล้วความพีคอีกอย่างคือช่วงคางใต้กรอบหน้าคือชาไม่มีความรู้สึกอยู่ 2-3 เดือนเลยค่ะ ตอนยิ้มคือแอบปากเบี้ยวนิดๆอ่ะตลกมาก (แต่ไม่มีใครสังเกตุเห็นนะคะ) หน้าเรากว่าจะหายเจ็บสนิทจริงๆคือ 3-4 เดือนได้ ก็โหดอยู่ แต่เจ็บมากๆแค่ 1-2 อาทิตย์แรกค่ะ นอกนั้นคือจะเจ็บต้องระดับมีคนมากดไรงี้เลย

มาถึงข้อสรุปของเราว่าจะทำต่อไหม พอถึงตรงนี้ที่มันเห็นผลก็คิดว่าจะทำต่อนะคะ 555 ถึงแม้ระดับความเจ็บคือเจ็บมากกก เจ็บสุดในชีวิตไปผ่าตัดเนื้องอกมายังไม่เจ็บขนาดนี้ (ก็อันนั้นวางยาสลบไง 55) แต่ด้วยอายุตอนนี้ (ปีนี้ 35 แล้วจ้า) ความเสื่อมของผิวมันลงไปที่ระดับกล้ามเนื้อแล้ว ซึ่งครีมมันไปไม่ถึงแล้ว เราก็ต้องใช้ตัวช่วยอื่น แล้วคิดว่าเจอกัน 1.6-2 ปีครั้งก็น่าจะไหวแหละ เพื่อความสวยต้องอดทน 555

ความเห็นเพิ่มเติมของเรา เราคิดว่าอายุที่คุ้มที่จะทำคือ 30 ไปแล้วค่ะ ก่อน 30 คืดว่าทำแล้วเห็นผลไม่ชัดเท่าไหร่ กับถ้าปล่อยให้หน้าห้อยมากๆแล้วไปทำก็อาจยกกระชับได้ประมาณนึงเท่านั้น หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจจะทำและต้องการข้อมูลจากคนที่เคยไปทำมานะคะ :)

ป.ล. จ่ายเงินเองเจ็บเองคนเดียวเลยจ้าาา
ป.ล. 2 อ่านกฎแล้วงงๆ บอกว่าห้ามรีวิวการทำศัลยกรรม เราไม่รู้ว่า Ulthera เข้าข่ายศัลยกรรมตามความหมายของ jeban ไหม ? ถ้าผิดกฎก็ลบได้นะคะ :)