The Secret of Sahara Vs. The Secret of Chihuahua InMyView 7 May 20 63 14
The Secret of Sahara Vs. The Secret of Chihuahua (ความลับแห่งซาฮาร่า Vs. ความลับแห่งชิวาวา) เนื่องจากช่วงนี้เราเห็นกระแสของผลิตภัณฑ์ Huxley ผ่านตาอยู่บ่อยมากๆ และไปสะดุดตากับคำว่า “ Secret of Sahara ” หรือความลับแห่งทะเลทรายซาฮาร่า ทำให้เรานึกถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้วตัวนึงของแบรนด์ Eri Eden นั่นคือตัว Sleeping Mask ที่ก็มีการใช้ส่วนผสมหลักจากทะเลทรายเหมือนกัน เลยนึกสนุกอยากทำรีวิว ตัว Huxley SLEEP MASK ; GOOD NIGHT กับ Eri Eden Rejuvenating Sleeping Mask คู่กัน จึงตัดสินใจถอยน้อง Huxley มาจากร้าน Official ใน Lazada เพื่อจะเอามาลองใช้และรีวิวค่ะ ได้ของมาต้องรีบจับมาถ่ายคู่กันก่อน Package สวยทั้งคู่ยังไม่กล้าทิ้งเลยค่ะ ^^
เนื่องจากในการเขียนรีวิวนี้เรา Test กัน 2 คน คือผิวเรากับผิวเพื่อนค่ะ แต่ละคนมีสภาพผิวตามนี้ สภาพผิวเรา : ผิวผสม ค่อนข้างไปทางแห้ง ผิวแพ้ง่าย ไม่มีปัญหาสิว เป็น Sebderm แต่โดยรวมค่อนข้างคุมผื่นได้ดี หากนอนไม่ดึกและเลี่ยงการใช้ Skincare หรือ Makeup บางชนิดสภาพผิวเพื่อน : ผิวผสม ค่อนข้างไปทางมัน รูขุมขนค่อนข้างชัดเจนกว่าเราแต่ก็ไม่ถึงกับกว้าง เป็นผดร้อนง่าย แต่ไม่เป็นสิว ผิวเริ่มสังเกตเห็นริ้วรอยเล็กช่วงหน้าผาก ความกังวัลผิวหลักๆ : กลัวผิวดูไม่สดใสจากการนอนดึก ป้องกันริ้วรอยก่อนวัน เพราะตอนนี้อายุขึ้นเลข 3 ทั้งคู่ กลัวน้องตีนกา กับร่องแก้มจะมาเยือน และในส่วนของเราต้องการเสริมความแข็งแรงผิวเพื่อไม่ให้ Sebderm กำเริบDisclaimers : ข้อมูลทั้งหมดนี้เกิดจากเราหาข้อมูลเพิ่มเติม ร่วมกับข้อมูลจากทางหน้าเว็ปของแบรนด์ทั้งสองนะคะ ส่วนผลลัพธ์เกิดจากการใช้ของเราและเพื่อน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิวของแต่ละคนค่ะแหล่งที่มีของส่วนผสมหลักมาจากทะเลทรายเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน Huxley : Prickly Pear หรือต้นกระบองเพชรจากทะเลทรายซาฮาราซึ่งครอบคลุมพื้นที่หลายประเทศอยู่ทางตอนเหนือของแอฟริกา เป็นพืชในตระกูลแคคตัส มีหลายสายพันธุ์ โดยใบของ Prickly Pear จะมีลักษณะเหมือนแผ่นอวบๆแบนๆ ซึ่งจะใช้ในการกักเก็บน้ำได้ดี ส่วนผลส่วนมากก็สามารถนำไปทานได้ค่ะ โดยน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดของ Prickly Pear นี่มีการนำมาใช้ในการบำรุงผิวของชาวเบอเบอร์ในโมร็อกโกเพื่อใช้ปกป้องผิวจากแสงแดดและเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวค่ะPrickly Pear หรือต้นกระบองเพชร โดยส่วนของเมล็ดที่จะนำมาสกัดน้ำมันจะอยู่ในผลสีแดงๆค่ะ ตามรูปมุมล่างขวาค่ะ
Eri Eden : Rose of Jericho หรือกุหลาบทะเลทรายจากทะเลทรายชิวาวา (ไม่ใช่ชื่อน้องหมานะคะ ^^) อยู่ในประเทศแม็กซิโก เป็นพืชในตระกูลเฟิร์น โดย Rose of Jericho นี้ได้รับฉายาให้เป็น Resurrection Plant หรือ "พืชคืนชีพ" ค่ะ เพราะว่าจากที่เห็นแห้งๆเหมือนจะตายในทะเลทรายแต่พอได้รับน้ำอีกครั้งแม้จะผ่านไปนานกว่า 50 ปี ก็จะกลับมาเขียวชอุ่ม มีชีวิตชีวาอีกครั้งเลยค่ะ (อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการซื้อ Eri Eden ของเราเลยค่ะ ^^) กุหลาบทะเลทรายที่อยู่ตรงซอกหินกลางทะเลทรายชิวาวาในสภาพที่ยังไม่เขียวเต็มที่ หากเขียวเต็มที่จะเป็นตามรูปมุมล่างขวาค่ะ
สำหรับทั้งสองตัว เราว่าทางแบรนด์เองน่าจะได้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของพืชทั้งสองตัวนี้ที่สามารถปรับตัวอยู่ได้ท่ามกล่างสภาวะอากาศอันเลวร้ายในทะเลทรายที่อากาศแปรปรวน กลางวันร้อนจัด กลางคืนก็หนาวจัด แถมยังแห้งแล้ง เลยเกิดปิ๊งไอเดียกันว่าพืชเหล่านี้ต้องมีกลไกการเอาตัวรอดซ่อนอยู่แน่ๆ (เดาเองล้วนๆค่ะ) วิเคราะห์ส่วนผสม Huxley SLEEP MASK ; GOOD NIGHT SC-Glucan : Beta-Glucan จากเห็ดแครง ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวทนต่อสภาพแวดล้อมCentella Asiatica extract : สารสกัดจากใบบัวบก ลดการอักเสบ (Anti-inflammation) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนNatural Moisturizing Factor หรือ N.M.F : ช่วยเก็บกักน้ำไว้ในผิว ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ผิวแข็งแรง จากใน ingredient list น่าจะมาจากตัว Ceramide, Sodium Hyaluronate, Capric Triglyceride, Trehalose แล้วก็ตัวน้ำมันสกัดจาก Prickly Pear ที่มีส่วนประกอบของ Fatty Acids อยู่มาก เป็นต้นPlant Vitalizin : ตัวนี้เราไม่แน่ใจว่าทางแบรนด์หมายถึงสารตัวไหนใน ingredient list อาจจะเป็น Perilla Ocymoides Leaf Extract กับ Salvia Officinalis (Sage) Leaf Extract เพราะทั้งสองตัวนี้ช่วยในการ Antioxidantจากส่วนประกอบด้านบนของ Huxley หากคาดหวังเรื่องความชุ่มชื้น และ Antioxidant น่าจะได้แน่นอน แต่ส่วนผิวกระจ่างใสอาจไม่ใช่ผลลัพธ์โดยตรง แต่ผลที่ได้จากความชุ่มชื้นของผิว เพราะเมื่อผิวของเราชุ่มชื้นอิ่มน้ำ ก็จะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้นด้วยค่ะ นอกจากนี้อาจได้ในส่วนของการ Anti-inflammation จาก Centella เพิ่มเข้ามาค่ะ แต่เรื่องการกระชับผิวตามที่แบรนด์เคลมน่าจะต้องดูยาวๆ Eri Eden Rejuvenating Sleeping Mask Rose of Jericho : =ช่วยเรื่องเติมน้ำให้ผิว เน้นไปที่ความชุ่มชื้น ช่วย Calming และ Healing ผิวที่เสียจากการโดนแสงแดด หรือมลภาวะBurdock Root : ช่วยในเรื่อง Antioxidant และ Anti-inflammationPlankton Extract : ช่วยกระตุ้นการสร้าคอลลาเจน และซ่อมแซมผิวที่เสียจากรังสียูวีHerbal Complex : ในส่วนนี่คือประกอบด้วยสารสกัดจากพืช 6 ตัวค่ะ Mulberry, Scutellaria, Peony, Saxifrage, Licorice และ Aloe Vera ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการต่อต้านการสร้าง Melanin ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้น แต่มีตัวนึงที่เราว่าน่าสนใจคือ ตัว Scutellaria เพราะตัวนี้ช่วยในเรื่องของ Anti-inflammation ที่ดีมากๆตัวนึงเลยเมื่อดูจากส่วนประกอบของ Eri Eden เราคิดว่าสามารถหวังผลได้โดยรวมทั้งเรื่องความชุ่มชื้น ความกระจ่างใส ส่วนเรื่องของ Antioxidant และ Anti-inflammation ก็น่าจะได้เช่นเดียวกัน เนื้อผลิตภัณฑ์ของทั้งสองแบรนด์
ส่วนประกอบอื่นๆ นอกจากส่วนประกอบข้างต้นทั้งสองแบรนด์ก็มีใส่ส่วนผสมอื่นๆ เข้ามาเสริมคุณสมบัติหลักของผลิตภัณฑ์ ซึ่งในส่วนนี้เราคงไม่ลงลึกนะคะ เพราะเราก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่มีส่วนหนึ่งที่สังเกตได้คือ มีการใช้ซิลิโคนเพื่อเข้ามาช่วยในเรื่องเนื้อสัมผัสและช่วยในการนำพาสารสกัดเข้าสู่ผิวทั้งสองแบรนด์ (ซิลิโคนเลือกให้ดีก็มีประโยชน์นะคะ ^^ ไม่น่ากลัวเสมอไป) โดยพบว่าของ Eri Eden มีการใส่มาเพียง 1 ตัว ซึ่งเป็นชนิดระเหยเร็ว จึงไม่น่ามีปัญหาเรื่องอุดตัน ส่วนของ Huxley ใส่มา 3 ตัวซึ่งมี Dimethicone เป็นซิลิโคนชนิดไม่ระเหยรวมอยู่ด้วย อันนี้เราว่าอาจมีความเสี่ยงให้เกิดการอุดตันได้สูงกว่าของ Eri Eden ทั้งสองแบรนด์ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน ส่วนน้ำหอมและแอลกอฮอล์ยังคงมีอยู่ในส่วนผสมของ Huxley แต่ไม่มีใน Eri Eden ค่ะ ดังนั้นหากผิวแพ้ง่าย หรือคนเป็นสิวเพื่อความปลอดภัย Eri Eden อาจเป็นทางเลือกที่ Safe กว่า แต่ค่าตัวก็แอบสูงกว่า Huxley พอสมควรอยู่เหมือนกัน (Eri Eden 50 ml. 1,350 บาท , Huxley 120 ml. 925 บาท ) ภาพถ่ายด้วยกล้องหลัง iPhone11 ไม่มีการปรับแสง ปรับสีใดๆค่ะ
ลักษณะของผลิตภัณฑ์ Huxley : เนื้อเจลลื่นๆ สีออกส้มๆอ่อนๆ มีกลิ่นคล้ายๆกลิ่นมะลิ เนื้อตอนบีบออกออกมาเหมือนจะมีความหนืดกว่าของ Eri Eden แต่ทาแล้วเกลี่ยง่ายไม่ฝืด ทาแล้วค่อนข้างซึมไวมาก ไม่เหนอะหน้าEri Eden : เนื้อเจลสีออกขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น เนื้อค่อนข้างเบา ทาแล้วซึมได้ดีแต่ซึมช้ากว่า Huxley นิดหน่อย และมีความเคลือบผิวกว่า Huxley แต่ก็ไม่รู้สึกเหนอะหน้า ทาแล้วรู้สึกสบายผิว
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองใช้เป็นเวลา 1 เดือน
ในการทดลองนี้เราและเพื่อนจะทาทั้งสองตัวอย่างครึ่งหน้าเป็นเวลา 1 เดือน แต่ตัว Huxley เราใช้ไม่ครบ 1 เดือน เพราะระหว่างทดลองเรามีอาการเซบเดิร์มเห่อนิดๆ พอเราทา Huxley แล้วแอบมีแสบค่ะ TT จึงจะมีเพื่อนเราคนเดียวที่ใช้ครบ 1 เดือน ดังนั้นผลการวัดความชุ่มชื้นผิวจะมาจากของเพื่อนเราคนเดียวนะคะ
In Conclusion : สรุปผล Sleeping Mask ทั้งสองตัวถือว่าให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดี โดยที่ไม่ทำให้ผิวรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ผิวดูเนียนละเอียดขึ้น ดูอิ่มฟู จับผิวแล้วรู้สึกว่าผิวนุ่มใกล้เคียงกัน แต่ของ Eri Eden จะได้ความกระจ่างใสของผิวขึ้นมาด้วย อย่างไรก็ตามจากราคาและปริมาณของ Huxley นั้นถือว่ามีความคุ้มค่าอยู่มากๆ เราคิดว่า 1 หลอดถ้าใช้ทุกวันอาจใช้ได้ประมาณครึ่งปีเลยค่ะ แต่สำหรับใครที่ผิวแพ้ง่าย ผิวเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรืออุดตันได้ง่าย Eri Eden ก็เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าแก่การลงทุน เพราะถึงราคาจะสูงกว่า แต่ปริมาณที่ได้มาก็ไม่น้อยอาจใช้ได้ถึง 3 เดือนในกรณีใช้ทุกวัน และส่วนผสมนั้นเป็นมิตรกับผิวแพ้ง่ายค่ะ
Discussion (14)