Lifestyle แสนลำบากของผู้หญิงยุค Victorian

60 8
Victoria Era   (1837 -1901) ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของประเทศอังกฤษที่แผ่ขยายอิทธิพลไปหลายประเทศทั่วโลก   ภายใต้การครองราชย์อันยาวนานของสมเด็จพระราชินี Victoria ที่กินเวลาเกินครึ่งศตวรรษที่ 19  นี้ได้หล่อหลอมแนวคิดค่านิยมบางประการที่สวนทางกับกับแนวคิดของยุคmodern  รวมไปถึงไปถึงเพศหญิงกับความงามที่เรียกได้ว่าอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกสะพรึงกับความยากลำบากของผู้หญิงยุโรปในยุคนี้







ผมยาวไม่ใช่แค่เรื่องความงาม แต่เป็นเครื่องหมายแห่งสถานะทางสังคม 


การไว้ผมยาวเหยียดโดยไม่เฉียดกรายคมปลายกรรไกรนั้นอาจจะดูคล้ายคลึงกับความเชื่อในเอเชียไกลสมัยโบราณที่การไว้ผมยาวเปรียบเสมือนหน้าที่ที่ทั้งชายและหญิงพึงกระทำพราะถือว่าเส้นผมเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากพ่อแม่    แต่ค่านิยมนี้ได้แสดงถึงการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน  ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอภิสิทธิ์ในการไว้ผมยาวเหยียด     เพราะในชนชั้นแรงงานนั้น  การรักษาสุขอนามันเป็นสิ่งที่ต้องลงทุน  แม้ผู้หญิงมากมายจะใฝ่ฝันจะมีผมสลวยเงางามและยาวเท่าที่จะยาวได้ตรงกับ beauty standard    แต่มันก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง  ไม่ใช่ผู้ใช้แรงงานที่ยากไร้ซึ่งอดอยากมากจนต้องตัดผมตัวเองขายแลกเงินจำนวนไม่มาก

มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะหาซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลและรักษาความสะอาดเส้นผมยาวไม่ให้หมักหมม แต่แม้ว่าจะไว้ผมยาวสวยได้ขนาดนี้ สาวผู้ดีบุค Victorian จะไม่ปล่อยผมสยายให้ใครเห็นตอนออกข้างนอกบ้าน เพราะถือว่ามันเป็นเรื่องที่ดู "ก๋ากั่น" เกินรับได้ เลดี้ที่แท้จริงจะต้องทำผมจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นการเกล้า มวย เปีย และผมที่เป็นลอนสวยจะได้รับเสียงชื่นชมถึงความเป็น feminine มากกว่าผมเหยียดตรง

จากภาพผลงานของ James Tissot  ด้านล่าง คุณจะพบว่า เลดี้ในงานสังคมผู้ดีจะไม่มีใครปล่อยผมยาวเลย


ผมลอนเด้งดึ๋งเป็นสิ่งที่เหล่า fashionista นิยมกันมาก  แต่เทคโนโลยีการดัดผมยังไม่ก้าวหน้านัก ช่างจะเอาคีมหนีบอังไฟจนร้อนจัดและหนีบผมให้เป็นคลื่นสวย  แต่เพราะควบคุมความร้อนยังไม่ได้แน่นอน และทักษะอาจจะยังไม่เพียงพอ  ผู้หญิงยุคนี้จึงพบกับปัญหาผมไหม้และหัวล้านกันถ้วนหน้า


หมดสติเป็นสัญญาณของสุขภาพที่เลวร้ายหรือศิลปะของผู้หญิงกันแน่ ?


ผู้ประพันธ์นวนิยายจากยุคนี้มักจะสอดแทรกฉากหญิงสาวเป็นลมจากเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ เพียงแค่ตกใจกลัวหรืออ่านหนังสือที่ชวนขวัญผวาเพียงนิดก็ร่วงลงสู่พื้นกันแล้ว  แต่การเป็นลมที่ถือเป็น "เทรนด์" ของ ยุคนี้คือการเป็นลมได้ดูพริ้วไหว ไม่ใช่ตาเหลือกค้างหงายหลังลงไปจนหมดฟอร์ม   ภาพศิลปะที่สื่อถึงความเป้นเลดี้จะดูสวยงาม แข้งขาไม่อ้าซ่าน่าเกลียด

แต่จะท็อปฟอร์มที่สุดคือการเป็นลมให้ได้จังหวะเข้าไปในอ้อมแขนของสุภาพบุรุษหล่อเหลา  และมันอาจจะเป็นสะพานเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวได้อย่างเนียนที่สุด   นั่นเป็นว่า  ผุ้หญิงในยุค Victorian   ยังถูกมองเป็นสมบัติที่ควรจับจองเป้นเจ้าของ ยิ่งดูเปราะบางเท่าไร ก็ยิ่งดึงดูดให้ผู้ชายเกิดเสน่หาเกินห้ามใจ
แต่การเทรนด์เป็นลมของสาวๆในยุคนี้ก็มีเรื่องวิทยาศาตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง   แม้จะมักโทษว่าหมดสติไปเพราะ "อากาศไม่หมุนเวียน"  แต่แท้จริงแล้ว วัฒนธรรมการใส่ corset ต่างหากที่น่าจะทำให้ผู้หญิงหายใจไม่คล่องจากการบีบรัดหนักหน่วงเพื่อให้เรือนร่างมีส่วนเว้าเส่วนโค้งเย้ายวนใจที่สุดแล้ว  มันก็อาจจะไม่น่าแปลกที่พวกเธอจะเป็นลมร่วงหล่นกันเป็นปกติ     ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ   corset เป็นสิ่งที่จะต้องฝึกฝนให้เคยชินตั้งแต่ยังไม่เป็นสาว  เรียกว่าปูทางกันตั้งแต่ยังเป็นวัยไร้เดียงสาเพื่อให้เติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่มีผู้ชายเริ่ดๆมาหมายปอง



นอกเหนือจากการรัดเอวให้คอดกิ่วแทบจะตลอดเวลา    ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมให้ผู้หญิงหมดสติเป็นว่าเล่น   นั่นคือความนิยมในสารหนูที่ดูเป็นเคมีครอบจักรวาล   ผู้คนทั้งใช้มันทาหน้าให้สวยใสไร้ความหมองคล้พ ทาสีผนัง เคลือบอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ  แม้แต่ผสมสีใส่ในอาหารให้น่ากิน  กลิ่นของสารหนูที่ระเหยออกมาจากผนังห้องและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆก็อาจจะทำให้ผู้หญิงที่ถูกพันธนาการด้วย corset รู้สึกวินเวียน  ไหนจะการสั่งสมพิษร้ายของมันอีกล่ะ    ที่ขาดไม่ได้คือบรรดาเครื่องสำอาง สกินแคร์สารพัดที่เต็มไปด้วยสารหนู ผงกะกั่ว  สารปรอท  ซึ่งเมื่ออกฤทธิ์รวมกันแล้วส่งผลต่ออาการทางระบบประสาทส่วนกลางจนทำให้ซึม ชัก และหมดสติได้



ข้อจำกัดจากโลกที่ไม่มีใครรู้จักความเท่าเทียมทางเพศ


ความงามสำคัญกว่าการศึกษา

ความงามสำคัญกว่าอาชีพการงาน

ความงามนำไปสู่เส้นทางการเป็นภรรยาทีรักของผู้ชายที่เต็มใจทะนุถนอมเธอ

จะมีทางเลือกอย่างอื่นอีกไหม หากไม่ใช่ความงาม ? เพราะผู้หญิงถูกปิดกั้นจากการการศึกษา หากไม่ใช่ชนชั้นสูง พวกเธออาจจะทำมาหาเลี้ยงชีพได้บ้าง แต่เมื่อถึงเวลาต้องแต่งงานมีครอบครัว ก็ทำต้องหน้าที่แม่บ้านที่ต้องพึ่งพาสามีในเรื่องทางการเงินและความมั่นคงปลอดภัย และมีงานเพียงไม่กี่ประเภทที่เปิดรับผู้หญิง   ส่วนเหล่าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลายก็อาจจะใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่า แต่ก็มีเรื่องของการรักษาหน้าตาแห่งสตรีผู้งามพร้อมในแวดวงสังคม น้อยคนนักที่กล้าข้ามเส้นแบ่งของบทบาทหน้าที่ความเป็นหญิงที่จำเป็นจะต้องมีชายคอยควบคุมดูแล พวกเธอจึงต้องทุ่มเทให้กับความงามอย่างสุดชีวิต แม้มันจะสร้างความเจ็บปวดให้ก็ตาม



การครองตัวเป็นโสดไร้คู่แต่งงานถือเป็นสิ่งที่น่าสมเพชเวทนา และผู้หญิงไม่ได้รับพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นมากนัก มีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่สามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งแยกทางเพศและประสบสำเร็จทางหน้าที่การงานจนสร้างชื่อเสียงโด่งดัง และส่วนใหญ่ พวกเธอก็มาจากครอบครัวที่มั่งคั่ง สามารถเข้าถึงการศึกษาและเปิดโลกทัศน์ด้วยการเดินทางไปหลายประเทศ


แต่ถ้าเป็นชนชั้นที่ต้องปากกัดตีนถีบ ความหวังคงมีไม่มากไปเกินกว่าการได้พบหัวหน้าครอบครัวดีๆ ที่ไม่ฉุดให้ชีวิตขิงพวกเธอตกต่ำไปกว่าเดิม

แต่ผู้หญิงจำนวนมากก็ตกเป็นเหยื่อตวามเสื่อมทรามของสังคม โดยที่ไม่สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้


The Ugly-Girl Papers โดย S.D. Powers: คู่มือความงามประจำยุคที่มีเนื้อหาสุดสะพรึง
และนั่นเป็นคำอธิบายทีสามารถเชื่อมโยงกับความคลั่งไคล้ความงามในรูปแบบยุค Victorian ชัดเจน เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในอังกฤษและยุโรป ความคิดแบบชายเป็นใหญ่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากประเทศทางตะวันออกนัก รูปลักษณ์ของหญิงสาวจะสอดคล้องกับอุดมคติของเพศชาย พวกเธอจะต้องแสดงถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่แสนเลอค่า มีความนุ่มนวล บอบบางที่ชักชวนให้อยากปกป้อง พวกเธอไม่ได้พึงใจในผิวที่ขาวนวลเนียนเท่านั้น (ลักษณะทางกายภาพก็ย่อมจะขาวกันอยู่แล้ว) แต่ปรารถนาความขาวใสราวกับจะมองทะลุได้ เส้นเลือดที่ปรากฏภายใต้ผิวขาวเผือดสร้างความรัญจวญใจให้ชายผู้พบเห็น หญิงสาวหลายคนถึงกับใช้เสีแต่งเติมให้ดูเหมือนเส้นเลือดแตกแขนงที่ตามแขนและใบหน้า แก้มและปากสีกุหลาบสื่อถึงความไร้เดียงสาและเข้ายวนในเวลาเดียวกัน ไม่ต่างจากดวงตาที่จะต้องเบิกกว้างฉ่ำเยิ้ม

ผู้หญิงต่างพอกสารพิษตามร่างกายเพื่อให้ได้ลุคนี้เพราะมันให้ผลอย่างฉับไว โดยที่น้อยคนจะเฉลียวใจว่า มันเป็นวิถีความงามที่แสนอันตราย ผิวพรรณเริ่มถูกทำลายไปพร้อมกับสุขภาพภายใน แม้จะไม่ได้มีการบันทึกว่ามีตัวเลขผู้เจ็บป่วย พิการ และเสียชีวิตจากการใช้สารพิษเพื่อความงามไปมากเท่าใด แต่การสืบทอดแนวคิดยาวนานนับร้อยนับพันปีนี้ก็ทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างเต็มหัวใจ


แน่นอนว่า  เมื่อมีบทความแนะนำเคล็ดลับความงามใน magazine ดัง    หญิงสาวหลายคนจึงปฏิบัติตามด้วยความวาดหวังว่าจะงดงาม
The Ugly-Girl Papers คอลัมน์ความงามที่ตีพิมพ์ใน Harper Bazaar ที่ได้รับความนิยมในสมัย Victorian  มีเนื้อหาที่ห่างไกลจาก magazine ปกเงาในยุคนี้มากมายนัก


 - หยุดคิดเรื่องกินอาหารเป็นจริงเป็นจริงเป็นจังไปได้เลย   คุณกินผลไม้ได้แค่นิดๆหน่อยๆ และเนื้อบ้างนานๆที!

"ผู้ป่วยเป็นโรคปอดหรือที่ต่อมน้ำเหลืองจะมีผิวขาวถึงขีดสุด ความขาวใสเปล่งประกายอย่างน่าอัศจรรย์นี้เกิดจากการชำระล้างสิ่งสปกปรกจากปอดหรือขจัดสิ่งปนเปื้อนจากระบบภายในออกมา เราควรจะเลือกวิธีชำระความสกปรกในเลือดด้วยวิธีที่เหนื่อยน้อยกว่านั้น ผู้หญิงควรควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด และกินให้พอหายอยากเท่านั้น"

"ควรกินอาหารเช้าเป็นสตรอวเเบอร์รี่ปริมาณจานใบเล็ก แครกเกอร์หนึ่งชิ้น มื้อกลางวันเป็นส้มครึ่งผล อย่านึกถึงการกินส้มอีกครึ่งหนึ่งให้เหนื่อยไป เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็นให้กินเชอร์รี่ได้เป็นกำ หากหิวกระหายอาหารอย่างสเต็กเนื้อหรือซุป กินได้สัปดาห์ละครั้ง"

- ใช้แอมโมเนียทำความสะอาดผิวหน้าและหนังศีรษะ และยืนยันว่า นี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ช่วยให้ผมสุขภาพดี  ยิ่งได้แช่แอมโมเนียในอ่างเป็นประจำจะยิ้งให้ผลลัพธ์สุดยอด


-นอกจากจะแนะนำผลิตภัณฑ์ยอดฮิตจากตะกั่ว สารหนู สารปรอท ก็ยังมี mask หน้าแบบ DIY ด้วยการผสมฝิ่นกับผักกาดหอม mask ทิ้งไว้ตอนกลางคืน

- กินน้ำตาลผสมโคโลญจ์ทำให้ตาดูสวยเป็นประกาย  ถ้าอยากให้ฉ่ำเยิ้มยั่วยวนมากขึ้นก็ผสมฟองสบู่เข้าไปด้วย   








อาการของวัณโรคถูกเชิดชูว่าเป็นความงามในอุดมคติ


ยุคสมัยที่คลั่งไคล้ความตาย ฟังดูแล้วอาจจะทำให้คุณขนหัวลุก แต่มันเป็นช่วงที่ผู้คนยังไม่รู้จักเรื่องโรคภัยดีนัก แม้จะมีนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามพิสูจน์หาสาเหตุของโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไปมากมายและค้นหาวิธีรักษาที่ปลอดภัย แต่อาการของวันโรค กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม beauty standard ที่ดึงดูดใจซะงั้น!


โรคนี้ยังเป็นภัยแฝงคร่าชีวิตคนในประเทศเรา และฟังดูร้ายกาจจนไม่มีใครอยากเสี่ยงใกล้ชิดกับผู้ป่วย แม้ว่าจะมียารักษาแล้ว แต่ก็ต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดอย่างยาวนานเพื่อป้องกันการติดต่อ เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วที่มีการระบาดของวัณโรค มันยังเป็นโรคภัยลึกลับที่สร้างเสียงร่ำลือว่า ผู้ป่วยจะมีผิวขาวซีด น้ำหนักลดฮวบ ปากแดง( จากอาการไข้ต่ำๆ) และดูมีเสน่ห์ของหญิงบอบบางน่าทะนุถนอม!



ก่อนที่จะมีการค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของวัณโรค มีความเชื่อกันว่า นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เพราะสืบต่อกันทางสายเลือดและมลภาวะเป็นพิษ แม้ว่าจะมีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตที่ชี้ชัดว่าเป็นโรคที่ติดต่อได้ถึงขั้นที่ทำให้คนตายกันยกครอบครัว แต่ก็ยังมีผู้ที่หลงไหลภัยอันตรายนี้ ด้วยความเชื่อว่า เหล่าศิลปินที่มีอ่อนไหวเปราะบางจนเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า บ้างก็เชื่อว่า วันโรคมีสาเหตุมาจาก passion ที่เร่าร้อนนจนส่งผลต่อร่างกายภายใน (Susan Sontag ผู้เขียน Illness as Metaphor )


ในปี 1833 มีการบรรยายความรู้ทางการแพทย์จาก The London Medical and Surgical Journal ว่า
"โรค Consumption (ชื่อที่ใช้เรียกวัณโรคในขณะนั้น) ไม่ได้ทำให้ความงามของผู้ป่วยลบเลือนไป และไม่ได้ทำให้สติปัญยาบกพร่องลง แต่ช่วยยกระดับศีลธรรมและความประพฤติที่สุภาพอ่อนน้อมของผู้ป่วย"





แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องราวแหวกแนวในอดีตที่ยาวนานเกินศตวรรษ ในหลายประเทศยังเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจว่าเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตอย่างลึกลับ การแพทย์ที่ยังล้าหลังกว่ายุคmodern มีข้อจำกัดต่อการสร้างสมมุติฐานที่ใกล้เคียงกับตัวการที่แท้จริงของโรคร้าย (แพทย์บางคนบอกว่าอาการไอเป็นเลือดมาจากประจำเดือนที่ไหลย้อนกลับผิดที่ผิดทาง ) แต่มันก็น่าสะท้อนใจ เมื่อสภาพของผู้ป่วยที่อ่อนแอและเข้าใกล้ความตายกลายมาเป็นสิ่งที่ได้รับคำชื่นชม


นอกจากความงามแล้ว  ผู้คนยังเชื่อว่า วันโรคมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัจฉริยภาพของศิลปินผู้มีอารมณ์อ่อนไหวและ passion แตกต่างจากคนทั่วไป  Alexandre Dumas (fils) นักประพันธ์ดังจากฝรั่งเศสได้บรรบายไว้ว่า " การเจ็บไข้ด้วยโรคปอดถือเป็น fashion ใครๆต่างก็ป่วยเป็นโรคนี้ โดยเฉพาะนักกวี มันเป็นภาพที่ดูดีเมื่อกระอักเลือกออกมาจากความรู้สึกพลุ่งพล่านภายใน และเสียชีวิตก่อนที่อายุจะสามสิบ"
มีแต่แวดวงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ romanticise  โรคนี้  แม้ว่าจะมีผู้คนล้มตายไปมากมายทั้งในยุโรปและอเมริกา  แต่นักประพันธ์ชื่อดังอย่าง Charlotte Brontë กลับบรรยายความรู้สึกต่อความเจ็บป่วยของพี่น้องที่ล้วนเสียชีวิตด้วยวัณโรค (หรือที่ยุคนั้นเรียกว่า Consumption)  ว่าเป็นโรคที่สวยงาม   และในที่สุด เธอก็เสียชีวิตจากโรคร้ายนี้ด้วยเช่นกัน  แต่สำหรับชนชั้นแรงงาน พวกเค้าไม่สามารถเข้าถึงการดูแลรักษา และต้องล้มตายอย่างอนาถา  และเราต่างก็รู้ดีว่า อาการของวัณโรคนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่ถูกเชิดชู    

แต่หลังจากที่ Robert Kocค้นพบเชื้ออันเป็นสาเหตุของ 1882 ความเชื่อว่านี่คือโรคที่ทั้งลึกลับและงดงามก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะยังมีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในอังกฤษ แต่ก็พบเป็นจำนวนน้อย (หลักพัน) และมีมาตรการการตรวจเชื้อผู้มีความประสงค์จะเดินทางไปอาศัยอยู่ในประเทศเป็นระยะยาวอย่างเคร่งครัด





The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE