เจาะลึก! 10 เบื้องหลังกว่าจะมาเป็น ‘CHANEL Skincare’ บิวตี้ไอเท็มที่มีมากกว่าความ Luxury

40 14
ถ้าพูดถึง CHANEL Skincare ภาพจำของหลายคนที่นึกถึงเป็นอย่างแรกคงหนีไม่พ้น ความลักชูรี่ ความดูแพง และเลอค่าอย่างแน่นอน แต่ใครจะรู้บ้าง! กว่าจะมาเป็นสกินแคร์แต่ละชิ้นของ CHANEL Skincare นั้น เบื้องหลังไม่ได้มีแค่ความหรูหราเพียงอย่างเดียว แต่กลับจริงจังในการวิจัย และพัฒนาอย่างสูงสุด เรียกได้ว่าลงลึกทุกขั้นตอน เพื่อให้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด
  “ฉันต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ความงามที่เรียบง่าย ใช้ง่าย ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ใดๆ และเข้ากับทุกไลฟ์สไตล์” 

นี่คือความตั้งใจเพียงหนึ่งเดียวของ COCO CHANEL ในปี 1927 ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิด CHANEL Skincare  และจนถึงปัจจุบัน CHANEL ก็ยังยึดมั่น และรักษาในอุดมการณ์นี้ในการผลิตไลน์สกินแคร์ของแบรนด์ และเลือกที่จะทำทุกอย่างเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้ข่าว หรือเทรนด์รายวันมากำหนดจังหวะในทิศทางของผลิตภัณฑ์ หรือแบรนด์ และยังเป็นแรงบันดาลใจของผู้หญิงหลายคน เพราะเธอมีความคิดที่ว่า “ความสวยงามไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงปัจจัยทางร่างกายเท่านั้น ผู้หญิงแต่ละคนควรลองค้นหาวิถีของตัวเองที่จะทำให้ตนเองรู้สึกดี รู้สึกแข็งแรง แล้วจะพบกับความสวยงามของตัวเองที่เปล่งประกายมาจากภายใน” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ช่วยเสริมพลังให้กับผู้หญิงกล้าที่จะเปิดเผย และเป็นตัวของตัวเอง ถือเป็นแนวคิดที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันเลย
ปี 1927  CHANEL เปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชุดแรก ด้วยชุดรวม 15 ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้าของมาดมัวแซล ชาเนลเลยทีเดียวสำหรับในยุคนั้น

มาดูกันว่าอะไรที่ทำให้ CHANEL Skincare  เป็นบิวตี้ไอเท็มที่มีมากกว่าความลักชูรี่ อ่านจบแล้วจะทำให้รู้เลยว่าคุณภาพของ CHANEL Skincare นั้นคับแก้ว และคุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน!

1.สกินแคร์ชิ้นแรกเกิดขึ้นขณะพัฒนาน้ำหอม!  

รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วสกินแคร์ชิ้นแรกของ CHANEL ถูกคิดค้นขึ้นในระหว่างที่กำลังพัฒนาน้ำหอมจากวานิลลา!! โดยนักเคมีได้นำ “วานิลลา” มาวิเคราะห์จนพบว่าคุณสมบัติลดเลือนริ้วรอย และความจริงจังของ CHANEL ไม่ได้หยุดแค่นั้นแต่ยังมาพัฒนาต่อจนเป็นจุดกำเนิดของ “ห้องทดลองกลางแจ้ง (Open Sky Lab) แห่งแรก” ขึ้นในปี ค.ศ. 2002 บนเกาะมาดากัสการ์ ที่เป็นศูนย์เพาะพันธุ์ทางพฤกษศาสตร์ เพราะความจริงจังในครั้งนี้ของ CHANEL ทำให้ได้พบกับศักยภาพสูงสุดของวานิลลาสายพันธุ์ Vanilla planifolia ที่กลายมาเป็นส่วนประกอบสําคัญของไลน์สกินแคร์สุดพรีเมี่ยม SUBLIMAGE นั่นเองค่า

จุดประสงค์สำคัญของการสร้างห้องทดลองกลางแจ้งนี้ ทำให้ CHANEL สามารถควบคุมคุณภาพได้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้ส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของแบรนด์

2. ทุกมุมโลกมีสถาบันวิจัยของ CHANEL เพื่อเข้าใจถึงผิวของผู้หญิงทั่วโลกให้ได้มากที่สุด  

CHANEL มีสถาบันวิจัยด้านความงามตั้งอยู่ใน 3 ทวีปทั่วโลก ทั้งในฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น และอเมริกา เพื่อจะได้ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดจากทั่วโลกได้ และที่สำคัญคือทำให้สามารถเข้าใจถึงผิวของผู้หญิงจากทั่วโลกได้อย่างแท้จริง ทั้งในส่วนของผิว และวิถีชีวิต เพื่อนำมาพัฒนานวัตกรรมสู่ผลิตภัณฑ์ความงามที่ดีที่สุด      

3. มีผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาจากทั่วโลกมาสร้างสรรค์สกินแคร์ที่ดีที่สุด

CHANEL มีสถาบันวิจัยซึ่งรวบรวมนักวิทยาศาสตร์จากหลายแขนงทั่วโลกกว่า 250 คน ทั้งนักชีววิทยา, แพทย์ผิวหนัง, นักเคมี, นักพฤกษศาสตร์ ไปจนถึงนักพิษวิทยา คือมีตั้งแต่ผู้คิดค้นสูตรไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทางประสาทสัมผัส เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญในๆ ด้านนำมาพัฒนานวัตกรรมเพื่อนำไปใช้ในสกินแคร์ และความงามที่จะช่วยเพิ่มความสวยให้กับผู้หญิงให้ทุกคนได้รู้สึกสวยขึ้นในทุกวัน

4. ร่วมมือกับเกษตรกรในชุมชนเพื่อผลิตสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ที่สุด

 ไม่เพียงร่วมมือกับนักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ เท่านั้น แต่ CHANEL ยังเล็งเห็นว่าห้องทดลองกลางแจ้งนั้นอยู่คนละที่ ในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน และต้องเผชิญความท้าทายคนละรูปแบบ จึงเชื่อว่าไม่มีใครจะรู้จักพืชพรรณได้ดีไปกว่าเกษตรกรในพื้นที่นั้นๆ ได้แน่ๆ ทั้งในเรื่องของวัฒนธรรม และความรู้ด้านเกษตรกรสำหรับพืชเฉพาะถิ่น CHANEL จึงร่วมมือกับกับเกษตรกรท้องถิ่น เพื่อดูแล และบ่มเพาะเหล่าพืชพรรณที่ใช้ในการทดลองในการผลิตสกินแคร์โดยเฉพาะ

5.สนับสนุน และให้ความสำคัญกับงานวิจัย  

ด้วยความที่ CHANEL ให้ความสำคัญกับวานิลลามาก จึงมีการสนับสนุนเงินทุนให้กับการทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับวานิลลาเฉพาะถิ่นของมาดากัสการ์ และช่วยเหลืองานวิจัยด้านเกษตรกรรมผ่านโปรแกรมฟื้นฟูที่ทางการเกษตรในเขตเมือง Ambanja เพื่อปกป้องคุณภาพของดิน และระบบนิเวศจากภาวะโลกร้อนด้วย

รวมถึงในปี ค.ศ. 2010 ได้ก่อตั้งโครงการวิจัยเพื่อเผยศักยภาพของพืชพรรณในเขตเทือกเขาแอลป์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยได้ศึกษาพืชป่ามากกว่า 500 ชนิดอย่างละเอียด จนสามารถนำมาทำเป็นสารสกัดจากพืชได้มากกว่า 60 ชนิด!

6. เก็บเมล็ด หรือเด็ดส่วนที่จะนำมาใช้เป็นส่วนผสมด้วยมือ เพื่อให้สกินแคร์ที่มีคุณภาพที่สุด

ในขั้นตอนการเก็บเกี่ยว CHANEL จะเก็บเมล็ด หรือเด็ดส่วนที่ใช้ด้วยมือทั้งหมด! รวมไปถึงขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนมากๆ อย่างการถ่ายละอองเรณูของดอกวานิลลาก็จะใช้มือด้วยเช่นกัน โดย  CHANEL จะใช้เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นเพื่อถ่ายละอองเรณู โดยจะค่อยๆ ใช้ไม้ปลายแหลมอันเล็กๆ ถ่ายละอองเรณูของดอกวานิลลาทีละดอกอย่างเบามือ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ทั้งความเชี่ยวชาญ ความยืดหยุ่น และความเร็ว  CHANEL จึงเลือกให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างเกษตรกรท้องถิ่นที่รู้ดีที่สุดเป็นผู้ทำ

7. มีสวนพฤกษศาสตร์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และไม่เหมือนที่ไหนในโลก

CHANEL ได้ใช้สวนพฤกษศาสตร์บนพื้นที่ของปราสาทชาโต เดอ โกฌัก (Château de Gaujacq) เป็นสถานที่ที่เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์พันธุ์พืชที่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่หายากที่สุด โดยมีพืชพรรณทั้งหมดกว่า 260 สายพันธุ์ และมีคามิลเลียถึง 2,000 ชนิดจากห้าทวีปทั่วโลก โดย CHANEL ได้สกัดสารที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นได้ดีที่สุดจากดอกคามิลเลีย และสามารถคิดค้นสารออกฤทธิ์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นแก่ผิวชนิดแรกจาก Camellia japonica ‘Alba Plena’ ที่กลายเป็นส่วนผสมหัวใจหลักของไลน์สกินแคร์ HYDRA BEAUTY ของแบรนด์  

8. ความใส่ใจในการดูแลทำให้ได้ส่วนผสมสำคัญที่ดีที่สุด

ในปีค.ศ. 2014 CHANEL ได้ปลูก และดูแลพืชทั้งสองชนิดคือ โซลิดาโก และ แอนธิลลิส อย่างกระตือรือร้น แต่ก็ยังเคารพธรรมชาติด้วยการจํากัดวัชพืชด้วยมือเท่านั้น เก็บดอก และตากไว้ให้แห้งด้วยวิถีดั้งเดิม ด้วยการวางไว้บนถาด โดยการปกป้องคุณสมบัติตามธรรมชาติของพืชทั้งสองชนิด และดึงศักยภาพที่อยู่ภายในออกมาทําให้ CHANELรังสรรค์สารออกฤทธิ์สองชนิด นั่นคือสารสกัดแอนธิลลิส (anthyllis extract) และสารสกัดโซลิดาโก (solidago extract) ซึ่งทั้งสารทั้งสองชนิดนี้คือส่วนประกอบสําคัญของไลน์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ SUBLIMAGE

9. ส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีเฉพาะใน CHANEL เท่านั้น! 

CHANEL คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด และเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อผลิตสกินแคร์ของแบรนด์เท่านั้น อย่างแรกคือส่วนผสม Vanilla Planifolia PFA ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม SUBLIMAGE ทุกชิ้น นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ชาเนลแตกต่างคือการสร้างสรรค์สูตรของผลิตภัณฑ์ ในการเลือกส่วนผสมที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อดูแลผิว และศิลปะในการผสมผสานส่วนผสมที่มอบความพึงพอใจในการใช้พร้อมไปกับการมอบประสิทธิภาพสูงสุดด้วย รวมทั้งยังผสานเทคโนโลยีอันได้แก่ กรีนเทคโนโลยี ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือนวัตกรรมที่นำมาใช้กับสกินแคร์ อาทิ เทคโนโลยีไมโครฟลูอิด ที่มีอยู่ในไลน์สกินแคร์ HYDRA BEAUTY  
เทคโนโลยีไมโครฟลูอิดที่ผสานออยล์กับน้ำเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของชั้นปกป้องผิว

10. ความเรียบง่ายที่ถูกคิดมาแล้วเป็นอย่างดี

นอกจากเรื่องของความเรียบง่ายจะมีอยู่ในสูตรผสมของสกินแคร์แต่ละชิ้นแล้ว คุณสมบัตินี้ยังมีให้เห็นในรูปแบบของการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ด้วยเช่นกัน จะสังเกตได้ว่าสกินแคร์ของ CHANEL นั้นถูกจำแนกด้วยสี แต่มาในบรรจุภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นขวดหรือกระปุกทรงเหลี่ยมหรือทรงกลม หลอดทรงโค้งสำหรับผลิตภัณฑ์ล้างหน้า หรือจะเป็นทรงรีรูปไข่แข็งแรงของแฮนด์ครีม ทำให้ไอเท็มเหล่านี้ถูกหยิบขึ้นมาใช้ได้อย่างถนัดมือ สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชายแบบไม่เคอะเขิน และยังสามารถจัดเก็บได้อย่างเป็นระเบียบได้อย่างดีในกระเป๋าเดินทางสำหรับทริปวันหยุดอีกด้วย
จากความจริงจังในการผลิตสกินแคร์ของ CHANEL ทำให้ไลน์สกินแคร์ถูกจำแนกออกตามปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข พร้อมกับส่วนผสมชั้นดีในแต่ละไลน์ผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน และถึงแม้ CHANEL  จะมีความคลาสสิคอยู่ในคาแรคเตอร์ แต่สูตรผสมของสกินแคร์ของ CHANEL นั้นยังมีความร่วมสมัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างออกไปจนถึงยุคปัจจุบันนี้ ด้วยสูตรที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น    
‘SUBLIMAGE’ ไลน์สกินแคร์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูแข็งแรง สุขภาพดี โดยนำ Vanilla Planifolia มาใช้เป็นส่วนผสมหลักช่วยให้ผิวแข็งแรง ได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึก มุ่งเน้นในการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
‘HYDRA BEAUTY’ ไลน์สกินแคร์ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว มุ่งเน้นในการให้ความชุ่มชื้นด้วยส่วนผสมอย่าง Camelia Alba Plena จากดอกคามิลเลีย ด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติเติมความชุ่มชื้นที่ไม่เหมือนใครช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ซ่อมแซม Hydrolipidic Film หรือแผ่นฟิล์มบนผิวที่ช่วยป้องกันผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และยังเพิ่มความกระจ่างใสได้อีกด้วย  
นี่คือเบื้องหลังของ CHANEL Skincare ที่ใส่ความพิถีพิถันในการดูแลทุกขั้นตอน อย่างตั้งใจ ละเอียดอ่อน และคำนึงถึงผู้ใช้อย่างที่สุด ถ้าจะให้นิยาม CHANEL  Skincare ก็คงเป็น “ความโก้หรู ร่วมสมัย และเรียบง่าย” เหมาะกับช่วงเวลาที่จะดื่มด่ำในการดูแลตัวเองอย่างพิถีพิถันทั้งในช่วงเช้าและกลางคืน  และประวัติศาสตร์อันลึกซึ้งนี้ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม CHANEL Skincare ถึงเป็นแบรนด์ที่มีมากกว่าคำว่า ‘ลักชูรี่’