ชาวเน็ทเดือด: Kim K แนะผู้หญิง ทุ่มเททำงานหนักกันซะบ้าง
candy 43 11Kim Kardashian ไม่เพียงจะครอบครองบัลลังก์ราชินีinternet ได้อย่างเหนียวแน่นติดต่อยาวหลายปี เธอยังมีสถานะมหาเศรษฐีระดับพันล้านที่ได้การันตีความสำเร็จในฐานะนักธุรกิจหญิง แต่กว่าจะเอื้อมถึงระดับนี้ เส้นทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบดังที่หลายคนคิด ภาพลักษณ์ของ Kim ก่อนที่จะมาเป็นดาวเด่นในโลก social media นั้น มักถูกผูกติดจากคำปรามาสว่า เธอและครอบครัวเป็นเพียงดารา C List ที่ทำได้ทุกวิธีทางเพื่อสร้างกระแส งานที่วิ่งชนในช่วงแรกๆที่โด่งดังจากรายการ Keeping Up With The Kardashians นั้น ไม่ว่าจะเป็นพรีเซนเตอร์ยาลดน้ำหนัก เปิด boutiqueเสื้อผ้า งานโชว์ตัว แม้แต่ตัดริบบิ้นเปิดห้องน้ำสาธารณะที่สื่อหยิบมาเย้ยหยัน หลายปีก่อนที่จะกอบโกยกำไรจาก KKW beauty และ SKIMS เธอก็เคยมี beauty, jewelry และ fashion line ที่ยอดขายไม่ดีนักจนเงียบหายไป และได้สะท้อนความจริงอยู่หนึ่งอย่างก็คือ คนดังไม่ได้ประสบความสำเร็จจากการสร้างแบรนด์เสมอไป
เมื่อเธอค้นพบยุทธวิธี rebranding จนทำให้โลกfashion ที่เคยหมางเมินได้หันมาอ้าแขกต้อนรับด้วยความยินดี Kim เดินหน้าธุรกิจ App ทั้งเกม Kim Kardashian: Hollywood และ Kimoji จากอดีตที่เธอถูกปรามาสว่าเป็นดารา reality หิวแสงที่อีกไม่นานก็คงจะพบกับขาลง (ไม่ต่างจาก TV personality ส่วนใหญ่ที่ช่วงเวลา peak จะมีอยู่ไม่นานนัก) app ที่เคยถูกมองด้วยความไม่แน่ใจกลับขายดีขึ้นมา มีผู้มองว่า ทั้งคอนเทนท์และการดีไซน์ทำให้ผู้ใช้ยิ่งรู้สึกเสพติดและอยากรู้อยากเห็นในชีวิตเลิศหรูของเจ้าของ app มากขึ้น ส่วนการล้อเลียนตัวเองด้วย emoji ที่คนอื่นๆเคยเอามาใช้เป็นmeme ก็แสดงถึงอารมณ์ขันที่ทำให้คนทั่วไปรู้สึกเข้าถึงง่าย ไม่น่าแปลกใจที่ความนิยมของเธอจะเพิ่มสูงไม่หยุด
หลายครั้งหลายหนที่การสร้างรายได้ในรูปแบบ endorsement ของ Kim และพี่น้องมักถูกโจมตีว่าได้สร้างปัญหาในเรื่องมาตรฐานความงามที่ยากจะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็น ชาdetox ลดพุง, waist trainer ช่วยเอวคอด, อมยิ้มลดความอยากอาหาร หรือแม้กระทั่ง protein shake ที่ Kim เคยเผยใน reality show ชัดเจนว่าเธอไม่เคยดื่มมันมาก่อนที่จะถ่ายภาพโฆษณา และยังประกาศกับเพื่อนสนิทอย่างตรงไปตรงมา แบรนด์ที่ทุ่มเงินจ้างให้โพรโมทสินค้าเพียงแค่อยากได้ภาพใบหน้าของเธอแปะอยู่ในภาพเท่านั้น
แต่แนวทางการสร้างแบรนด์ของ Kim นั้นแตกต่างไปจากการโฆษณาสินค้าให้แบรนด์อื่น ทั้ง KKW beauty และ SKIMS ได้เชิดชูความงามที่แตกต่างหลากหลาย ด้วยคำยืนยันว่าไม่ว่าจะมีเฉดสีผิว, วัย และรูปร่างแบบใดก็สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างเสริมความมั่นใจโดยไม่ถูกกีดกันด้วยคำว่ามาตรฐานความงามเฉพาะแบบใดแบบหนึ่ง
แต่แนวทางการสร้างแบรนด์ของ Kim นั้นแตกต่างไปจากการโฆษณาสินค้าให้แบรนด์อื่น ทั้ง KKW beauty และ SKIMS ได้เชิดชูความงามที่แตกต่างหลากหลาย ด้วยคำยืนยันว่าไม่ว่าจะมีเฉดสีผิว, วัย และรูปร่างแบบใดก็สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างเสริมความมั่นใจโดยไม่ถูกกีดกันด้วยคำว่ามาตรฐานความงามเฉพาะแบบใดแบบหนึ่ง
พวกเราคงทราบกันอยู่แล้วว่า เส้นทางแห่งความโด่งดังของครอบครัว Kardashian เต็มไปด้วย scandal และ drama ไม่หยุดหย่อน แม้จะได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แต่ก็ต้องรับมือกับคลื่นความเห็นจากอคติของชาวเน็ทที่ไม่ปลื้มกับวิธีการสร้างธุรกิจของพวกเธอ ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่าใด ก็ยิ่งถูกจับผิดหาข้อเสีย เห็นได้จากธุรกิจบางอย่างในอดีตที่ไม่ประสบความสำเร็จ Kardashian Beauty (หรือชื่อเดิมคือ Khroma beauty) เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเรื่อง packaging ดูก๊องแแก๊งไม่แพง และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ก็ไม่สมราคา ไม่ต่างจาก Kardashian Kollection ที่มีห้างSears ร่วม partnership ที่ได้รับการรีวิวว่า เป็น clothing lineที่ดูไร้รสนิยมและคุณภาพต่ำที่แม้แต่พวกเธอคงไม่อยากจะใส่เสื้อผ้าพวกนั้น
เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอบเดิม แผน rebranding ของ Kim ต้องรัดกุม ไม่ว่าจะเป็น packaging, ดีไซน์ และคุณภาพที่ถูกมองเป็นจุดด้อยของสินค้า ก็ยกระดับให้สูงขึ้นโดยที่ยังมีราคาที่จับต้องได้ เพื่อกำจัดมลทินว่าสินค้าของ Kim K ดูไร้รสนิยมออกไปให้หมดจด
มีผู้มองว่า KKW beautyไม่ได้สร้างยอดขายเทียบเท่า Kylie Cosmetics แต่Kim สามารถปิดdeal ขายหุ้น 20% ให้กับ Coty Inc ด้วยตัวเลข $200 ล้านและยังรักษาหุ้นส่วนใหญ่ซึ่งForbes ตีมูลค่าไว้ที่ราวๆ $500 ล้าน ฟังดูเป็นตัวเลขรายได้ที่สวยงามคนละเรื่องกับKhroma Beauty ที่ได้ร่วมมือกับพี่น้องเปิดตัวแบรนด์ในปี 2012 และมีปัญหาเครื่องหมายการค้าจนถูกฟ้องร้องมาตั้งแต่ต้น และแม้จะปรับเปลี่ยนชื่อแบรนด์ก็ยังไม่รุ่ง หนำซ้ำยังต้องต่อสู้คดีกับอดีตผู้ร่วมลงทุนที่ไม่จ่ายค่าตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ กว่าพวกเธอจะชนะคดีในปีที่แล้ว ผู้คนก็ลืมเลือนไปว่าเคยมีแบรนด์นี้อยู่ ความสำเร็จอันงดงามของ KKW ก็ทำให้เธอก้าวมาอยู่ในกลุ่ม top10 makeup line ของคนดังที่ขายดีที่สุด (ปัจจุบันอยู่ระหว่าง rebranding หลังจากที่เธอแยกทางกับYe และต้องการกลับไปใช้นามสกุลเดิม และวางแผนเปิดตัว skincare lineในชื่อ SKKN)
เพียงไม่ช่วงระยะเวลาไม่นานตั้งแต่เปิดตัวธุรกิจ shapewear SKIMS ได้กอบโกยกำไรอย่างไม่หยุดยั้งจนได้รับการประเมินว่ามีมูลค่าถึง US$3,200 ล้าน (ในระยะเวลาปีเดียวก็เพิ่มมูลค่าไปเกือบเท่าตัว) และทำให้Kim รับส่วนแบ่งในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไปมากมายจน FORBES ประกาศให้เธอมีสถานะมหาเศรษฐีพันล้านเต็มตัว แม้ว่าช่วงเริ่มต้นการเปิดตัวจะขลุกขลักจากดราม่าชื่อแบรนด์ที่ตั้งใจจะใช้ว่า KIMONO ที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นและผู้คนอีกมากมายออกมาต่อต้านการนำชื่อของเครื่องแต่งกายประจำชาติมาตั้งชื่อ shapewear หรือชุดชั้นใน แต่เมื่อเธอเปลี่ยนชื่อแบรนด์ (ที่ดูโดดเด่นและเหมาะกับสินค้ามากกว่าชื่อ KIMONOอย่างชัดเจน)
รีวิวจากผู้ใช้shapewear นั้นเต็มไปด้วยคำชื่นชม นั่นยังรวมถึงผู้ที่ประกาศตัวว่า ไม่ปลาบปลื้ม Kim K แต่ประทับใจกับคุณภาพสินค้า นักข่าวจากสื่อดังบางเจ้าถึงประกาศผ่านบทความว่า แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่หลงรัก SKIMS ที่ทำให้สวมใส่เสื้อผ้าในแบบที่ชอบได้อย่างมั่นใจมากขึ้น แม้แต้ในสถานการณ์โรคระบาดที่สร้างผลกระทบต่อธุรกิจหลากหลายแบรนด์ SKIMS กลับยิ่งขายดี จากที่ปล่อยให้ Kylie กวาดรายได้มหาศาลจากการสร้างธุรกิจไปก่อน Kim ก็ผงาดขึ้นมาด้วยทรัพย์สินที่ถูกประเมินว่ามีมูลค่าถึง US$ 1,800 ล้าน และร่ำรวยที่สุดในครอบครัว
แน่นอนว่า Kim จะต้องได้รับคำถามให้แสดงวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างอลังการ รวมไปถึงคำแนะนำในฐานะผู้หญิงที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
แต่เมื่อไม่นานมานี้ การให้สัมภาษณ์ของครอบครัว Kardashian กับนิตยสาร Variety ก็ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนจากโลกออนไลน์ หลังจากที่นักข่าวขอให้ Kim ชี้แนะเรื่องความสำเร็จของเธอ
"ฉันมีคำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงในแวดวงธุรกิจ"
"ลุกขึ้นมาแล้วทำงานซะมั่ง ดูเหมือนว่าทุกวันนี้จะไม่มีใครอยากทำงานกันสักเท่าไรเลย"
"คุณจะต้องอยู่ท่ามกลางกับคนที่ตั้งใจจะทำงาน อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมในการทำงานทดีๆที่ทุกคนรักในสิ่งที่พวกเค้าทำ เพราะคุณจะมีชีวิตเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น"
"อย่าอยู่ในสังคมการทำงานที่เป็นพิษ มาถึงที่ทำงานแล้วก็ตั้งใจทำงานซะ"
หลายครั้งหลายคราที่การใช้คำพูดของคนดังได้กลายเป็นดราม่าใหญ่โตได้เกิดขึ้นเมื่อพวกเค้าไม่ได้ใช้บริการของประชาสัมพันธ์เพื่อเกลาคำพูดไว้ล่วงหน้า เรียกได้ว่า ใช้คำพูดแบบไม่ระมัดระวังเพียงนิดเดียวก็อาจจะส่งผลเสียต่อการรักษาชื่อเสียง แม้จะตีความได้ว่า ไม่มีเจตนาในแง่ลบหรือดูถูกดูแคลนใคร คำแนะนำให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาทำงาน (หรือสร้างpassion กับการทำงาน) อาจจะไม่กระทบกระเทือนใจคนฟังอีกมากมาย หาก Kim เพิ่มเติมคำอธิบายถึงประสบการณ์ในการทำธุรกิจโดยไม่ใช้คำเหน็บแนมต่อว่า 'สมัยนี้ไม่เห็นจะมีใครอยากทำงานกันนัก'
เพราะพวกเราต่างรู้ดีว่า ยังมีผู้หญิงทั่วโลกที่กระหายต่อความสำเร็จและพร้อมตั้งใจทำงานเต็มที่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่พวกเธอไม่ได้มาพร้อมกับคำว่า
- โอกาส
- โชค
- อภิสิทธิ์
- ทางเลือก
ปฏิกิริยาตอบรับจากสังคมออนไลน์นั้นน่าจะนับได้ว่าอยู่ในระดับ major backlash ไม่เพียงแต่จะดึงดูดความสนใจจนกลายเป็นviral หลายสื่อทั้งจาก internetและ TV ก็ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ บางเจ้าก็ถึงขั้น 'ทุบ' เลยทีเดียว
MSNBC: เพราะอะไรคำแนะนำทางธุรกิจของ Kim Kardashian จึงสร้างความเสียหาย?
THE CUT: Kim Kardashian ให้คำแนะนำเรื่องการงานที่ดูเปล่าประโยชน์
Canadian Business: คำแนะนำทางธุรกิจของ Kim Kardashianเป็นสิ่งไม่ถูกไม่ควรและไม่ให้เกียรติผู้อื่น
สำหรับบรรดาแม่ๆ นี่คือช่วงเวลาที่การให้คำแนะนำของ Kimผิดที่ผิดทางอย่างที่สุด
ส่วนปฏิกิริยาจากชาวเน็ทที่หลั่งไหลเข้ามาโต้ตอบเรื่องข้อแนะนำในการทำงานของ Kim เต็มไปด้วยคำพูดประชดประชันและmemeล้อเลียนซึ่งชี้ให้เห็นว่า นี่คือตัวอย่างของอภิสิทธิ์ชนที่ out of touch หรือ tone deaf ทัศนคติที่ว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่ทุ่มเททำงานนั้นดูแตกต่างกับชีวิตจริงที่ยังมีเหล่าคุณแม่ที่ต้องพยายามจัดสรรเวลาทำงานและเลี้ยงดูลูกโดยไร้พี่เลี้ยง ผู้หญิงที่มีภาระต้องดูแลอย่างหนี้สินจากการกู้เงินร่ำเรียน ผู้หญิงที่ต้องกระเสือกกระสนไขว่คว้าหาโอกาสแต่ถูกซ้ำเติมจากวิกฤติโรคระบาด ผู้หญิงที่ทุ่มเททำงานเพื่อจะสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ก็ยังเสี่ยงที่จะสูญเงินลงทุนที่เก็บสะสมมานาน หรืออาจจะกล่าวได้ว่า พวกเธอเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่กลุ่ม 1% ที่มาพร้อมกับโอกาสในการใช้ชีวิตตามใจปรารถนา แม้จะทุ่มเทสร้างธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็ยังมีหนทางอื่นเพื่อต่อยอดสร้างรายได้โดยไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันของความขัดสนทางเศรษฐกิจ
นอกจากจะมีชาวเน็ทที่ส่งความเห็นจิกกัดเรื่องความเป็นอภิสิทธิ์ชนของKim ไม่ว่าจะเป็นการขุดหาภาพสมัยวัยรุ่นที่พ่อซื้อรถ BMW ให้เป็นของขวัญ หรือนำเรื่องราวของตัวเองมาเปรียบเทียบกับต้นทุนทางสังคมของราชินี internet ก็ยังผู้ที่ขอให้แยกแยะเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนของคนทั่วไปกับเส้นทางการสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จซึ่งมีหลายปัจจัยส่งเสริม ไม่ได้มีเพียงสูตรสำเร็จของการทุมเททำงานในสิ่งที่รักแล้วจะประสบความสำเร็จเท่านั้น
กระแสโต้กลับร้อนแรงจากโลกออนไลน์ยังพาดพิงไปถึง Kourtney ที่ร่วมให้สัมภาษณ์และสนับสนุนคำแนะนำจากปากน้องสาวด้วยท่าทีถูกใจใช่เลย สาเหตุก็คือ การประกาศในรายการ Keeping Up With The Kardashians เมื่อถูกตำหนิว่าไม่ทุ่มเททำงานเหมือนกับคนอื่นในครอบครัวว่า
"การทำงานไม่ใช่สิ่งที่ฉันให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉันคือการทำหน้าที่แม่"
ทำให้หลายคนหยิบยกคำพูดของ Kourtney มาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความย้อนแย้งในการแสดงแนวคิดเรื่องการทำงานพี่น้องครอบครัวนี้
อดีตพนักงานและอินเทิร์นแชร์ประสบการณ์ที่ได้ทำงานกับครอบครัว Kardashian
การเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานของ Kim และครอบครัวอาจจะเป็นอาชีพในฝันของหลายคน เพื่อจะได้ระบุในโพรไฟล์ให้ดูน่าดึงดูดใจจากตำแหน่งพนักงานฝึกหัดที่อยู่ในทีมของคนดังที่มีผู้ติดตามหลายร้อยล้านคน แม้จะไม่ได้รับค่าตอบแทนในการทำงาน แต่ก็ยังมีนักศึกษาที่อยากตักตวงประสบการณ์นี้การนี้ไว้ งานของพนักงานฝึกหัดที่จะเป็นลูกมือของผู้ช่วยส่วนตัวอีกทีนั้นจะครอบคลุมเรื่องจุกจิกต่างๆ เช่น จับจ่ายซื้อของ ดูแลสุนัข ดูแลห้องของเล่นของเด็กๆ รับส่งพัสดุต่างๆ งานจัดระเบียบ office เป็นต้น แต่แม้ว่าจะเป็นงาน part-time แต่Celena อดีตพนักงานฝึกหัดที่เคยทำงาน ให้ Kim ยืนยันว่า เธอทุ่มเททำงานเต็มที่ซะจน Kim น่าจะพูดเพิ่มเติมในคำแนะนำอันฮือฮาถึงความยอดเยี่ยมของเธอ
หรือจะเป็นJessia อดีต editor ของ Kardashian App ที่เผยถึงการทำงานข้ามวันข้ามคืน รวมถึงสุดสัปดาห์ที่บ่งบอกว่า รายได้ของเธอน้อยซะจนไม่พอสำหรับค่าน้ำมันรถเพื่อเดินทางมาทำงาน หากรับงานพิเศษนอกบริษัทมาเป็นรายได้เสริมเพื่อให้พอเพียงกับข้อใช้จ่ายก็มีข้อจำกัดในสัญญา ทำให้เธอมองว่า หากทรัพย์สินมากมายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทุ่มเททำงานหนัก ก็เป็นการทำงานของงานหนักของพนักงานที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัว ส่วนนายจ้างก็เป็นผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งเป็นปัญหาของระบบนายทุน ซึ่งรายรับในระดับมาตรฐานของชนชั้นแรงงานไม่พอเพียงต่อการใช้ชีวิตภายใต้ค่าครองชีพที่พุ่งสูง ซึ่งปัญหาที่อยู่ในระบบนี้จะไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขด้วยการทำงานหนัก แต่จำเป็นต้องมีการร่วมมือบริหารจัดการ ความโปร่งใส และความสามัคคี
นอกจากนั้น หลังจากที่เธอได้เห็นผู้หญิงชื่อเสียงโด่งดังใช้มาตรฐานความงามที่ยากจะเป็นไปได้มาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดใจให้ผู้คนซื้อหาสินค้า และเรียนรู้ว่าเป็นโลกที่ย่ำแย่และเอารัดเอาเปรียบ เธอก็เปลี่ยนสายมาเป็นนักวิจารณ์ธุรกิจความงามและรายงานอันตรายจากวัฒนธรรมความงามในสื่อmagazineรวมถึงช่องจดหมายข่าวสารออนไลน์ของเธอเอง
Trevor Noah วิเคราะห์ตรงประเด็น Kimคือผู้หญิงทำงานที่สร้างอาณาจักรอันทรงอิทธิพลมาจาก'ภาพลักษณ์คนที่ไม่ได้ทำงาน'บน social media
อีกหนึ่งสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นร้อนไว้ได้น่าสนใจ คือ Trevor Noah พิธีกรและนักแสดงตลกจาก daily show ที่ได้ฟันธงชัดเจนว่า แม้จะมีคนที่ยังเข้าใจถึงเส้นทางการสร้างรายได้มหาศาลของ Kimว่ามาจากการถ่าย selfie ออกงานหรูหรา แต่เธอคือนักธุรกิจตัวจริง และทุ่มเททำงานจริงๆ
แต่ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษ จุดขายของเธอจากหน้า social media คือชีวิตสุด glamourous และ relaxing ตามทริปชายทะเล สระว่ายน้ำ อ่างน้ำอุ่น แม้เบื้องหลังอาจจะเป็นการตื่นเช้าตรู่และทำงานยุ่งทั้งวัน ต้องประชุมเรื่องสินค้าถึงดึกดื่น ไม่ได้ใส่ shapewear โชว์เรือนร่างโค้งเว้าบน Instagram แล้วเงินพันล้านโปรยปรายลงมาเอง แต่เมื่อคนนอกมองเห็นแต่ชีวิตที่ดูไร้แรงกดดันจากการงานก็อาจจะเข้าใจผิดคิดไปว่า เธอช่างมีชีวิตที่น่าอิจฉา ถึงไม่ต้องทำงานหนักก็รวยเอาๆ
"นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ Kim Kardashian ไม่เข้าใจ การบอกผู้หญิงคนอื่นๆว่า สาเหตุที่พวกเธอไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะเกียจคร้านเกินจะลุกขึ้นมาทำงานกันจริงจังนั้นอาจจะเป็นเกิดความไม่พอใจอย่างแรง เพราะถึง Kim Kardashian จะทำงานหนักมากๆ แต่คุณรู้ไหมว่ามีใครอีกที่ทำงานหนักเหมือนกัน ก็ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังไงล่ะครับ แต่พวกเค้าไม่มีอะไรเหมือนกันกับเธอ? มันคือความโชคดีที่ได้เกิดมาในครอบครัวผู้มีอันจะกิน มีพ่อเป็นทนายความชื่อดัง มีพ่อเลี้ยงที่เป็นแชมป์ Olympic ที่ดังยิ่งกว่า และยังมีตัวช่วยต่างๆรวมถึงเส้นสาย ลองคิดดูว่า หากคุณโชคดีที่ได้รับสิ่งเหล่านั้น การทุ่มเททำงานของคุณก็มีโอกาสที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ แต่อย่าลืมไปซะล่ะว่า ความสำเร็จของคุณมีโชคมาเกี่ยวข้องขนาดไหน "
"ใครก็ตามที่บอกว่า ทำงานหนักเข้าซะสิ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะไปได้สวยเอง คนพวกนี้ลืมไปตัวเสริมสำคัญที่เรียกว่าโชคไป มีผู้คนจำนวนมากมายที่ทำงานหนัก แต่ก็ยังขัดสน อันที่จริงแล้ว ยิ่งยากจนมากเท่าไร ก็จะยิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้นไปอีก"