ปรากฏการณ์hashtagให้ติด trending ตามวิถี K-Pop Fandom
candy 34 12เมื่อสิ้นปี 2021 จำนวน Tweets ภายใต้หมวดหมู่ K-Pop จากทั่วโลกพุ่งไปถึง 7800 ล้านครั้ง (เรียงอันดับประเทศ Top 5 ที่ tweet มากที่สุด คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไทย และอเมริกา) นี่เป็นการคำนวณจากกระแสความนิยมทางTwitter ยังไม่รวมถึง platform อื่นๆ เพียงเท่านี้ ก็น่าจะทำให้หลายฝ่ายฟันธงได้ว่า อิทธิพลของ K-Pop จะยิ่งแผ่ขยายอย่างไม่หยุดยั้งต่อไปในอนาคตภายหน้า
แต่นอกจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเรื่องดนตรีและศิลปินคนโปรด การร่วมใจกันติด hashtag จนติด trending ดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั่วโลกได้กลายมาเป็น norm ที่พวกเราคุ้นเคย มาเกาะติดวิถี fandom ในยุคไร้พรมแดนกันสิว่า hashtag ดังๆทั้งหลายจะมีที่มาที่ไปเช่นใด
ติด trending เพื่อส่งกำลังใจให้ไอดอล
พอพูดถึง trending จาก K-Pop fandom ไม่ได้มีแต่เรื่องดราม่าหรือกระแสโต้แย้งจากการแสดงความเห็นที่แตกต่างเท่านั้น แต่มันกลายมาเป็นเครื่องมือที่แฟนๆใช้ สื่อสารกับศิลปินในโอกาสสำคัญ แม้ว่าไอดอลชื่อดังทั้งหลายจะใช้ V Live เพื่อพูดคุยและสร้างความรู้สึกไกล้ชิดได้มากกว่าประกาศผ่าน Tweet แต่เมื่อรวมพลังกันติด hashtag ส่งกำลังใจให้กับศิลปินจนติด trending ด้วยจำนวนสูงลิบลิ่ว ย่อมส่งเสียงไปถึงอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน นอกเหนือจากจะเป็นการส่งความรักให้กัน ก็ยังช่วย boost กระแสให้กับศิลปินทำให้สื่อทั้งในเกาหลีและต่างประเทศพร้อมใจนำเสนอข่าวในด้านดีๆ หรือเรียกได้ว่าเป็นการปูทางเพื่อขยายความนิยมให้พุ่งแรงขึ้นอีก
ตัวอย่างชัดเจนคือ #LightItUpBTS ที่เหล่า ARMํY ทั่วโลกร่วมกันแปะจนนับได้เกินสองล้าน Tweets ระหว่างที่บอยแบนด์ No.1 เข้าร่วมงานประกาศรางวัล Grammy คลื่นกำลังใจมหาศาลนี้ไม่เพียงแต่จะพิสูจน์ความโด่งดังของศิลปินเกาหลีและความแข็งแกร่งของ fandom แต่ทำให้สื่อตะวันตกร่วมวิเคราะห์เส้นทางสู่รางวัลยิ่งใหญ่ของ BTS ราวกับว่ากำลังร่วมลุ้นไปกับ ARMY ไปด้วย คงไม่ต้องแปลกใจที่ #LightItUpBTS พุ่งทะยานเข้าติดกลุ่ม K-Pop Hashtags ยอดนิยมเมื่อปีที่แล้ว
การเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับไอดอล
อาจจะมีผู้สงสัยว่า hashtag ที่เกิดจากความไม่พอใจของแฟนๆที่รับไม่ได้ที่ใครบางคนพูดจาจาบจ้วงดูหมิ่นไอดอลหรือล่วงเกินในสถานการณ์ต่างๆนั้นจะนำไปสู่ผลลัพธ์ตามที่พวกเค้าเรียกร้องจริงหรือ? แต่ชัดเจนว่า ในบางครั้ง การยื่นคำขาดด้วย hashtag นั้นมีแรงกดดันมากเพียงพอให้อีกฝ่ายรับผิดชอบด้วยการประกาศขอโทษและรับปากว่าจะไม่ดูหมิ่นไอดอล
ดังกรณีล่าสุดของ Rolling Stoneเกาหลีที่พาดพิง Jisoo และ Lisa แห่ง BLACKPINK จนทำให้ BLINKS เดือดจัด
บางคนมองว่า สไตล์ของสื่อหัวนอกซึ่งมาพร้อมกับการเสียดสีและการจับเรื่องเปราะบางมาวิพากษ์วิจารณ์ศิลปินแบบไม่เกรงใจไม่เหมาะกับวงการ K-Pop นัก เพราะแม้ว่า K-Pop จะแผ่อิทธิพลจนกอบโกยความสำเร็จไปในหลายประเทศทั่วโลก แต่แฟนๆจำนวนมากยังยึดมั่นกับกรอบการปฏิบัติที่สุภาพและให้เกียรติตามสื่อเกาหลี สื่อที่วิจารณ์แบบสับแรงอาจจะทำให้ถูกมองเป็น hater หรือ troll ไปเลย ด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ถึงแม้เราจะเคยศิลปินK-Popชื่อดังไปอ่าน mean tweets เรียกเสียงฮาในรายการ Jimmy Kimmel มาแล้ว แต่ถ้าเป็นคำวิจารณ์ที่ฟังดูจริงจังจากสื่อ แฟนๆจำนวนมากยืนยันว่า จะไม่ยอมนิ่งเฉยให้ไอดอลคนโปรดตกเป็นเป้าโจมตีแน่นอน!
Rolling Stone ได้ไฮไลท์ว่า Jisoo มีตำแหน่ง visual idol ของวง และไม่ได้เป็นผู้ที่มีความสามารถเรื่องการเต้นและการขับร้องที่สุดในวง ซึ่งมีผู้มองว่าไม่ต่างจากการเหน็บแนมไอดอลสาวว่ามีจุดดีเพียงหน้าตา ถึงจะมีคำชมตามมาว่า เธอได้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่ BLINKS หลายคนเชื่อว่า นี่ไม่ต่างจากพฤติกรรมตบหัวแล้วลูบหลัง เพราะสื่อดนตรีชื่อดังได้นำประเด็นอ่อนไหวเรื่องความโดดเด่นของ Jisoo มาขยี้ ราวกับจะบอกว่า เธอเป็นเมมเบอร์ที่เน้นขายหน้าตาแต่ความสามารถไม่ทัดเทียมเพื่อนในวงแล้วโปรยถ้อยคำที่ฟังเหมือนจะสวยหรูเพิ่มเข้าไปพอไม่ให้ฟังทิ่มแทงกันมากนัก
ส่วนคำบรรยายถึง Lisa ก็ชวนสะดุดไม่แพ้กัน เพราะแม้จะรับรู้ว่า เธอเป็นไอดอลต่างชาติที่ต้องเผชิญกับปัญหาการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและมาแล้วหลายครั้ง แต่กลับนำเรื่องสำเนียงการออกเสียงภาษาของเธอมาขยายความว่า ฟังดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากพอที่จะทำให้แฟนๆไม่รู้สึกสะดุดกับข้อบกพร่องจากการเป็นเมมเบอร์ต่างชาติ หลายคนชี้ว่า นี่คำชมที่แฝงคำเย้ยหยันมาด้วย หากจะชื่นชมเรื่องความพยายามของไอดอลที่พยายามฝึกฝนเรียนรู้ภาษาเกาหลีจนสามารถพูดได้อย่าง fluent ด้วยความจริงใจ ก็ไม่ควรจะใช้น้ำเสียงกดชาวต่างชาติให้ดูด้อยกว่า หากเป็นสื่อที่เจริญแล้ว การพูดถึงสำเนียงต่างประเทศจะไม่ถูกมองเป็นข้อด้อย แต่เปิดใจยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
หลังจากที่ถูกโจมตีว่าดูหมิ่นความสามารถของ Jisoo และเหยียดเชื้อชาติ Lisa สื่อดนตรีชื่อดังก็ได้ยอมรับว่า เลือกใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะไม่ควร และชักนำให้ผู้คนเข้าใจผิดและได้ปรับปรุงแก้ไขข้อความในคอลัมน์ในการตีพิมพ์ครั้งต่อไป ทั้งยังได้ขออภัยต่อตัวศิลปินสาวทั้งสองที่ดึงพวกเธอมาพบกับความไม่สบายใจ แม้แฟนๆจะยังรู้สึกว่า การขอโทษของ Rolling Stone ฟังดูไม่จริงใจเต็มที่ แต่เสียงเรียกร้องก็ทำให้มีการแก้ไขเนื้อหาบทความได้
ส่วนคำบรรยายถึง Lisa ก็ชวนสะดุดไม่แพ้กัน เพราะแม้จะรับรู้ว่า เธอเป็นไอดอลต่างชาติที่ต้องเผชิญกับปัญหาการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและมาแล้วหลายครั้ง แต่กลับนำเรื่องสำเนียงการออกเสียงภาษาของเธอมาขยายความว่า ฟังดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากพอที่จะทำให้แฟนๆไม่รู้สึกสะดุดกับข้อบกพร่องจากการเป็นเมมเบอร์ต่างชาติ หลายคนชี้ว่า นี่คำชมที่แฝงคำเย้ยหยันมาด้วย หากจะชื่นชมเรื่องความพยายามของไอดอลที่พยายามฝึกฝนเรียนรู้ภาษาเกาหลีจนสามารถพูดได้อย่าง fluent ด้วยความจริงใจ ก็ไม่ควรจะใช้น้ำเสียงกดชาวต่างชาติให้ดูด้อยกว่า หากเป็นสื่อที่เจริญแล้ว การพูดถึงสำเนียงต่างประเทศจะไม่ถูกมองเป็นข้อด้อย แต่เปิดใจยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
หลังจากที่ถูกโจมตีว่าดูหมิ่นความสามารถของ Jisoo และเหยียดเชื้อชาติ Lisa สื่อดนตรีชื่อดังก็ได้ยอมรับว่า เลือกใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะไม่ควร และชักนำให้ผู้คนเข้าใจผิดและได้ปรับปรุงแก้ไขข้อความในคอลัมน์ในการตีพิมพ์ครั้งต่อไป ทั้งยังได้ขออภัยต่อตัวศิลปินสาวทั้งสองที่ดึงพวกเธอมาพบกับความไม่สบายใจ แม้แฟนๆจะยังรู้สึกว่า การขอโทษของ Rolling Stone ฟังดูไม่จริงใจเต็มที่ แต่เสียงเรียกร้องก็ทำให้มีการแก้ไขเนื้อหาบทความได้
เสียงโต้แย้งจากผู้เห็นต่าง นักวิจารณ์ดนตรีแตะต้องศิลปิน K-Popไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่า ท่ามกลางดราม่าร้อนระอุ เราจะได้พบผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ trending เรียกร้องความเป็นธรรมให้สองสาวจาก BLACKPINK พวกเค้าเหล่านั้นมองว่า Rolling Stone สร้างชื่อเสียงมายาวนานจากการวิพากษ์วิจารณ์ศิลปิน เป็นเรื่องปกติผู้อ่านจะสัมผัสถึงการจิกกัดเริ่มหลาย level เริ่มตั้งแต่จิกแอบแฝงไปจนถึงจิกเลือดสาด superstar ที่กอบโกยความสำเร็จระดับโลกหลายคนก็ถูกวิจารณ์กันหลายแง่มุม แม้แต่เรื่องส่วนตัวยังไม่เลี่ยงไม่พ้น แต่แฟนๆก็โต้ตอบด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงขนาดต้องติด hashtag กดดันให้สื่อขอโทษ รวมถึงผู้ที่ทักท้วงว่า โลกไม่ได้หมุนตาม fandom นักวิจารณ์ดนตรีไม่ใช่ติ่งไอดอลที่จะต้องแสดงความปลาบปลื้มชื่นชมกันทุกลมหายใจ แม้ว่า Rolling Stone จะใช้คำบรรยายที่ชวนสะดุดหูอยู่บ้าง แต่ดูจะไม่ได้มาจากเจตนาเพื่อด้อยค่ากัน เพียงแค่ไม่ได้ยกย่องพวกเธอว่าช่างเลิศเลอไร้ที่ติตามที่แฟนๆคาดหวังจะได้ยินเท่านั้น
เสียงโต้เถียงจากประเด็นนี้ยังดำเนินต่อไป BLINK บางรายยืนยันว่า เป็นใครก็พูดได้ว่าให้เปิดใจยอมรับคำวิจารณ์จากสื่อ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมนตัวเอง แต่หากเมนตัวเองถูกพาดพิงในประเด้นอ่อนไหวหรือชมกันแบบตบหัวแล้วลูบหลังก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน!
เสียงโต้เถียงจากประเด็นนี้ยังดำเนินต่อไป BLINK บางรายยืนยันว่า เป็นใครก็พูดได้ว่าให้เปิดใจยอมรับคำวิจารณ์จากสื่อ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมนตัวเอง แต่หากเมนตัวเองถูกพาดพิงในประเด้นอ่อนไหวหรือชมกันแบบตบหัวแล้วลูบหลังก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน!
บางครั้ง trending ก็ไม่ประสบผลตามที่แฟนๆคาดหวัง
#ApologizeToSoojin ได้ติดหนึ่งใน trending ที่ชาวเน็ทกล่าวขวัญมากที่สุดในปีที่แล้ว จากความพยายามของแฟนๆ Soojin แห่ง (G)I-DLE ในการแสดงพลังให้ต้นสังกัดของเธอได้รับรู้ว่ายังมีคนมากมายที่เชื่อมั่นและเฝ้ารอให้เธอกลับมาโลดแล่นในฐานะศิลปินอีกครั้ง แต่ประกายความหวังกลับวูบดับไป เมื่อCUBE ประกาศว่าเธอได้ถอนตัวจากวงและยุติสัญญาไปเรียบร้อย สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเปรียบได้ว่าเป็นคำสาป bully ซึ่งดับอนาคตคนดังเกาหลีไปแล้วหลายราย บางคนอาจจะฝ่าฟันอุปสรรคและพยายามพิสูจน์ตัวเองจนกลับคืนสู่วงการได้ แต่ Soojinไม่ใช่หนึ่งในนั้น แม้เธอได้เล่าเรื่องราวความขัดแย้งกับอดีตเพื่อนจนด่าด้วยอารมณ์โกรธกันผ่านทางโทรศัพท์ และปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการใช้ความรุนแรงและข้อกล่าวหาเรื่องกลั่นแกล้ง รีดไถเงิน และซิ่งรถมอเตอร์ไซค์กับชายหนุ่มอายุมากกว่าอย่างหนักแน่น
เมื่อนักแสดงสาว Seo Shin-ae ออกมาเปิดเผยว่า เธอถูก Soojin และเพื่อนพูดเยาะเย้ยถากถางเป็นเวลาสองปีในช่วงที่เรียนมัธยมต้น ถึงจะไม่เคยพูดจากันตรงๆ แต่คอยหัวเราะเยาะใส่และนินทาลับหลังส่งผลให้เธอเจ็บปวดใจจนรู้สึกหวาดกลัวคนและกลายเป็นคนเก็บตัว สถานการณ์ของ Soojin ก็ดูแย่ลงไปอีก แม้ว่าเธอจะยืนกรานปฏิเสธว่าไม่เคยมีพฤติกรรมตามคำบอกเล่าของอีกฝ่าย และแทบจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป ทำให้แฟนๆร่วมใจตอบโต้ด้วย #ApologizeToSoojin จนเกรียวกราว เพื่อชี้ให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาที่ขาดความน่าเชื่อถืออาจจะทำลายความฝันของไอดอลสาวจนย่อยยับ แต่คนกลุ่มหนึ่งก็ฝังใจแล้วว่าเธอเป็นจอม bully ที่ไม่คู่ควรจะเป็นศิลปินบันเทิงที่สังคมยกให้เป็นแบบอย่างเรื่องความดีงามทุกด้าน หลังจาากนั้นหลายเดือน ต้นสังกัดก็ประกาศว่าเธอตัดสินใจถอนตัวออกจากวง (G)I-DLE ท่ามกลางความช็อคของแฟนๆ
แฟนๆมองว่า timeline ของเหตุการณ์อยู่ในช่วงที่เธออายุได้เพียง12-13 ปี หากผิดพลั้งทำร้ายจิตใจเพื่อด้วยคำพูด ก็ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสียถึงขั้นต้องถูกแบนจากวงการ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังถูกชาวเน็ทโจมตีหนัก รวมถึงการปล่อยข่าวลือเสียหายต่างๆ กระแสต่อต้านเธอแรงถึงขนาดว่า เมื่อ CUBE อวยพรวันเกิดเธอออกสื่อกลับถูกถล่มว่าให้ท้ายไอดอลนิสัย bully
คำสาป bully อาจจะกลายมาเป็นเรื่องชวนสยองสำหรับคนวงการบันเทิงเกาหลี หากเจอเข้ากับตัว ไม่ว่าข้อกล่าวหาจะมีมูลความจริงหรือถูกใส่ร้าย กว่าจะผ่านขั้นตอนพิสูจน์ความบริสุทธิ์และเก็บตัวให้ scandal ซาลงไป ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกต้นสังกัดยุติสัญญาจนเส้นทางศิลปิน K-Pop อันรุ่งโรจน์ดับวูบไป ทั้งๆที่ยังมีแฟนๆมากมายคอนลุ้นให้รอดพ้นจาก scandal นี้ให้ได้ก็ตาม ดังกรณี Soojin ที่ trending ก็ยังกอบกู้ไม่ไหว
คำสาป bully อาจจะกลายมาเป็นเรื่องชวนสยองสำหรับคนวงการบันเทิงเกาหลี หากเจอเข้ากับตัว ไม่ว่าข้อกล่าวหาจะมีมูลความจริงหรือถูกใส่ร้าย กว่าจะผ่านขั้นตอนพิสูจน์ความบริสุทธิ์และเก็บตัวให้ scandal ซาลงไป ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกต้นสังกัดยุติสัญญาจนเส้นทางศิลปิน K-Pop อันรุ่งโรจน์ดับวูบไป ทั้งๆที่ยังมีแฟนๆมากมายคอนลุ้นให้รอดพ้นจาก scandal นี้ให้ได้ก็ตาม ดังกรณี Soojin ที่ trending ก็ยังกอบกู้ไม่ไหว
แม้แต่เพื่อนร่วมวงเดียวกันเองก็ยังถูกทักท้วงเรื่องพฤติกรรมจนติด trending
แฟนๆ K-Pop น่าจะสังเกตเห็นว่า หลายครั้ง trending ที่ได้รับความสนใจจะเริ่มต้นจากต่างประเทศ สิ่งที่น่าจับตามองคือ เรื่องค่านิยมของแฟนๆฝั่งเกาหที่แตกต่างจากฝั่งต่างชาติ และทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันตามมา ดังกรณี #ApologizeToSunoo ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากวง ENHYPEN ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงได้คุย live อย่างสนุกสนาน รวมถึงเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงเมื่อมีแฟนทัก Sunoo ด้วยslang ที่ตีความได้ว่า หน้าของเขาดูตอบลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว หรือ (หากชม TV show หรืออ่าน Webtoon เกาหลีบ่อยๆก็คงทราบว่า การทักทายเรื่องหน้าเล็กคือคำชมที่ทำให้หลายคนปลาบปลื้ม ไม่จำกัดไว้ชมเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ใบหน้าเล็กเรียวก็ถือเป็นคุณสมบัติดึงดูดใจสำหรับผู้ชายเกาหลีเช่นกัน) ตามมาด้วยคำยืนยันด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับการล้อเลียนจากเพื่อนๆว่า หน้าของเขาไม่ได้ซูบลงสักหน่อย แต่ในภายหลัง Netizenเกาหลีได้มาขยายความให้แฟนต่างชาติเข้าใจว่า คำว่าหน้าเหลือครึ่งหนึ่งนั้นตีความหมายได้สองแบบคือ หน้าเล็กลงเพราะน้ำหนักลดและอีกความหมายหนึ่งคือ ดูซูบโทรมเพราะความเหน็ดเหนื่อย หรือเจ็บป่วย หนุ่มๆวง ENHYPEN อาจจะไม่ได้พูดถึงไซส์ใบหน้า และเชื่อว่าความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทางภาษา อาจจะทำให้แฟนๆต่างชาติมองเมมเบอร์คนอื่นในแง่ลบ
ฟังดูแล้ว การหยอกล้อเพียงเท่านี้อาจจะไม่ใช่ชนวนดราม่าได้เลย แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเพื่อนร่วมวงได้คอมเมนท์เรื่องรูปร่างของ Sunoo มาก่อนหน้า จนดูจะเป็น joke ประจำ ENHYPEN ก็ว่าได้ ไอดอลหนุ่มที่ดูห่างไกลจากภาวะน้ำหนักเกินผู้นี้เคยถูกเปรียบเทียบกับคำว่าช้าง,หมูป่า, Baymax ถูกเย้าว่ากินจุและอ้วนขึ้น แม้เจ้าตัวจะยิ้มร่าตอบรับคอมเมนท์เหล่านี้ ไม่มีทีท่าถือสาแม้แต่น้อย แต่ก็ทำให้แฟนหลายคนแสดงความวิตกกังวลว่า นี่คือที่มาของปัญหา body-shaming ที่สร้างความกดดันมหาศาลในสังคมเกาหลีที่ตั้งมาตรฐานความงามไว้สูงลิบลิ่ว ไม่เฉพาะเกาหลี ในหลายประเทศ การวิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์กันซึ่งๆหน้ายังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนยังทักทายกันเรื่องน้ำหนักตัว ผิวพรรณ รวมถึงตอกย้ำปมด้อยกันแบบไม่รักษาน้ำใจจนคนฟังอาจจะซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายใต้รอยยิ้ม ทำให้แฟนๆติด hashtag เรียกร้องให้เพื่อนร่วมวงขอโทษ Sunoo และแนะนำให้พวกเค้าศึกษาผลกระทบจาก body-shaming และเลิกพฤติกรรม bully เพื่อนเรื่องรูปลักษณ์
ในTwitterไม่ได้มีแต่เสียงcall outเมมเบอร์ ENHYPEN ที่หยอกล้อเรื่องรูปร่างของSunoo แต่ยังมีการเชิดชูแนวคิด body positivity เพื่อชี้ว่าเขาดูดีมีเสน่ห์เต็มที่อยู่แล้ว ในขณะเดียวกัน ก็มีการไถ่ถามอย่างงุนงงว่า พวกเค้ามีมาตรฐานวัดความจ้ำม่ำกันเช่นใด? เพราะมองยังไง Sunoo ก็เป็นไอดอลรูปร่างเพรียวเข้ากับมาตรฐานความงามของวงการ K-Pop ซึ่งมีแฟนกลุ่มหนึ่งออกตัวยืนยันว่า การแซวเรื่องความอ้วนนั้นไม่ได้มาจากเจตนา bully แต่เป็นการแสดงความรักในรูปแบบหนึ่ง แต่หลังจากตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จนติด trending เป็นไปได้ว่า พวกเค้าน่าจะปรับเปลี่ยนการแสดงออกดังกล่าว รวมถึงออกมาชี้แจงในเร็วๆนี้