ย้อนรอยกระแสคลั่งผอมจากยุค2000s
candy 41 15
จากกระแสความนิยมของ 2000s aesthetic หรือที่เรียกอีกอย่างว่า the naughties ที่นอกจากจะเติมเต็มความคิดคำนึงถึงความหลัง ก็ยังทำให้คนต่าง generation ได้ปฏิสัมพันธ์กันอย่างสนุกสนาน แต่อาจจะมีอยู่เทรนด์หนึ่งที่หลายคนไม่ปรารถนาจะให้มันหวนคืนกลับมาพร้อมกัน นั่นคือแนวคิดเรื่อง body image ที่ทำให้เกิดความหมกมุ่นกับรูปร่างที่ผอมบางนั่นเอง
แนวคิดเรื่อง body image ที่ส่งต่อมาจากยุคเรืองรองของ 90s Super Model
หลายๆครั้งที่เราได้เห็นการถกประเด็นเรื่อง beauty image จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวเน็ทวัยผู้ใหญ่จากประเทศตะวันตกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Kate Moss คือแรงบันดาลใจให้พวกเธอกระโจนเข้าสู่วัฒนธรรมdiet เทรนด์ Heroin Chic นั้นช่างฟังห่างไกลกับคำว่าสุขภาพดี หากตั้งคำถามว่า มีใครอยากจะผอมแห้งจนดูเหมือนกับคนติดยาที่ดูทรุดโทรมบ้าง? คุณอาจจะแปลกใจที่เห็นสาวๆรีบยกมือตอบ Yes! ด้วยความยินดี แม้ในยุคนั้น Kate Moss จะไม่มี Instagram account แต่เธอพุ่งสู่ตำแหน่ง trendsetter ทรงอิทธิพลน ประโยค "Nothing tastes as good as skinny feels" จากปากของ supermodel ผู้โด่งดังนั้นช่างฟังดูอื้อฉาวและน่าหมั่นไส้ แต่ผู้หญิงมากมายก็ยังรู้สึกอิจฉาและอยากจะผอมบางให้ได้เหมือนกับเธอ
Kate ถูกกล่าวหาว่า แสดงความเห็นชักจูงผู้คนให้คลั่งผอมจนอาจจเจ็บป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหาร แต่เธอไม่ได้ดูหวั่นไหวกับกระแสโจมตี อย่างไรก็ตาม วันเวลาที่หมุนเปลี่ยน ดูเหมือนว่า เธอจะไม่ได้ยึดติดว่า fashion จะต้องอยู่คู่กับความผอมอีกต่อไป
"ในตอนนี้มีความหลากหลายมากขึ้นในวงการ ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนเรามีไซส์และสีผิวและส่วนสูงอยู่มากมายหลายแบบ ทำไมจะต้องเลือกนางแบบแค่ไซส์เดียวมานำเสนอความหลากหลายของผู้คนเหล่านี้ด้วยล่ะ? แน่นอนว่า นี่เป็นแนวคิดที่ดีกว่าเดิม""
ยุคที่อิทเกิร์ลผอมบางกลายมาเป็นพาดหัวรายวันบนแทบลอยด์
สำหรับผู้คนที่อาศัยในAsia ย่อมคุ้นเคยกับ beauty standard ที่เชิดชูปความผอมเพรียว พวกเรามักจะได้เห็นชาวเน็ทฮือฮากับไอดอลที่มีรูปร่างที่ผอมไม่ต่างกับนางแบบ แต่เทรนด์จาก Hollywood ยุค 2000s ดูจะไปไกลเกินกว่านั้น เห็นได้ชัดจากบรรดาอิทเกิร์ลที่ปรากฏตัวด้วย fashion สุดเริ่ดพ่วงด้วยความผอมจนใบหน้าตอบและกระดูกซี่โครงโผล่ บางคนต้องคอยออกมาตอบคำถามสังคมว่าเหตุใดจึงผอมลงอย่างฮวบฮาบ และใช้คำอธิบายว่าพวกเธอมีรูปร่างผอมตามธรรมชาติ หรือไม่ก็ทำงานหนักจนไม่ได้ดูแลเรื่องโภชนาการดีพอ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป อิทเกิร์ลจากยุค 2000s บางคนก็ได้ออกมายอมรับว่า ต้องเผชิญกับความกดดันเรื่องความงามสมบูรณ์แบบจนหมกมุ่นกับการลดน้ำหนักให้ผอมบางจนละเลยกับการให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ
สาวร้อนแห่งวงการสร้าง shock factor ด้วยความผอม
ในปัจจุบัน การรักษาความโด่งดังเพื่อหลีกเลี่ยงสถานะ 'ขาลง' มักจะมาพร้อมกับแผนประชาสัมพันธ์ด้วย content ที่เปรี้ยงจนเป็น viral และการนำเสนอเอกลักษณ์จนดึงดูดผู้ติดตามบน social media หลายล้าน แต่สำหรับยุคของ MySpace ภาพถ่ายคนดังจากฝีมือ paparazzi มี effect สำคัญที่จะสร้างเสียงกล่าวขวัญไปได้อีกยาวๆ และเรื่องความผอมของเซเลบสาวแซ่บนั้นเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนได้อย่างล้นหลามจริงๆ
ช่วงที่ Lindsay Lohan สร้างปรากฏการณ์ความโด่งดังจนกลายเป็นนางเอกเนื้อหอมที่ชาวเน็ทเสพติดข่าวส่วนตัวของเธอจนหยุดติดตามไม่ได้ เรื่องน้ำหนักที่ลดฮวบในเวลาไม่นานคือประเด็นใหญ่ที่ใครๆก็พูดถึง บ้างก็ตั้งข้อสงสัยว่าเธอกำลังเข้าสู่วงจรยาเสพติด บ้างก็เชื่อว่า เพราะเธอหันมาสนิทกับ Nicole Richie อิมเกิร์ลตัวแม่แห่งยุค2000s เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องเทรนด์ความผอมบางเมื่อใด ภาพของ Nicoleก็จะลอยขึ้นมาทันที
ทั้ง Lindsay และ Nicole ต่างก็ถูกยิงคำถามเรื่องรูปร่างผอมจนกระดูกปูดโปน และพวกเธอก็ยืนกรานปฏิเสธเรื่องการป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหารเรื่อยมา แม้ Vanity Fair จะเคยเผยแพร่บทสัมภาษณ์ที่ชี้ว่า Lindsay วัย19 ได้ยอมรับเรื่องอาการ Bulimia (ด้วยประโยค I was making myself sick) และพูดถึงรูปลักษณ์ของตัวเองว่า
" บางทีความผอมถึงขนาดนี้ก็ไม่ได้ดูสุขภาพดีเท่าไร ฉันไม่ทันได้คิด ฉันรู้ตัวว่าตัวเองกำลังมีปัญหา พอมีคนมาถามว่า นี่ยังโอเคอยู่มั้ย ฉันก็เหวี่ยงใส่เลย แต่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ พอฉันได้เห็นภาพตัวเองตอนไปออกรายการ SNL แขนของฉันดูทุเรศมาก อย่างกับว่าแขนหายไปหมด"
แต่ในภายหลัง เธอยืนยันว่า นักข่าวได้บิดเบือนคำพูดของเธอเพื่อสื่อให้สังคมคิดว่าเธอล้วงคอตัวเองเพื่อความผอม ถึงเธอจะยอมรับเรื่องใช้ยาเสพติด แต่ไม่ได้ยอมรับเรื่องโรคปฏิเสธอาหารแต่อย่างใด ส่วนนิตยสารยืนยันว่า นักข่าวที่ทำงานร่วมกับ Lindsay นั้นมีความน่าเชื่อถืออย่างสูง ทุกสิ่งที่ถูกตีพิมพ์ออกไปมีหลักฐานเป็นเทปที่สามารถตรวจสอบได้
(ในอดีต Lindsay ตกเป็นข่าวฉาวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่องคำพูดที่กลับไปกลับมา และการไม่สามรถยอมรับปัญหาจนต้องโกหกออกสื่อ ภาพพจน์ที่เสียหายกลายมาเป็นอุปสรรคที่ยากจะหวนคืนสู่ Hollywood ซึ่งทุกวันนี้ เธอได้ปรับปรุงตัวเองจนได้กลับมาทำงานแสดงอีกครั้ง)
คนที่ยังทันกระแสฮือฮาเรื่องความผอมของ Lindsay อาจจะพอจำได้ว่า แม้แฟนๆจะเรียกร้องให้เธอกลับมามีส่วนเว้าส่วนโค้งที่เคยทำให้เธอดังเปรี้ยงจากสถานะ teen queen สุดแซ่บ แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ปลาบปลื้มกับลุคใหม่นี้ สำหรับในยุค 2000s เรื่องของ body positivity นั้นไม่ได้เป็นประเด็นที่ถูกจับมาพูดคุยกว้างขวาง สื่ออาจจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนด้วยการบรรยายว่า เธอผอมแห้งจนต้องช็อค แต่แฟนๆก็ยังพร่ำชมว่าเธอสวยเริ่ดและ chic จนน่าอิจฉา
Hilary Duff คืออดีต teen queen อีกคนที่ออกมายอมรับ รู้สึกอ่อนไหวกับ beauty image จนลุกขึ้นมาลดน้ำหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย
"ตอนที่ฉันอายุ 17 ฉันหนักแค่ 44 kg เท่านั้น ฉันเอาแต่หมกมุ่นกับอาหารที่เลือกหยิบใส่ปาก ฉันผอมเกินไป ดูไม่สวยเลย และร่างกายก็ไม่แข็งแรงด้วยค่ะ กลายเป็นคนไร้สุข ฉันเป็นตะคริวที่มือตลอดเพราะร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เอาแต่กดดันตัวเองเพราะปรารถนาจะเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง"
"เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉันต่างก็ผอมกันมากๆ แล้วคนก็มองว่าเป็นเรื่องปกติกัน มันหลุดโลกไปแล้ว ฉันไม่ควรเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่สภาวะปกติที่ฉันควรเป็น"
"ฉันไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้อยากผอมถึงขนาดนั้น แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันคอยแต่คิดถึงว่าคนอื่นจะพูดเกี่ยวกับตัวกันเรื่องอะไรบ้าง และฉันจะดูเป็นยังไงในภาพถ่าย ฉันจะไม่แตะต้องอาหารอย่างอื่นเลยนอกจากผักนึ่งหรือไก่ย่าง"
Hilary ผอมลงจนผิดหูผิดตาในช่วงที่เปิดตัวความสัมพันธ์กับหนุ่มร็อค Joel Madden พวกเค้าควงคู่โชว์ความหวานบนพรมแดง party สุดมันกับกับอิทเกิร์ลอย่าง Paris และ Nicole (ภรรยาคนปัจจุบันของ Joel) นั่งfront row ใน fashion week แต่Hilaryก็ได้ยอมรับในภายหลังว่า เธอต้องเครียดกับการคุมอาหารเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับกับภาพลักษณ์สุดเริ่ดของสาวผู้นำสมัยซึ่งมันไม่ใช่ตัวตนของเธอเลย
เส้นทาง body image ของ Victoria Beckham
ตลอดเส้นทางอาชีพคนบันเทิง Victoria Beckham ต้องเผชิญกับข่าวในแง่ลบเรื่องรูปร่างผอมบาง โดยเฉพาะยุค 2000s ที่เธอดูผอมกว่าปัจจุบันชัดเจน
พิธีกรรายการTV ชื่อดังยิงคำถามใส่เธอว่าป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหารหรือไม่ และสีหน้าของเธอก็สือถึงความยินดีที่ได้ยินคำถามนี้เลย
เมื่อไปสัมภาษณ์อีกรายการ ก็ถูกบีบให้ชั่งน้ำหนักต่อหน้ากล้อง และประกาศตัวเลขให้ทั่วประเทศได้รู้
แทบลอยด์โจมตีเรื่องรูปร่างของเธอไม่หยุดหย่อน ทั้งปล่อยข่าวว่า เพื่อความแล้ว เธอใช้วิธีเคี้ยวอาหารแล้วคายออก รวมถึงวิธีไดเอทแบบextreme
เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งใช้การ์ตูนล้อเลียนเธอว่าเป็น anorexic fashion icon เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาซื้อพิซซ่า
ทุกวันนี้ อาจไม่มีใครนึกถึง งLearning to Fly หนังสือชีวประวัติที่ Victoria ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังภาพของ popstar ที่ใครๆจับจ้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เนื้อหาที่สร้างเสียงกล่าวขวัญจากสื่อก็คือ การยอมรับเรื่องปัญหาความมั่นใจในรูปร่างหน้าตา ซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นมาจากการสร้างชื่อเสียงในฐานะ girl bandระรับโลก
เนื้อหาย่อๆคือ
- Geri ได้เป็นตัวตั้งตัวตีจูงใจให้สมาชิก Spice Girls ลดน้ำหนัก ทั้งตื่นเช้าไปจ็อกกิ้งและคุมอาหารด้วยการหลีกเลี่ยงสารปรุงแต่งและไขมัน รวมถึงตัวช่วยอย่าง milkshake ลดความอยากอาหาร
- เธอวิตกกังวลเรื่องรูปลักษณ์มากและเกลียดสิ่่งที่ได้เห็นจากเงาสะท้อนที่กระจก
- เธอเริ่มหมกมุ่นขึ้นเรื่อยๆ เวลาออกกำลังใน gymก็คอยเช็คขนาดบั้นท้ายและคางสองชั้นว่าจะลดไปบ้างหรือยัง ส่วนอาหารนั้น เธอจะเลือกกินแต่ผักกาดหอม และผักนึ่งชามเพื่อประทังความหิว ยามกินอาหารที่ร้านก็จะเมินเมนู และยืนกรานให้เชฟนึ่งผักมาให้เท่านั้น
- สถานการณ์แย่ลงไปเมื่อไปทัวร์ที่ญี่ปุ่น เพราะเธอยังไม่คุ้นเคยกับซูชิ และอาหารจานผักก็มีซ้อสราด เธอจึงตัดสินใจไม่กินอะไรเลย และรู้สึกมีกำลังใจเพราะได้เห็นตัวเลขตาชั่งลดฮวบ แต่เมื่อเดินทางกลับมาที่อังกฤษ แม่ของเธฮถึงกับร่ำไห้ที่เห็นว่าเธอผอมมาแค่ไหน และยืนกรานให้เธอไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ
- ผลตรวจชี้ว่า เธอมีปัญหาเรื่องฮอร์โมน ประจำเดือนขาดหาย สิวขึ้น แต่กว่าจะกลับมากินอาหารได้ตามปกติ ก็หลังจากที่พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ เพราะต้องรักษาสุขภาพเพื่อลูกในท้อง
- แต่เธอน้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็วหลังคลอด และผอมซะยิ่งกว่าช่วงแจ้งเกิด จนสื่อฉายาว่า Skeletal Spice
แม้ Victoriaจะได้ออกมาเปิดเผยเรื่องการพยายามปรับแนวคิดที่ยึดติดซึ่งเกิดมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง จนทุกวันนี้สามารถปล่อยวางได้แล้ว ทั้งยังเห็นความสำคัญที่จะเป้นตัวอย่างให้ลูกๆได้เห็นว่า แม่อินอาหารที่ต่อสุขภาพทุกมื่อ แต่สังคมก็ยังโจษจันเรื่องการคุมอาหารที่เคร่งครัด เชฟร้านดังก็เคยออกมาเล่าประสบการณ์ทำอาหารให้กับคุณนาย Beckham ว่า เธอจะยอมกินเฉพาะปวยเล้งนึ่งโรยเกลือนิดๆเท่านั้น แม้แต่คุณสามีเองก็ยืนยันว่า ตลอด 25 ปี เขาแทบไม่เห็นเธอกินอย่างอื่นนอกจากปลาย่างและผักนึ่ง เธอไม่ได้ผอมมากเท่ากับที่ถูกโจมตีเจ็บๆในยุค 2000s ว่าดูเหมือนโครงกระดูก แต่เมื่อเอ่ยชื่อของ Victoria ยังไงก็เห็นภาพรูปร่างผอมบางมาก่อนอื่น
แต่ล่าสุดคอมเมนท์เรื่อง body image จาก Victoria ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง
VB 'การยึดติดกับรูปร่างผอมเป็นเรื่องเก่าเก็บไปแล้ว'
"การอยากจะผอมบางมากๆเนี่ยมันเป็นแนวคิดที่หัวโบราณค่ะ ผู้หญิงสมัยใหม่อยากดูมีสุขภาพดีและมีส่วนเว้าส่วนโค้ง พวกเธออยากจะมีหน้าอกหน้าใจและบั้นท้ายเต็มไม้เต็มมือ"
"มีผู้หญิงหุ่นอวบอิ่มเยอะแยะไปหมดที่ Miami และพวกเธอมาพร้อมกับความมาดมั่น พวกเธอนุ่งน้อยห่มน้อยเดินตามชายหาดและดูสวยปิ๊ง เผยเรือนร่างด้วยความมั่นใจ ฉันมองว่าทั้งทัศนคติและสไตล์ของพวกเธอนั้นแสดงถึงอิสระจากการปลดแอกตัวเองค่ะ"
นางเอกที่ถูกฝ่าย costume body shame แม้จะใส่เสื้อผ้าไซส์ 4
Coyote Ugly คือตำนานหนัง romanceจากยุค 2000s ที่ยังตราตรึงใจ โดยเฉพาะบ้านเราที่ยืมชื่อหนังมาใช้เรียกอาชีพ dancer สาว แฟนๆต่างประทับใจกับทีมนักแสดงหญิง แน่นอนว่าพวกเธอมีรูปร่างที่ดีงดูดใจไม่แพ้กับท่าเต้นสุดแซ่บ ไม่ได้ผอมบางเหมือนกับคนดังที่มักตกเป็นข่าว แต่คนที่เป็น target ของเทรนด์คลั่งผอมไม่ใช่กลุ่มสาวนักเต้น แต่เป็น Melanie Lynskey ที่รับบทเป็นเพื่อนซี้ของนางเอกต่างหาก
"มันบ้าบอมากค่ะ ฉันพยายามอดอาหารเท่าที่ทำได้แล้วตอนนั้นก็ใว่เสื้อผ้าไซส์ 4 เท่านั้น แต่ตอนลองชุด คนอท่นก็มารุมเอาชุดกระชับสัดส่งมาให้ฉันใส่ แล้วทำท่าผิดหวังสุดๆที่ได้เห็นว่าฉันดูเป็นยังไง คอสตูมดีไซน์เนอร์ถึงขนาดจิกว่า ไม่มีใครบอกมาก่อนเลยว่าจะเอาผู้หญิงอย่างเธอมาแสดงด้วย"
เธอยังเล่าว่า ช่่วงถ่ายทำก็ต้องเจ็บใจกับคำวิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตาและคอยได้ยินแต่เสียงจิกกัดว่า 'หล่อนไม่สวยเลย'
(เธอมาชี้แจงเพิ่มหลังจากเห็นว่าสื่อพร้อมใจชูประเด็น body-shaming ว่า ภายหลัง costume designer ใจร้ายรายนั้นลาออกจากหน้าที่ไป และผู้ที่มารับช่วงต่อนั้นดีกับเธอมาก)
หากเป็นอดีต ผู้คนคงไม่คาดคิดว่า สาวสวยชื่อดังระดับ superstar จะประกาศลั่นว่าถึงรูปร่างจะมีส่วนเกิน แต่ก็ขอมีความสุขกับตัวเองโดยไม่ต้องคอยกังวลแขม่วหน้าท้องหรือปิดบัง flaw อื่นๆอยู่ตลอดเวลา แต่ในปี 2022 แม้เรื่อง body-shaming จะยังปรากฏอยู่เกลื่อนไปหมด แต่ก็มีพลัง call out จากชาวเน็ทที่สนับสนุนการสร้างเสริมพลังใจเรื่อง self-acceptance และ body positivity รวมถึงสื่อที่ร่วมชักจูงให้สังคมหันมาเปิดใจรับเรื่องความงามที่หลากหลาย และสักวันหนึ่ง พวกเราอาจจะปลดปล่อยตัวเองจากความกดดันเรื่อง beauty standard และหันมาพัฒนาจากภายในไปสู่ภายนอกได้อย่างแท้จริง