มาแชร์ประสบการณ์ Thailand Only กันเถอะค่ะ

หลังจากที่ดู เดี่ยวไมโครโฟน8 เป็นรอบที่ 5 555+ ก็เลยคิดได้ว่า มีเหตุการณ์ตั้งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกะเราโดยที่เราไม่เคยสังเกตว่า มันเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะเราเห็นและทำกันเป็นเรื่องปกติ ก็เลยอยากจะชวนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาแชร์ประสบการณ์ที่เคยเจอกันนะคะ (ปล ไม่ขำหรอกจ้า แต่คิดถึงเหตุการณ์เหล่านี้ทีไร เราก็อดอมยิ้มไม่ได้ซะที)

เรื่องแรก เรามีน้องฝึกงานเป็นชาวอังกฤษ เราก็อยากสร้างความสนิทสนม (ปล น้องเขาหล่อ รวย น่ารัก อิอิ) เลยชวนน้องเขาไปทานพิซซ่าด้วยกัน ขนกันไป 7 คน พวกเรา 6 คนก็สั่งเลย พิซซ่าถาดใหญ่ขอบชีสไส้กรอก สลัดที่ตักซะพูนจานจนสามารถไปแข่งตักสลัดระดับโลก ขนมปังกระเทียม ไ่ก่ สปาเก๊ตตี้ ฯลฯ แล้วก็รวมหัวกันกินอย่างเมามัน ไม่ได้สำนึกอะไรเลย จนกระทั่งน้องเขาถามว่า ทำไมไม่ต่างคนต่็างสั่ง แล้วกินของใครของมัน พวกเราก็เลยได้อ้าปากค้างปล่อยให้สปาเกตตี้ไหลเป็นทาง พร้อมกะคิดในใจว่า พวกเราทำอะไรผิดไปเหรอ ที่บ้านเราก็สั่งด้วยกันกินด้วยกันแบบนี้กันมาตั้งนานแล้วนิหว่า

สรุปว่า มื้่อนั้นเราก็แชร์ค่าอาหารด้วยกันจ๊ะ แม้ว่าเราจะเกลียดขนมปังกระเทียมขนาดไหนก็ตาม แต่มาด้วยกันก็แชร์ด้วยกันทุกอย่างไม่ว่า จะกินรึไม่กิน จริงเปล่า น้องเขาก็จะจ่ายแค่พิซซ่าถาดกลางและสลัดที่เขาสั่งมา เราบอกว่า ไม่ต้องๆๆ พวกเราเป็นคนชวนเขามา เราก็ต้องเลี้ยง เขาก็ไม่เข้าใจ เขาบอกว่า ผมสั่งมากิน ผมก็ต้องจ่าย หลังจากที่ทะเลาะกันจนเหนื่อย น้องเขาก็ยอมให้พวกเราจ่าย และให้สัญญาว่า คราวหน้า เขาจะจ่ายส่วนของเขาเอง พวกเราก็เลยบอกว่า ได้เลยจ้า พร้อมกับคิดในใจว่า คราวหน้า พวกช้านจะไม่ชวนแกสุดหล่อมากินแล้ว เฮ้อออ

เรื่องที่ 2 เพื่อนๆ คงเคยเห็นปากกาที่ด้านนึงเป็นสีน้ำเงิน อีกด้านนึงเป็นสีแดง ใช่มั้ยคะ เราก็เอาปากกามาเขียนเป็นปกติ จนกระทั่งมีฝรั่งที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยคนนึงเดินเข้ามา แล้วส่งเสียงร้องด้วยความ amazing ประมาณว่า เนี่ยมานนวัตกรรมอะไรกานเนี่ย เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ช่างน่าอัศจรรย์ซะจิ๊งจริง เราก็ได้แต่คิดในใจว่า มันแปลกประหลาดตรงไหนหว่า ที่บ้านเรามีแบบ 4 สีด้วยน๊า สีแดง น้ำเงิน เขียว ดำ แล้วก้อมีแบบมีดินสอกดรวมกับปากกาด้วยง่า ถ้าเขาเห็น มิต้องชักกระแด๊วๆๆๆ น้ำตาไหลพรากเลยรึไงหว่า

เรื่องที่ 3 ที่ทำงานของเรามีพนักงานหลายคน เวลาเบิกของมาใช้ก็ต้องเขียนชื่อแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของลงไป เพื่อนๆเป็นเหมือนกันบ้างรึเปล่าคะ เราก็เขียนชื่อลงไปบนปากกา Whiteboard ด้วยปากกา Whiteboard อีกด้าม แต่เจ้ากรรม วันนั้นดันมีปากกา Whiteboard ของเราคนเดียวอยู่บนเคาน์เตอร์ ก็เลยมีฝรั่งร้องเสียงดังว่า OH my god เธอเขียนชื่อเธอลงไปได้ไงอ่ะ แล้วพยายามเอาปากกาพลิกไปพลิกมา เพื่อหาวิธีเอาปากกาด้ามนั้นเขียนลงไปบนด้ามปากกา

เฮ้ออออ ในโลกนี้มันมีปากกา Whiteboard ด้ามเดียวรึไงเนี่ย คิดได้ไงคะ คุณฝรั่งขา แปลกโน๊ะ เขาคิดยานอวกาศได้ แต่เรื่องแค่นี้กลับงง มึ้นตึ๊บ น่านซิ เลยมีเรื่องเล่าว่า นักบินอวกาศชาวอเมริกันไม่สามารถใช้ปากกาที่พกขึ้นไปได้ เพราะหมึกมันแห้ง ก็เลยคิดค้นวิธีที่จะทำให้ปากกาใช้ได้บนยานอวกาศ หมดงบไปหลายล้านดอลลาร์ แต่นักบินอวกาศชาวรัสเซีย เขาใช้ดินสอจ้า

จบแล้วจ้า ยาวหน่อยน๊า

Discussion (13)

จริงๆ แล้ว ตั้งใจจะตอบตั้งแต่วันเสาร์ แต่วันนั้น net เจ้ากรรม หลุดแล้วหลุดอีก มาแจมวันนี้จะมีใครอ่านมั้ยน้อ...

Thailand only ที่อยากจะแชร์ เท่าที่นึกออกตอนนี้ มี 4 เรื่อง (หลักๆ จะเกี่ยวกับการใช้ภาษา)

เรื่องที่ 1 : การใช้คำสรรพนามแทนตัวบุคคล เราสับสนที่สุด เช่น คำว่า “เขา/เค้า” ปกติใช้เรียกบุคคลที่ 3 (ผู้ที่กำลังพูดถึง ซึ่งไม่ใช่คู่สนทนา) เราก็เอามาเรียกเป็นบุคคลที่ 1 (ผู้ที่กำลังพูด คือ ตัวเราเอง) เฉยเลย ส่วนคำว่า “ตัวเอง” ซึ่งน่าจะหมายถึงการเรียกบุคคลที่ 1 (คือผู้ที่กำลังพูด) ดันหมายถึงบุคคลที่ 2 (คู่สนทนา) ซะงั้น ตัวอย่าง -> “ตัวเองทำอย่างนี้กะเค้าได้ไง เค้าไม่ชอบนะ”, คำว่า “เธอ” ซึ่งปกติเราใช้เรียกบุคคลที่สอง (คู่สนทนา) บางครั้งเราก็เอามาใช้บุคคลที่สาม (คนที่เราพูดถึง) ตัวอย่าง -> “ดูยัยดาวสิ เมื่อก่อนมาเกาะกลุ่มเราแจ พอได้แฟนเศรษฐีเข้าหน่อย เธอทำเป็นเชิด”, คำว่า “แก” ปกติเราใช้เรียกบุคคลที่สอง (คู่สนทนา) บางครั้งเราก็เอามาใช้บุคคลที่สาม (คนที่เราพูดถึง) อีกแหละ ตัวอย่าง -> “วันนี้นี้ไม่เห็นลุงสมบุญออกมารดน้ำต้นไม้เลยนะ ไม่รู้แกไม่สบายหรือเปล่า”, คำว่า “เรา” ซึ่งปกติใช้เรียกบุคคลที่หนึ่ง พหูพจน์ เรา (นี่ไงตัวอย่างที่ดีที่สุด) ก็เอามาเรียกบุคคลที่หนึ่งเอกพจน์ (คือตัวผู้พูดเอง) แถมบางทีเอามาเรียกบุคคลที่สอง (คนที่พูดด้วย) ได้อีกต่างหาก ตัวอย่าง -> ครูพูดกับนักเรียนว่า “อะไรกันสมชาย ครูยังไม่ทันสอนก็ออกอาการง่วงเหงาหาวนอนซะแล้ว เมื่อคืนดูบอลดึกล่ะสิเรา” เรื่องสรรพนามแทนบุคคลนี้ ในภาษาต่างประเทศไม่มี (เฉพาะพี่เองเรียน ๔ ภาษา แต่ถามเพื่อนที่เรียนหลายๆ ภาษา เค้าก็ว่าไม่มี) ทุกภาษา “ฉัน” คือ “ฉัน”, “เธอ” คือ “เธอ” ไม่มีมั่วอย่างนี้ เรื่องนี้ทำคนต่างชาติที่เรียนภาษาไทย มึนทุกคน

เรื่องที่ 2: การใช้คำว่า “ไป” กับ “มา” มาประกอบประโยคบอกสิ่งที่เพิ่งผ่านไป เพื่อนฝรั่ง (ที่เรียนภาษาไทย) เคยสงสัยว่า บางทีเค้าชวนเพื่อนคนไทยกินข้าว เพื่อนคนนั้นปฏิเสธ เหตุผลจริงๆ คือ เค้ากินข้าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฝรั่งเห็นว่า ตอบแค่ “กินแล้ว” ผู้ฟังก็สามารถเข้าใจได้ แต่ทำไมบางคนบอก “กินมาแล้ว” บางคนก็บอก “กินไปแล้ว” เพื่อสื่อสารในสิ่งเดียวกัน

เรื่องที่ 3 : การแผลงเสียงเพิ่มคำขึ้นมาอีกคำหนึ่ง (ซึ่งไม่มีความหมาย) เพื่อประกอบกับคำที่ตัวเองต้องการพูดจริงๆ ต่างชาติงงว่าเพิ่มมาทำไม เช่น “เก้าอ้งเก้าอี้”, “หนังสือหนังหา”, "ข้าวเขิ้วไม่เคยกินๆ แต่ขนมจุบจิบทั้งวัน"

เรื่องที่ 4 : อันนี้น่าจะเป็นเรื่องค่านิยม แต่มันสื่อออกมาทางภาษา เคยมีเพื่อนเป็นจนท.สถานทูตจีนเมื่อสักประมาณสิบกว่าปีก่อน เค้าเรียนภาษาไทยมา (จบมหาวิทยาลัย) ตอนนั้นเพลง “ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ” ของสามโทนกำลังดัง เผอิญมันมีช่วงนึงที่ร้องว่า “คิดเงินให้ได้ทอง คิดทองให้ได้เงิน ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ” เค้าก็บอก ทำไมเค้าอยากได้เงินแล้วเราอวยพรให้เค้าได้ทอง พอเค้าอยากได้ทอง เราอวยพรให้เค้าได้เงิน อย่างนี้ก็เท่ากับแช่งให้เค้าผิดหวังสิ ถือเป็นคำอวยพรได้ยังไง

น่าจะเป็น Thailand only ได้นะ

เรื่องพิซซ่า เราเคยเห็นฝรั่งสองคน นั่งโต๊ะเดียวกัน  แต่สั่งพิซซ่าถาดกลางกินคนละถาดอะ ของเค้าคงเป็นเรื่องปกติ แต่เรานี่เหวอเลย

Thailand Only ของเรา คงเป็นเรื่องห้องน้ำมั้งคะ
ตอนนั้น นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นมาที่บ้าน แล้วเค้าจะอาบน้ำ เค้าก็ถามว่าส่วนเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ไหน บ้านเราก็เป็นตึกแถวอะนะ ห้องน้ำเลยเล็ก ก็บอกเค้าไปว่า ที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากับที่อาบน้ำที่เดียวกัน นักเรียนญี่ปุ่นงงเลย

THAILAND ONLY live in TOKYOKA-RE @ Chamchuri Sq.

ตอนนั้นเราไปกินร้านtokyo kareที่จามสเเควร์กะเพื่อนค่ะ
เพื่อนสั่งราเมนไปแล้ว เเต่เรายังเลือกไม่ได้ก้เริ่มลนๆ
มองไปในเมนู เจอ
"ข้าวแกงกะหรี่ไข่กุ้ง" ในภาพก้เป็นรูปข้าวเเล้วมีไข่โปะ
บนไข่มีอะไรส้มๆเเล้วก้ราดน้ำแกงกะหรี่
เราก้แบบ อืมม อันนี้แหละตอบโจทย์ของชั้นสุดๆ(ชอบกินไข่กุ้งมากกก)
 

...............
ผ่านไปประมาณ10นาที
ราเมนของเพื่อนมา กลิ่นหอมยั่วต่อมหิว
หลังจากพนักงานลีลาอีกแป๊บนึง
ก้ค่อยๆเดินน เอาข้าวของเรามา
ไอ่เราก้มองจากมุมต่ำ เห็นเเค่ข้าวเเละไข่เหลืองๆ
พอเค้าเอาจานมาวางปุ๊บ

O_O !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

หน้ากลายเป็นแบบนี้กันหมดเลย
เพราะไอ่ส้มๆที่เห็นในเมนู
มันคือน้องกุ้ง ไม่ใช่ไข่กุ้ง
ตอนนั้นเฟลมากก เพราะโดนยั่วด้วยกลิ่นราเมนจนหิว
แต่ก้กินๆไปเหอะ ยกมาเเล้ว


คิดไปคิดมาเราเองก้ผิดด้วยแหละ
ไม่ยอมอ่านคำอธิบายภาษาอังกฤษที่เค้าเขียนไว้
เห็นส้มๆก็ไข่กุ้งเลย

เห้ออออออออ

ตอนกำลังรอx-ray กระเป๋าที่สนามบินขากลับจากมาเก๊า แถวยาวม๊ากกกกกกก แต่ละคนก็สัมพาระพะรุงพะรัง มีเจ๊จีนดูสาวๆหน่อยหิ้วกระเป๋าหลุยวิคตองและกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มากพร้อมสามีพยายามจะแทรกแถวตรงเราพอดี เราไม่ยอมเลยพยายามเบียดๆๆให้เจ๊และผัวออกไปจากแถว นังนี่ก็พยายามดันๆเข้ามาอีก

เราเลยพูดว่า If you are rich enough to buy LV,  why dont you get yourself a manner lesson. ประมาณว่า ถ้ารวยขนาดซื้อหลุยได้ ช่วยเอาเงินไปซื้อสมบัติผู้ดีมาอ่านด้วยนะ

เสียดายเจ๊แกคงฟังภาษาอังกฤษไม่ออกและมียามมาลากออกไป แต่คนที่ต่อแถวอยู่ได้ยินกันทั่วหน้า นี่แหละ Thailand only กำลังพัฒนาแต่ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบโว้ย

อยากจะแชร์ค่ะ
แต่ถามก่อน ถ้าเป็นเรื่องประสบการ์ณแย่ๆ ที่เขาว่าเมืองไทยได้ไหมค่ะ
ถ้าเรื่องนี้ (มีเยอะมาก) ด้วยตัวเองค่ะ เพราะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ