Makeup Master Class: เรื่องราวของ “แป้ง” (The Powder)
PuY~isme 30 28เรื่องราวของ “แป้ง” (The Powder) ผู้หญิงทุกคนรู้จัก “แป้ง” กันตั้งแต่สมัยที่เราเป็นเด็กทารก เลยก็ว่าได้ เพราะคุณแม่มักจะผลัดหน้า ทาก้นของเราด้วยแป้งกลิ่นหอมๆ นี้เสมอ ในหัวข้อนี้ปุ้ยจะพามารู้จักแป้ง แต่เป็นแป้งที่ใช้สำหรับแต่งหน้ากันโดยเฉพาะ โดยจะพูดถึงวัตถุประสงค์ คุณสมบัติ ประเภท และอุปกรณ์สำหรับการใช้งานด้วย |
What? ─ แป้ง (Makeup Powder) ในที่นี้หมายถึง แป้งเนื้อร่วนและละเอียดที่ไม่มีส่วนผสมของรองพื้น
มีวัตถุประสงค์การใช้งานเพื่อเซ็ทผิวหน้าหลังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ประเภทเนื้อ ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน
ให้ผิวหน้าอยู่ตัวซึ่่งกลไก คือ แป้งจะทำหน้าที่บล็อคให้พวกเนื้อครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทาลงบนผิวก่อนนั้นอยู่ ตัวยึดติดอยู่กับผิว
และไม่เคลื่อนหลุดออกไปจากผิวบริเวณนั้นๆ
ลักษณะ (Type) ของแป้งนั้น จะมี 2 ประเภท คือ
- แป้งฝุ่น (Loose Powder) เป็นแป้งที่มีลักษณะเป็นผงร่วนๆ ถูกบรรจุอยู่ในกระปุก
- แป้งอัดแข็ง (Pressed Powder) เป็นแป้งที่มีถูกบีบอีดแบบรรจุอยู่ในตลับแบนๆ
เนื้อผิว (Texture) ของแป้ง มี 3 แบบ ด้วยกัน ได้แก่
- แป้งที่มีเนื้อผิวแบบแม็ท (Matte Powder) เป็นแป้งที่มีส่วนผสมของเนื้อแป้งล้วนๆ
ซึ่งเมื่อนำมาทาลงบนผิวแล้วจะได้เทคเจอร์ของผิวแบบธรรมชาติ ที่จะเป็นเนื้อด้านๆ ไม่มีความมันวาว - แป้งที่มีเนื้อผิวแบบชิมเมอร์ (Shimmery Powder) เป็นแป้งที่มีส่วนผสมของไอเท็มที่มีประกายระยิบระยับ
ซึ่งทำให้ผิวดูสดใสและเปล่งประกาย เมื่อนำมาทาลงบนผิวแล้วจะทำให้ผิวดูสว่างขึ้น
และจะได้เทคเจอร์ของ ผิวที่ แวววาว โดยเฉพาะเมื่อผิวกระทบกับแสงจะเห็นเป็นประกายแวววาว สวยงามมากๆ - แป้ง ที่มีเนื้อผิวแบบบรอนเซอร์ (ฺBronzer Powder) เป็นแป้งที่มีสีเข้ม หรือสีธรรมชาติที่มีส่วนผสมของไอเท็มประกายระยิบระยับที่มีสีน้ำตาล ทอง หรือส้ม เมื่อนำมาทาลงบนผิวแล้วจะทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น และมีสีสันเป็นสีอมแดด
เฉดสี (Color) ของแป้งนั้น จะมี 2 ชนิด คือ
- แป้งที่มีสีโปรงแสง (Translucent Powder)
เป็นแป้งที่มีเนื้อร่วนและมีน้ำหนักของเม็ดแป้งพิกเมนท์ที่ค่อน ข้างบางเบา มากเป็นพิเศษ
ส่วน ใหญ่จะเห็นเป็นสีเบจ (Beige) หรือสีขาว แป้งชนิดนี้ใช้เพื่อเซ็ทผิวในลักษณะที่ให้ความเป็นธรรมชาติของพื้นผิว (Texture) และเนื้อแป้งที่โปรงแสงจะทำให้เรายังเก็บความดั้งเดิมของสีผิวหลังจากที่เรา ลงรองพื้นและพวกไอเท็มเนื้อครีมในขั้นตอนก่อนหน้านี้ไว้ได้ ดังนั้นแป้งชนิดนี้จึงเหมาะกับคนที่ชอบความเป็นธรรมชาติของสีผิวและเทคเจอร์ รวมทั้งคนที่ไม่สามารถหาสีของแป้งที่ตรงกับผิวได้พอดี - แป้งที่มีสีตรงกับโทนสีผิว (Skin-tone Powder)
เป็นแป้งที่มีหลากหลายเฉดตั้งแต่อ่อนถึงเข้ม และมีน้ำหนักของเม็ดหรือพิกเมนท์ที่มากน้อยตามแต่ละยี่ห้อ
การ ใช้งานนอกจากใช้เพื่อเซ็ทผิวตามวัตถุประสงค์แล้ว บางคนอาจจะใช้แป้งชนิดนี้ในแง่ของการปรับเทคเจอร์ของผิวให้เนียนเรียบมาก ขึ้น ซึ่งจะใช้ปริมาณแป้งค่อนข้างมาก จึงใช้แป้งชนิดโปรงแสงไม่ได้ เพราะจะทำให้สีผิวนั้นดูสว่างมากจนเกินไป เช่น การแต่งหน้าสำหรับการแสดงละคร โทรศัศน์ บนเวที หรือการสร้างเทคเจอร์ของผิวที่ไม่ต้งอการให้ผิวมีมิติมากเกินไป เมื่อแสงไฟแรงๆ มาตกกระทบ ดังนั้นจะเห็นว่าการใช้งานตามวัตุประสงค์นี้จะทำให้ผิวขาดความเป็นธรรมชาติ ไป ถ้าหากต้องการให้เทคเจอร์ของผิวดูเป็นธรรมชาติ ควรจะใช้แป้งชนิดนี้ในปริาณที่พอเหมาะเท่านั้น
การเลือกแป้งควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานทั้งสี ชนิด เทคเจอร์และความเหมาะสมในการใช้งาน
Where? ─ ควรใช้ แป้งแบบไหนในบริเวณไหนบ้าง
การทาแป้งนั้น สามารถใช้ทาได้ทั่วทั้งใบหน้า เพียงแต่จะมีข้อควรสังเกตอยู่บางประการ เช่น
แป้งที่มีเนื้อแบบซิมเมอร์นั้นจะทำให้ผิวมีความมันวาว และ ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น ดังนั้น ควรทาเฉพาะบริเวณส่วนกลางของใบหน้า
ไม่ควรทาไม่ควรจะใช้ในปริมาณที่เยอะจนเกินไป และไม่จำเป็นต้องทาทั่วทั้งใบหน้า
เช่น คนที่มีใบหน้ากว้างอยู่แล้วยิ่งจะทำให้ใบหน้าดูกว้างขึ้น และสำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน ก็ควรระวังในการทาบริเวณ T-Zone
แป้งที่มีเนื้อเป็นบรอนเซอร์ที่มีสีเข้ม ควรทาเฉาพบริเวณโหนกแก้ม หรือพวงแก้ม ไม่ควรทาทั่วทั้งใบหน้า
เพราะอาจจะทำให้ให้ใบหน้าของเราดูมีสีเข้มมากจนเกินไป เป็นต้น
When? ─ ควรใช้แป้งในขั้นตอนไหน
โดยส่วนใหญ่แล้ว จะใช้ใน 2 ขั้นตอน ได้แก่
1. เซ็ตผิวขั้นตอนหลังลงรองพื้น (Setting) เพื่อเซ็ทพวกรองพื้นและผลิตภัณฑ์เนื้อครีมให้อยู่ตัว
2. เซ็ตผิวเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการแต่งหน้า (Finishing) เพื่อลดความมันของผิวที่เกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนอื่นๆ ของการแต่งหน้า
การ ใช้แป้งเราอาจจะใช้มากกว่า 1 ประเภทก็ได้ แล้วแต่ความต้องการ โดยประเภทไหนใช้ก่อนหลังนั้น ให้ดูจากเทคเจอร์ที่ต้องการให้เป็นผลลัพธ์
การเรียงลำดับในการใช้งาน ให้ลองสังเกตจากลักษณะ เนื้อผิวของผลิตภัณฑ์ และพื้นที่ของใบหน้าดังนี้
ลักษณะ ~~ เลือกใช้ประเภทที่ี่ใช้พวกแปรงฝุ่นก่อน แล้วค่อยตามด้วยประเภทที่เป็นแป้งอัดแข็ง
เนื้อผิวของผลิตภัณฑ์ ~~ เลือกใช้แบบที่เป็นเนื้อแม็ตก่อน แล้วเนื้อชิมเมอร์ ในกรณีที่ต้องการให้ผิวดูแวววาว
ในทางตรงกันข้ามเลือกใช้แบบที่ เป็นเนื้อ แม็ตทีหลัง ในกรณีที่ต้องการคืนความธรรมชาติให้ผิว
หรือต้องการลดความแวววาวให้น้อยลง
พื้นที่ ~~ เลือกทาในบริเวณที่กว้างก่อน แล้วจึงทาเฉพาะจุด
เช่น ใช้แป้งเนื้อแม็ตที่ทาทั่วใบหน้าทาลงไปก่อน แล้วจึงใช้แป้งเนื้อชิมเมอร์ในบริเวณช่วงแก้ม เป็นต้น
Why? ─ ทำไมต้องใช้แป้ง
หลายคนมักเข้าใจผิวว่า แป้งมีเอาไว้เพื่อปกปิดผิว ซึ่งความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้องซะทีเดียว
เพราะว่า หากเราต้องการปกปิดผิว เราควรใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทรองพื้นและคอนซีลเลอร์
ซึ่งก็มีประเภทที่เป็นแป้ง เพื่อช่วยให้ง่ายสำหรับการใช้งาน เรียกว่าแป้งทูเวย์หรือแป้งผสมรองพื้นนั่นเอง
แต่ ในความเป็นจริงแล้วนั้น แป้งมีไว้เพื่อช่วยเซ็ทผิวของเราให้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เราใช้แต่งลงไปบนผิวหน้านั้นติดทนและอยู่ตัว ซึ่งจำเป็นสำหรับเราที่อยู่ในสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งผิวจะผลิตน้ำมันออกมาตลอดทั้งวัน แต่ถ้าเราอยู่ในประเทศที่อากาศแห้งและเย็น ในั้นตอนนี้อาจจะยกเว้นได้ค่ะ
อุปกรณ์และเทคนิคสำหรับการทาแป้ง (Makeup Powder Tools and Application)
พัฟสำหรับทาแป้ง ใช้เพื่อเซ็ทผิวให้ได้พื้นผิวที่แน่นและช่วยดูซับความมันของน้ำมันบนของผิว หน้าได้ดี
Selection: ควรเลือกพัฟที่มีพื้นผิวเป็นขนแบบสั้นๆ และมีความยาวของขนพัฟที่สม่ำเสมอเพื่อช่วยให้ลงแป้งได้เนียน และมีฟองน้ำหนานุ่มบรรจุอยู่ภายในเพื่อลดน้ำหนักจากแรงกด ทำให้ได้แป้งที่ไม่เยอะจนเกินไป
Application Motion:
ใช้กด (Dap) สำหรับช่วยบีบอีดให้แป้งให้ยึดติดผิวและเซ็ทได้ดียิ่งขึ้น
Dense/Coverage: ให้ความหนาของปริมาณเนื้อแผ้งบนผิวในระดับปานกลางถึงมาก
เป็นแปรงขนสัตว์รูปพัด ใช้เพื่อขจัดแป้งส่วนเกินที่อยู่บนผิว หรือใช้ปัดแป้งในปริมาณที่น้อยและบางเบา
Selection: ควรเลือกแปรงที่ขนบางและเบา และมีความโปร่งของเส้นขนแปรง ทำให้ใช้ปัดแป้งได้ดี และไม่เหลือคราบตกค้างที่ผิวหน้า
Application Motion: ใช้ปัดแป้งลงที่ผิวหน้าหรือขจัดแป้งส่วนเกินออก ใช้งานโดยการลากในแนวเส้นตรง (Linear Motion) เป็นทิศทางเดียวกับเส้นขน คือ จากกลางใบหน้าออกสู่ด้านนอก และจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง
Dense/Coverage: ให้ความหนาของปริมาณเนื้อแผ้งบนผิวในระดับบางเบา
เป็นแปรงขนสัตว์รูปโดมกลมๆ ใหญ่ๆ ใช้เพื่อปัดแป้งลงบนผิว
Selection: ควรเลือกแปรงที่มีขนาดใหญ่ ขนนุ่มและเบามากๆ ทำให้ใช้ปัดแป้งได้ในปริมาณที่บางเบาและเรียบเนียน
Application Motion: ใช้งานโดยการลากในแนวเส้นตรง (Linear Motion) เป็นทิศทางเดียวกับเส้นขน คือ จากกลางใบหน้าออกสู่ด้านนอก และจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง หรือจะใช้การปัดหมุนเป็นวงกลม(Circular Motion) ให้ทั่วผิวหน้าก็ได้ ซึ่งทิศทาง คือ ด้านขวาปัดในทิศหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนด้านซ้ายปัดในทิศทวนเข็มนาฬิกา
Dense/Coverage: ให้ความหนาของปริมาณเนื้อแผ้งบนผิวในระดับบางเบาถึงปาน กลาง
เป็นแปรงขนสัตว์รูปโดมกลมๆ ใหญ่ๆ บานๆ
และมีด้านจับแบบสั้นๆ ใช้เพื่อปัดแป้งลงบนผิว
Selection:
ควรเลือกแปรงที่ขนนุ่มมากๆ ทำให้ใช้ปัดแป้งได้ในปริมาณที่บางเบาและเรียบเนียน
Application Motion: ใช้งานโดยแตะแป้งลงที่ผิวก่อน แล้วจึงใช้การปัดหมุนเป็นวงกลม(Circular Motion) ให้ทั่วผิวหน้าก็ได้ ซึ่งทิศทาง คือ
ด้านขวาปัดในทิศหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนด้านซ้ายปัดในทิศทวนเข็มนาฬิกา
Dense/Coverage: ให้ความหนาของปริมาณเนื้อแผ้งบนผิวในระดับบางเบา
เป็นแปรงขนสัตว์ ที่มีขนด้านบนเป็นหน้าตัด ใช้เพื่อปัดแป้งลงบนผิว
Selection: เลือกแปรงที่ที่มีขนาดพอดีไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป ขนแปรงเป็นขนสัตว์ที่มีความหยาบพอที่จะเก็บแป้งได้ดี แต่ยังคงมีความนุ่มไว้ในระดับที่ไม่ระคายเคืองผิวหน้า
Application Motion: ใช้แปรงแตะแป้งให้แป้งติดทั่วหน้าติดของแปรง แล้วจึงนำมาแตะให้กระจายทั่วใบหน้า หลังจากนั้นก็ปัดหมุนเป็นวงกลมเล็กๆ (Circular Motion) ให้ทั่วผิวหน้า ซึ่งทิศทาง คือ ด้านขวาปัดในทิศหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนด้านซ้ายปัดในทิศทวนเข็มนาฬิกา
Dense/Coverage: ให้ความหนาของปริมาณเนื้อแผ้งบนผิวในระดับปานกลางถึงสูง
แม้ว่า แป้งจะเป็นไอเท็มที่สำคัญและอยู่คู่ผิวของเรามาตั้งแต่เด็กจนเป็นสาว
แต่การเลือกแป้งและใช้งานอย่างเหมาะสมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ละเลย ไม่ได้เลย นะคะ
หวังว่าเรื่องราวของแป้ง ในหัวข้อนี้จะให้ประโยชน์กับสาวๆ ทุกคน
หากใครมีข้อเสนอแนะหรือมีประสบการณ์ดีๆ อยากจะแบ่งปันกันเพิ่มเติม
หรือจะฝากคำถาม หรือแค่ชอบใจบทความดีๆ นี้ ก็สามารถแวะไปกด Like
และเยี่ยมเยียน พูดคุยกับปุ้ยได้ที่ Facebook Fan-page https://www.facebook.com/PuYisme
แถมคลิป Review แป้งแบรนด์ต่างๆ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทาแป้ง