hot hair color technique 2012 !!!
sushiboy69 35 18เบื่อผมสีเดียวกันรึยังครับ งวดนี้มารู้จักเทคนิคการทำสีดีกว่า เพราะการทำสีไม่ใช่แค่เลือกสีแล้วก็เสร็จ แต่การทำสีผมจริงๆ คือการออกแบบสี ทั้งการเลือกสีและตำแหน่ง เพื่อเสริมบุคลิค แล้วยังช่วยแก้ปัญหาบางอย่างได้ด้วยเชื่อมั๊ยครับ
ด้วยช่วงนี้เทรนด์สีผมดูจะหลากหลาย แหกกฏเกณฑ์ จัดจ้านเกินคน แต่ก็อยากให้เห็นอีกด้านว่าการใช้เทคนิคการทำสีไม่จำเป็นต้องดูโอเวอร์เสมอไป เทคนิคการทำสีเพื่อให้ผมยังดูคงความเป็นธรรมชาติก็ยังถูกใช้อยู่เรื่อยๆ มาดูกันดีกว่า
จริงๆ แล้วเทคนิคการทำสีผมมีเป็นร้อยเป็นพัน แต่งวดนี้ขอสรุปมาเป็น 4 แนวหลักๆ เพื่อให้แบ่งแยก และอธิบายช่างได้ง่ายขึ้น ได้แก่ balayage, sectioning, ombre และ dip dyed คร้าบ
Balayage เป็นเทคนิคการทำสีผมที่ใช้กันมานาน และได้รับความนิยมเสมอ เพราะให้ดูมีมิติอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยสีอย่างน้อย 2 สี โดยสีหลักจะไม่ต่างจากสีผมธรรมชาติของคนนั้นมากนัก ส่วนสีที่สลับจะต้องเป็นสีสว่างกว่าเล็กน้อย ทำสลับกันไปมาอย่างละเอียด โดยใช้เทคนิคการเพ้นท์ หรือเกี่ยวเส้นผมเป็นแถบบางๆ ทั้งศรีษะ ทำให้เมื่อสยายผมออกมาแล้วจะดูไม่แบนเหมือนการทำสีผมสีเดียว ผมดูหนา และดูนุ่มมากขึ้น นอกจากนี้การเลือกสีที่ยังใกล้เคียงกับธรรมชาติเดิม ทำให้เมื่อโคนผมงอกยาวออกมา จะหารอยตัดของการงอกได้ยากกว่าการทำสีสว่างทั้งศรีษะจ้า
Sectioning เทคนิคการทำไฮไลท์แบบช่อใหญ่ หรือจะแบ่งครึ่งหัวเลยก็ได้ จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติ หรือดูชัดเจนขึ้นอยู่กับคู่สีที่เลือก และการจับช่อผมของช่าง ส่วนใหญ่จะใช้เทคนิคนี้เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้ทรงผม และแก้ไขรูปหน้า ถือว่าช่างต้องมีประสบการณ์พอสมควร เพราะต้องมองทรง และสี รวมถึงผลลัพท์ได้อย่างแม่นยำด้วยครับ
Ombre แปลคำนี้ได้ว่า 'แรเงา'/ นิยมมากในหมู่เซเลปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มักใช้กับการทำสีโทนธรรมชาติ โดยจะทำสีเข้มที่ช่วงโคนไล่ไปยังสีสว่างช่วงปลายผม ผลลัพท์คือปลายผมดูนุ่ม และการที่คงความเข้มไว้รอบกรอบหน้าทำให้หน้าดูไม่ซีดเหมือนทำสีสว่างทั้งหัวด้วย นอกจากนี้ด้วยสีที่โคนส่วนใหญ่จะเข้ม ดังนั้นไม่เติมโคนก็ไม่น่าเกลียดจ้า
Dip dyed ง่ายๆ เลยคือเหมือนเอาผมไปจุ่มถังสี ขอบของสีจะตัดเป็นแนวนอนชัดเจน มักเล่นสีฉูดฉาด หรือสีพาสเทล ซึ่งส่วนใหญ่ต้องมีการฟอกผมด้วย ดังนั้น การดูแลสุขภาพผมสำคัญมาก ไม่งั้นนอกจากผมจะแห้งเสียแล้ว สียังหลุดเร็วอีกด้วยจ้า
. . . . .
สรุปอีกครั้งว่า Balayage และ Ombre จะค่อนข้างดูเป็น natural look แต่ให้ลุกส์ที่ต่างกันที่เล่นไฮไลท์บางๆ ทั้งหัว หรือทำสีไล่โคนสู่ปลายสว่าง ส่วน Sectioning สามารถทำให้ดูเป็นธรรมชาติ หรือเปรี้ยวหลุดโลก แล้วแต่ช่างและลูกค้าจะจัดไป สุดท้ายที่แซ่บกันทั่วบ้านทั่วเมืองตอนนี้ก็ Dip dyed ขอเรียกว่า 'จิ้มจุ่ม' ณ ที่นี้แล้วกันจ้า
สำหรับผมสั้นไม่ต้องน้อยใจไปที่ทำ Ombre หรือ Dip dyed ไม่ได้ แต่สำหรับเทคนิค Balayage และ Sectioning นี่ยังจัดได้เต็มตามความสามารถช่างเลย
สุดท้ายนี้จะทำสีอะไร เทคนิคไหน แนะนำให้ปรักษาช่างที่ไว้ใจได้เท่านั้น จะได้ไม่พลาด และอย่าลืมใช้แชมพูรักษาสี และบำรุงผมเป็นประจำเพื่อให้สีอยู่คงทนยาวนาน ด้วยความปรารถนาจากร้าน salon de bear จ้า :)