รีวิว La Mer แทบทุกอย่างที่ได้ใช้ (ภาค 2)
chefkk 25 23UPDATE คือว่าพอดีทาง Jeban ได้แชร์โพสท์เราไป และหลายคอมเมนท์กันมากก็เลยขออธิบายบางคำถามนิดนึงนะคะข้อแรกเลย จขกท. ไม่ได้เป็น BA La Mer ค่าา แต่ก็อยากเป็นนะ จะได้เทสต์ครีมทั้งวันเลย55555 เราเป็นคนทำขนมขายค่ะ ก็เปิดร้านขนมเค้กเล็ก ๆ ไม่ได้ร่ำรวยอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ต้องการอวดรวยค่ะ แค่เป็นคนชอบเครื่องสำอางคนนึง เหมือนเพื่อน ๆ ทุกคนในนี้เนอะ ^^ เมื่อก่อนก็อ่านรีวิวของคนอื่นตลอด แล้วก็แค่รู้สึกอยากลองเขียนบ้างแค่นั้นเองค่ะส่วนว่าทำไมไม่ลงรูปหน้าตัวเอง ก็เป็นเหตุผลส่วนตัว เราไม่ได้ต้องการเปิดเผยหน้าตัวเองส่วนนึงคือเป็นคนขี้อายด้วยค่ะ แต่ก็เข้าใจว่ากระทู้ที่มีคุณภาพ คือกระทู้ที่ครบถ้วนเห็นภาพชัดเจนเราคงไม่เหมาะกับการมาตั้งกระทู้แน่ๆ ก็ถือว่าดูผ่าน ๆ กันนะคะให้พอมีข้อมูลบ้างแต่ไม่ต้องเชื่ออะไรเรามากก็ได้ค่าาเพราะเราเองก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเชิงลึกทางด้านนี้ท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ รวมถึง jeban ด้วยค่ะ ^^
สวัสดีค่าา วันนี้ขอมารีวิวต่อภาค 2 กับเจ้า La Mer ในครอบครองของเรานะคะ หลังจากที่ภาคแรก ทำไปได้แค่ครึ่งทางหมดแรงซะก่อน 5555 ใครที่อยากอ่านภาคแรก กดลิงค์ได้เลย
https://www.jeban.com/viewtopic.php?t=226396
ไม่พูดมาก เริ่มเลยละกันนะคะ
ตัวนี้เป็นมาส์กที่มาในกระปุกแก้วอันหนักอื้ง ปริมาณน้อยนิด 50 mL แต่ก็น่าจะใช้ได้นานอยู่ มาพร้อมแปรงสำหรับทา ขนแปรงเป็นพลาสติกอ่อนนุ่ม ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ เพราะไงก็ต้องเอามือมานวด ๆ หน้าอยู่ดี ส่วนครีมเราก็เอาไม้พายพลาสติกจากครีมลาแมร์ตัวอื่นมาตัก แบบว่าขี้เกียจเอาแปรงไปล้าง - v -
สำหรับมาส์กตัวนี้แบรนด์เคลมว่าช่วยยกกระชับและทำให้ผิวเรียบเนียน เราเห็นเค้าได้รางวัลนู่นนี่ ก็เลยลองซื้อมาใช้ ปรากฏว่าความรู้สึกแทบไม่แตกต่างกับมาส์กอีกรุ่นที่เราได้รีวิวไปแล้ว (The Intensive Revitalizing Mask) ดังนั้นสามารถเลือกใช้ตัวใดตัวนึงก็พอ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากก็คือ หน้าจะนุ่มเนียนสุด ๆ แบบว่านุ่มจนต้องขอจับ ๆ ผิวตัวเองตลอดเลย แต่เรื่องยกกระชับเราว่าเค้าทำไม่ได้หรอก ครีมไหน ๆ ก็ทำไมได้ ในความคิดเรานะ ต้องไปทาง cosmetic surgery ดีกว่า
สำหรับการวิธีใช้ ก็ใช้วันเว้นวัน มาส์กทิ้งไว้ 8-10 นาที ไม่ต้องล้างออก แล้วตามด้วยครีมต่อเลยข้อสรุป ถ้าหมด คงไม่ซื้อต่อ เพราะแพคเกจใช้งานยากพกพาลำบาก คงไปซื้อรุ่นหลอด Intensive Revitalizing Mask แทน เพราะในความรู้สึกจากการใช้คือได้ผลลัพธ์เรื่องหน้านุ่ม เรียบเนียน เหมือนกัน แต่แบบหลอดปริมาณเยอะกว่าหน่อยนึงและราคาถูกกว่า แต่ก็ไม่แน่ว่าบางทีด้วยสภาพผิวแบบเราอาจจะยังไม่มีความต้องการการยกกระชับเท่าไหร่ ถ้าคนที่อายุมากกว่านี้อาจเห็นผลก็ได้ค่ะ
ออยล์ทำความสะอาดผิว ล้างเครื่องสำอาง มีส่วนผสมของแร่ธาตุจากทะเลตามสไตล์ของแบรนด์และแร่ทูมาลีน ใช้นวดหน้าตอนที่แห้งแล้วค่อย ๆ พรมน้ำจนสะอาด เวลาใช้ต้องเขย่าขวดก่อนเพราะมันจะมีส่วนผสมกลิตเตอร์มุก ๆ อะไรสักอย่างนอนก้นอยู่ แต่เวลาใช้ผงมุกมันจะหายไปเลยนะ คือไม่มีมาวิ้ง ๆ อะไรบนหน้าเลย กลิ่นประหลาด ๆ ออกจะเหม็นน้ำมันหืน ๆ เป็นอย่างเดียวในขวดนี้เลยที่เราไม่ปลื้ม แต่เราจะใช้แทนเจลล้างหน้าตอนที่รู้สึกว่าหน้าแห้งมาก ๆ ใช้เสร็จหน้านุ่มมมม สุด ๆ และไม่มีอุดตันเลย อีกเรื่องนึงก็คือทำไมถึงออกแบบมาให้ไม่มีฝาปิด งงมาก แต่เราไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่กับจุดนี้ แค่รู้สึกเหมือนมันขาด ๆ อะไรไปสักอย่าง
ข้อสรุป ชอบ ทำความสะอาดได้ดี ทำให้หน้านุ่มและไม่อุดตัน ขอตัดคะแนนเรื่องกลิ่นที่ไม่โอเคเลย เหมือนไม่แต่งกลิ่นใด ๆ ทั้งสิ้นและเป็นน้ำมัน เลยหืน ๆ คิดว่าคงไม่มีทางใช้หมดในชาตินี้ เลยไม่รู้จะซื้อต่อหรือเปล่า 55555
ตอนแรกได้ tester ตัวนี้มา ใช้แล้วรู้สึกโอเค ก็เลยไปซื้อขนาดจริง แต่แปลกใจมากที่อยู่ดี ๆ เกิดอุดตัน เป็นสิวขึ้นมาซะงั้น ก็เลยลองเทสต์อยู่หลายครั้งจนมั่นใจว่ามาจากหลอดนี้จริง ๆ เสียดายมาก เพราะอ่านรีวิวจากหลายท่ีที่ออกมาเป็น positive ดังนั้นเราเลยหยุดใช้ ลักษณะเซรั่มเป็นเนื้อเจลใส ๆ กลิ่นแปลก ๆ เหมือนกลิ่นหมัก ๆ แต่ไม่ถึงกับเหม็นสิ่งที่เราสังเกตได้ตอนใช้คือพอรอให้มันซึมลงผิวสักพัก มันจะเหมือนเป็นกาว ๆ คือถ้าเราเอานิ้วไปถู ๆ ตามหน้าหน่อยจะเป็นขุย ๆ ออกมา ทำให้เราคิดว่ามันต้องมีสารอะไรสักอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่าหน้าเราตึงกระชับ ซึ่งอันนี้แหละที่อาจทำให้เกิดการอุดตันหรือแพ้ ในเคสผิว sensitive แบบเรา ข้อสรุปของตัวนี้คือ หยุดใช้ไปก่อน รออีกสักพัก จะลองกลับมาใช้อีกที เพราะเสียดายเงินจัง
เป็นเซรั่มในตระกูล Blanc de La Mer (ตระกูลเสริมความกระจ่างใส) เราจะใช้ตอนเช้าสลับไปมาระหว่าง La Mer กับ Sulwhasoo Snowise Serum ส่วนตัวแล้วชอบ La Mer มากกว่าตรงที่เซรั่มให้ผลลัพธ์เรื่องความชุ่มชื้นของผิวด้วย (จุดขายทุกตัวของลาแมร์คือใช้แล้วผิวนุ่มชุ่มชื้นเป็นพื้นฐาน)สำหรับตัวนีไม่ได้ช่วยเรื่องลดรอยกระ ฝ้า จุดด่างดำที่สะสมมานานเท่าไรนะคะ แต่จะช่วยภาพรวมของผิวทั้งหน้าให้ดูใส มีเลือดฝาด มีออร่าบอกไม่ถูก จะว่าไปก็คล้าย ๆ ผลลัพธ์จากการใช้ SK-II เนื้อเซรั่มซึมเร็ว ไม่รู้สึกเหนอะหนะ ข้อสรุป ค่อนข้างหนักใจ เพราะมีตัวที่เทียบเท่าได้คือ Sulwhasoo Snowise แต่ราคาถูกกว่ากันกว่าครึ่งแต่คนที่หวังผลเรื่องความชุ่มชื้น เรียบเนียนด้วย อาจจะซื้อตัวนี้ไปเลยตัวเดียวจบ
ครีมกันแดดที่แพงสุด ๆ แต่เราชอบนะ เพราะเนื้อสัมผัสบางเบาไม่หนักหน้าเลย และให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ด้วย เหมือนได้ทั้งกันแดดทั้งบำรุง วันไหนขี้เกียจเราก็ข้ามขั้นตอนมอยส์เจอร์ไปเลย แล้วใช้กันแดดอย่างเดียว กลิ่นก็โอเคไม่เหม็นแบบครีมกันแดดทั่วไปและไม่ไปรบกวน makeup ด้วย ข้อสรุป ถ้าหมด ซื้อต่อแน่นอนค่ะ ติดใจความเบาสบายผิว และกลิ่นที่ไม่แรงแต่ก็ไม่ได้ใส่น้ำหอมเยอะ
บางครั้ง ความคันของคนเรามันก็หาเรื่องซื้ออะไรที่ซ้ำไลน์กันไปมาจนได้ อย่างกลุ่ม moisturizer ของลาแมร์นี้เองที่เราเริ่มใช้ตัวออริจินัลของเค้า คือ creme de la mer ซึ่งก็ชอบมากแล้วนะ ทีนี้พอใช้ไปได้เกือบหมดกระปุก เราก็อยากลองเปลี่ยนบ้าง บวกกับเป็นคนชอบ texture ที่เป็นเจล ๆ รู้สึกสบายผิวดี ก็เลยลองซื้อดูปรากฏว่า ชอบค่ะ คือเจลมีความใช้งานง่าย ไม่ต้องวอร์ม สบายผิวมาก และความรู้สึกสุดท้ายตอนที่ครีมซึมลงผิวหมดแล้วคือเหมือนผิวได้รับการพรมละอองน้ำเล็ก ๆ เหมือนกับตัว creme de la mer เลย ตอนนี้เลยหันมาใช้เจลอยู่บ่อย ๆ (แทนที่จะใช้ให้หมดไปทีละอย่าง -_-)
แต่เรามีความรู้สึกต่อเจ้าเจลนี้ ว่ามันคล้ายๆ กับ Hada Labo รุ่นกระปุกสีทอง และก็ Shiseido Aqualabel อยู่พอควร ต่างกันตรงที่ลาแมร์ ความรู้สึกหลังใช้ จะมีความรู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้นอยู่มีละอองน้ำปกคลุมผิวหน้าอยู่ แต่อีกสองตัว พอซึมลงผิวปุ๊บหน้าจะเริ่มกลับมาแห้งอีกในเวลาไม่นาน
คิดไปคิดมาก็พลันมีมวยอีกคู่มาให้เปรียบเทียบ นั่นก็คือ Biotherm Aquasource Everplump ซึ่งจริง ๆ ก็มีอีกตัว คือ Kiehl's Hydroplump แต่คีลส์นี่เราใช้แล้วอุดตัน เลยเก็บเข้ากรุ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ คือจะมีความเป็นครีมน้ำแตก ใช้แล้วเหมือนหน้ามีละอองน้ำชุ่มชื่นปกคลุมถ้าให้เปรียบเทียบว่าใครใกล้เคียง Gel de la Mer สุด เราขอยกให้ Biotherm Everplump ค่ะ เพียงแต่ความรู้สึกว่ามีละอองน้ำแตกตัว จะต่างกันตรง La Mer จะรู้สึกหลังจากครีมซึมลงหน้าหมดแล้ว ส่วน Biotherm จะรู้สึกทันทีที่ลงครีมลงบนผิวหน้าแต่เราติดปัญหากับ Biotherm Everplump คือกลิ่นน้ำหอมที่แรงมากเกินไป ใช้แล้วรบกวนโสตประสาทตอนนี้เลยเลิกใช้ไปแล้ว ยกให้แฟนไปค่ะ นางบอกนางชอบมาก ถ้าใครไม่มีปัญหากับกลิ่นน้ำหอม Biotherm ให้ผลลัพธ์ที่ดีพอ ๆ กับ La Mer เลยค่ะขอบอก
ตอนนี้ Gel de La Mer ได้ขึ้นแท่นเป็นลูกรักเบอร์ 1 ของเราไปแล้ว เบียดแซง Creme de la mer ไปแบบเฉียดฉิว ให้คะแนนนำตรงที่ไม่เสียเวลาวอร์มครีม ความรู้สึกเย็น ๆ เด้งดึ๋ง ๆ เวลาใช้ทำให้รู้สึกสนุก และผลลัพธ์ได้ผิวที่นุ่ม เนียน ชุ่มชื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูทรงแล้วเปลืองกว่า creme de la mer อยู่นะ ใช้แป๊บเดียวก็พร่องไปพอควรละ แต่เจ้าออริจินัลนี่ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมด
เดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้นะคะ ขอไปนอนก่อนค่าา เที่ยงคืนแล้วต้อง beauty sleep หน่อย ^^
ตัวนี้ ไม่ต้องพูดอะไรมาก ซื้อมาเพราะความคันล้วน ๆ -_- สรรพคุณ ผลการใช้ทุกอย่างเหมือนกับมอยส์เจอร์รุ่นอื่น ๆ ของลาแมร์เลยค่ะ แต่เนื้อสัมผัสรุ่นนี้ต่างตรงที่เป็นโลชั่นมาในขวดปั๊ม เราชอบที่พกพาง่ายดี (แต่ขวดแอบหนัก) เวลาจะใช้ก็แค่ปั๊มออกมา 1 ปั๊มสำหรับหน้า อีก 1 สำหรับคอ ทำให้สามารถกะปริมาณได้ง่ายขึ้นเราจะเลือกเค้าตอนที่รู้สึกว่าหน้าแห้งมาก ๆ เพราะในความรู้สึกเราเค้าจะชุ่มชื้นกว่าตัวครีม และเจลนะ ตอนที่เลือก เราเลือกระหว่าง soft lotion กับ soft cream รู้สึกว่าผิวสัมผัส ไม่แตกต่างกับ soft cream มากเท่าไร แค่เหลวกว่าหน่อยข้อสรุปสำหรับ La Mer Soft Lotion หมดแล้วจะซื้อต่อมั้ย คิดว่าไม่ค่ะ เพราะอย่างที่บอกแอบติดใจ เจลครีมเข้าซะแล้ว (เราผิวแห้งนะคะ แต่ใช้เจลครีมก็รู้สึกว่าเอาอยู่)
ช่วงนี้ได้ลองเพิ่ม Clarins Booster เข้าไปร่วมกับครีม โดยตอนเช้า เราจะใช้ Energy Booster 5 หยด ผสมรวมกับ เจลครีม หรือ ซอฟท์โลชั่นความรู้สึกหลังใช้ไปไม่กี่วัน รู้สึกหน้าดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าการใช้ครีมเดี่ยว ๆ นิดนึงค่ะ เลยอยากแนะนำ แต่เราสังเกตว่า ถ้าใช้ Clarins Booster ไม่ว่าจะเป็นสูตร Energy หรือ Repair (เราใช้ช่วงกลางคืน) จะทำให้หน้ามันขึ้นนะคะ ถ้าคนผิวแห้งไม่มีปัญหาแต่คนผิวมันต้องลองปรับดูอาจจะหยด booster น้อยลงกว่าที่แบรนด์แนะนำดูตัว Repair Booster (ขวดสีฟ้า) จะทำให้หน้ามันกว่าค่ะ ความรู้สึกเหมือน ๆ กับตัวฮิตDouble Serum ของเค้าเลยทีเดียว ปกติถ้าเราใช้ครีมลาแมร์ก่อนนอน ตื่นเช้ามาหน้าเราจะเนียนนุ่มแบบไม่มีความรู้สึกว่ามีครีมส่วนเกินที่ซึมลงไม่หมด แต่พอรวมพลังกับ Clarins Booster จะยังรู้สึกว่ามีครีมเคลือบ ๆ หน้าอยู่
ติดโผแฮนด์ครีมที่แพงที่สุดของเราค่ะ เข้าวินไปเลย เนื้อสัมผัสเข้มข้นมาก ๆ ทาแล้วมือชุ่มเนิ่นนานแบบที่ว่าไปหยิบจับอะไรก็ลื่นมือไปหมด (ซึ่งไม่ค่อยดี เราทำงานหาเช้ากินค่ำ 5555)กลิ่นหอมแป้ง ๆ แบบฉบับของแบรนด์ ได้กลิ่นก็ชื่นใจว่าเราได้สัมผัสใกล้ชิดมิราเคิ่ลแต่พกพาลำบาก เราคิดว่าแพคเกจ hand cream ที่ดีควรเป็นหลอดเล็ก ๆ (แบบ L'occitane น่ะใช่เลย) เพราะจะได้สามารถมาทาระหว่างวันได้ พกพาในกระเป๋าได้ซึ่งเราจะไม่ได้แค่ทาเฉพาะมือ แต่รวมถึงแขน ข้อศอกอะไรด้วยในตอนที่รู้สึกแห้ง ๆ ผิว(เป็นบ่อยมากเวลาเดินห้าง) พอหลอดใหญ่ จะพกใส่กระเป๋าใบน้อย ก็ลำบากตัวนี้ จะดีมากถ้าเอามาทำเป็นมาส์กมือ คือทาให้มือชุ่ม ๆ แล้วใส่ถุงมือพลาสติก แล้วทิ้งไว้หลาย ๆ ชั่วโมง ถ้าไม่รำคาญก็เข้านอนพร้อมกันไปเลย ตื่นมามือนุ่มชวนฝันข้อสรุป หมดแล้วไม่น่าจะซื้อต่อค่ะ เพราะเราให้ความสำคัญกับการพกพาที่สุดถ้าเป็น hand creamยกเว้นนางจะออกรุ่นหลอดเล็กมา เราก็จะซื้อค่ะ
โลชั่นทาตัว เราซื้อมาเพราะอยากหาอะไรมาแทนที่ La Mer Body Cream ที่ดีงามที่สุดในโลกแต่พกพาลำบาก ขนาดยังกับโอ่ง และก็ใช้งานลำบากต้องหาอะไรมาตัก ๆ กว่าจะทาทั่วตัวไม่ได้นอนแต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะโลชั่นขวดนี้ไม่ได้ดีงามเท่าเทียมเลย คือใช้แล้วก็งั้น ๆ อ่ะค่ะ มันก็ดี แต่เนื้อสัมผัส ความรู้สึกต่าง ๆ เหมือนกับเอายัย hand cream ข้างบนมาใส่ขวดใหม่ทาตัวก็รู้สึกโอเค แต่ไม่ได้ผิวนุ่มเด้งดึ๋งทันตาเห็นแบบ body cream แค่ใช้ง่ายแค่น้ันข้อสรุป หมดแล้วไม่ซื้อต่อแน่นอนค่ะ กลับไปซบอกน้องโอ่งมังกร The Body Cream ดีกว่าพร้อมคิดในใจถึงจะต้องแบกโอ่งไปทั่วโลกก็ยอม อยากให้ทุกคนได้ลองจริง ๆ น้องโอ่ง Body Cream คือหนึงในผลิตภัณฑ์ของลาแมร์ไม่กี่ตัวที่เรากล้าการันตีว่าทุกคนที่ใช้ต้องเลิฟ
สครับขัดผิวหนึ่งเดียวของแมร์ มีส่วนผสมของผงแร่อัญมณีเลอค่าต่าง ๆ และแน่นอน miracle brothเราชอบลาแมร์อยู่อย่างนะตรงที่ไลน์ผลิตภัณฑ์เค้าเรียบง่าย ชัดเจน บางแบรนด์ ออกสครับมาห้าหกรุ่น คือก็งงไปหมด ว่าต้องใช้อะไร เลือกนั่นก็อยากได้ผลลัพธ์นี่ แต่ลาแมร์ออกสครับผิวมารุ่นเดียว หนึ่งเดียวเท่านั้นที่เคลมว่าทำให้ผิวนุ่มเรียบเนียน เปล่งประกายรวมถึงความชุ่มชื้นหัวใจหลักของแบรนด์ หลังจากใช้ ก็เห็นด้วยกับที่เค้าเคลมนะว่าผิวดูโอเคขึ้น เซลส์เก่า ๆ ที่ตายแล้วยังค้างคาบนผิวก็ได้ถูกขัดออกไป ผิวใหม่เลยดูสดใสตามลำดับ ตัวเม็ดสครับมีขนาดเล็ก ๆ และละลายไประหว่างขัดแบบกำลังดี ไม่เร็วหรือช้าเกินสิ่งที่เห็นชัดเจนมากหลังใช้คือผิวดูใสขึ้น เราจะสครับหลังถูสบู่ อาทิตย์ละ 2 ครั้งข้อสรุป หมดแล้วจะซื้อใหม่ค่ะ เราว่าเราควรจะสครับผิวขัดเอา dead cell ออกอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งและก็ไม่อยากคิดอะไรมาก ใช้ตัวนี้น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมสุด ใช้แล้วไม่แพ้ ไม่แห้ง ชุ่มชื้น ผิวเปล่งประกาย จะรออะไรซื้อวนไปค่ะ
สครับผิวหน้า ดูจากส่วนผสมแล้วคล้ายกับสครับผิวตัวมากทีเดียว แต่ผงแร่อัญมณีมาในรูปแบบละเอียดกว่า เม็ดสครับนุ่มและขนาดเล็กกว่ามาก และมีกลิ่นมินท์ ๆ คล้ายยาสีฟันชอบกล สำหรับสครับหน้า แนะนำให้ใช้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง หลังใช้รู้สึกสดชื่น หน้าดูเนียนนุ่มเรามีสครับหน้าอีกตัวของ Fresh คือ Sugar Face Polish อันนี้ใช้แล้วล้างออกรู้สึกว่าหน้านุ่มมาก ๆแต่คิดว่าเป็นเพราะในตัวสครับมีน้ำมันผสมอยู่ที่เวลาล้างน้ำจะยังตกค้างปกคลุมหน้าอยู่ เลยหลอกให้รู้สึกว่าหน้านุ่มทันที แต่ของลาแมร์ หลังล้างออก หน้านุ่ม ไม่นุ่มเท่า Fresh แต่รู้สึกว่ามันไม่ได้นุ่มหลอก ๆ ข้อสรุป หมดแล้วยังไม่แน่ใจจะซื้อต่อหรือไม่ เพราะยังไม่ได้ประทับใจอะไรมาก บวกกับกลิ่นยาสีฟันทำให้รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ใช้แล้วไม่แพ้ หน้าไม่แห้ง ไม่เป็นสิว
eye cream ของแมร์จะมี 2 รุ่นคือรุ่นกระปุกเขียว สำหรับลดความหมองคล้ำและริ้วรอย กับกระปุกขาว กระปุกนี้ ที่ช่วยลดอาการบวม อ่อนล้า และริ้วรอยเล็ก ๆ มาพร้อม applicator หัวเป็นเงิน สามารถหมุน ๆ ได้เอาไว้นวดรอบ ๆ ตาสำหรับเรา ผู้ซึ่งมีปัญหาใต้ตาคล้ำบวมอย่างหนักหน่วงจากภูมิแพ้ พบว่าครีมไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นแต่แค่ประคองสภาพใต้ตาไม่ให้แย่ไปกว่านี้เท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งความคล้ำบวม ก็ต้องทำใจอีกเรื่องที่เราไปอ่านเจอคือ อาหารการกินมีส่วนมาก คนที่กินโซเดียมมากก็จะก่อให้เกิดความบวมใต้ตาได้ เราเองชอบกินเค็มสุด ๆ พอรู้อย่างนี้ก็ต้องพยายามปรับ ไม่งั้นครีมแพงแค่ไหนก็คงไม่ช่วยมาว่าเรื่องเนื้อสัมผัสและความรู้สึกที่ใช้เจ้าบาล์มตัวนี้ รู้สึกเลยนะว่าเค้าอ่อนโยนกับผิวรอบดวงตามาก เนื้อครีมเข้มข้น ต้องนวดอยู่สักพักถึงจะซึมลงหมด แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความมันเยิ้มใด ๆ เอาไว้ ทาแล้วไม่แสบตาเหมือนบางแบรนด์ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองใด ๆ
ข้อสรุป หมดแล้วเราจะเปลี่ยนไปใช้กระปุกเขียวสำหรับลดความหมองคล้ำดูบ้าง สำหรับครีมรอบดวงตาเราว่ามันก็ไม่จำเป็นเท่าไร เพราะส่วนมากก็จะเป็นครีมตระกูลให้ความชุ่มชื้นทั้งนั้น แต่ใช้แล้วก็สบายใจดีว่าอย่างน้อยชั้นก็ได้พยายามเต็มที่แล้ว -_- ราคาแพงมากถ้าเทียบกับปริมาณ แอบรู้สึกว่าไปซื้อเป็นพวกเทสเตอร์มาจะคุ้มกว่า
eye cream กระปุกเขียว ที่เรามีคือขนาดพิเศษ 5 mL ที่เค้าจัดเป็นเซ็ทกับครีมอย่างอื่นในชุด gift set แต่ปริมาณเท่านี้ก็ใช้ได้นานพอควร เราจะเอาไว้ใช้ตอนเดินทาง
eye serum ราคามหาโหด โหดจนถึงเราจะชอบมันมากขนาดไหนเราก็จะไม่ซื้อไซส์จริง คำนวณแล้วซื้อ tester ไปเรื่อย ๆ คุ้มกว่ามาก ๆ อย่างในรูปเป็น tester ขนาด 5 mL จำว่าราคาประมาณ 900เนื้อเซรั่มเป็นเจลใส ๆ บางเบามาก ๆ ใช้แค่หยดเล็ก ๆ คลึงเบาๆ รอบดวงตา เราสังเกตเห็นถึงความกระชับ ใช้แล้วตาดูโตขึ้นจริง ๆ นะ เหมือนมันดึงชั้นตาของเราขึ้นไปนิดนึง อาจจะมีส่วนผสมทาง cosmetic แบบที่เป็นกาว ๆ ไม่รู้ว่าเป็นทริครึเปล่า (คล้าย ๆ กับเจลที่ทำตาสองชั้นสวย ๆ) นอกจากผลลัพธ์ทำให้ตาดูโต ดูมีชั้นชัดเจนแล้ว เรื่องความชุ่มชื้นก็ทำได้ระดับธรรมดา ๆ เพราะเนื้อเจลซึมแห้งไวมาก ๆ ข้อสรุป หมดแล้วจะซื้อ (tester) ต่อไปแน่นอนค่ะ
รองพื้นสูตรน้ำ ผสม miracle broth และสารบำรุงอื่น ๆ ปกปิดปานกลาง ทำให้ผิวดูเป็นผิวที่ดีแต่กำเนิด รักมากขนาดที่ต้องซื้อ 2 หลอด คนละเฉดสีกักตุนเอาไว้ เราใช้สี 01 PORCELAIN ซึ่งเป็นสีขาวสุดของโทนชมพู และอีกอัน สี 11 SHELL เป็นสีขาวสุดของโทนเหลืองวันไหนที่อยากแอ๊บว่าไม่ได้แต่งหน้า ก็ใช้ 11 คือแนบไปกับหน้า ตรงสีผิวเป๊ะ แต่วันไหนอยากมีออร่าเพิ่มนิดนึง ก็ใช้ 01 ด้วยความที่เค้าปกปิดแบบบางเบา เราเลยสามารถใช้เฉดสีท่ีอ่อนกว่าผิวจริงสักสเต็ปนึงได้ เพื่อให้ไม่ดูหน้าดร็อปเกินไประหว่างวันเนื้อสัมผัส เป็นน้ำ แต่ไม่เหลว เราสังเกตว่ามันมีความคล้ายกับ BURBERRY fresh glow มากทีเดียวทั้งเรื่องของสี กลิ่น และผลลัพธ์เวลาทาลงหน้า แต่ของ La Mer จะข้นกว่าจิ๊ดนึง ส่วนตัวก็ชอบทั้งคู่ เลือกไม่ถูกจริง ๆ แต่ Burberry เกลี่ยง่ายกว่ามากค่ะ ทาทับหลายชั้นก็ยังไม่เป็นคราบ และดูเป็นผิวจริง ๆ เหมือนไม่ได้แต่งหน้า ตรงตามคอนเซ็ปท์แอ๊บแบ๊วของเราเลย ข้อสรุป เป็นรองพื้นที่ดีมากตัวนึง มีสารบำรุงให้หน้าชุ่มชื้น ไม่ดร็อปมากนักระหว่างวัน ไม่คุมมันแต่ก็ไม่ได้ทำให้หน้ามันเท่าไหร่ (อาจต้องสอบถามผู้ใช้ที่เป็นคนผิวมันอีกทีนะคะ เราผิวแห้งเลยไม่มีปัญหา) กลิ่นมีกลิ่นกันแดดชัดเจน คนที่ไม่ชอบอาจจะหงุดหงิด แต่รองพื้นเป็นอะไรที่เราชอบลองไปเรื่อย ก็เลยคิดว่าถ้าหมดอาจจะยังไม่ซื้อต่อ (เพราะมีสต็อกแบรนด์อื่นในกรุอีกเพียบเรียกว่าใช้ไม่ทันแน่ ๆ) อีกอย่าง เมื่อเทียบกับ Burberry Fresh Glow ที่มีความคล้ายกันมาก แต่ราคาถูกว่าเป็นเท่าตัว ก็เลยต้องยอมหักคะแนนเค้าหน่อยนึงนะ