ครั้งหนึ่งในชีวิต ไปสัมผัส 'ทะเลเขมร' | Once in a lifetime in Cambodia

18 9

"เขมรมีอะไรให้เที่ยววะ?" 

เราเจอคำถามนี้ตลอดตอนที่บอกทุกคนว่าจะไปเที่ยวประเทศกัมพูชา หรือ 'เขมร' ที่เรารู้จักกันดี

ภาพในหัวคนที่ได้ยินคำว่า ไปเที่ยวเขมร รวมถึงเราเองด้วยก็คงหนีไม่พ้นผู้คนหน้าตาคล้ายๆคนไทย แต่แฟชั่นแบบล้าหลังกว่าเราไปมากๆ แดดร้อนๆ ขอทาน อาหารไม่สะอาด ที่พักแบบพีคๆ อะไรทำนองนั้น

แต่เราอยากจะบอกว่าประสบการณ์ที่ได้จากการไปเที่ยวเขมรของเรา มันเปลี่ยนความคิดเรากับประเทศนี้ทุกอย่าง

'คนเขมรใจดีกับเรามาก'

ข้อนี้คือสิ่งที่ประทับใจเราที่สุด เราเคยไปประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่นอินโดนีเซีย ลาว เวียดนาม เรายกให้เขมรเป็นประเทศที่ Be nice กับเราที่สุด พวกเค้าต้อนรับเราอย่างดี พยายามช่วยเหลือ พยายามพูดภาษาไทย เค้าทรีทเราเหมือนเราเป็นประเทศพี่น้องของพวกเค้า จนเราเองยังต้องถามตัวเองเลยว่าแล้วคนไทยล่ะ ทรีทพวกเค้าแบบไหน?

'ทะเลเขมรสวยมาก'

เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าทะเลเขมรสวยกว่าทะเลไทย (เพราะทะเลไทยก็สวยจริงๆนั่นแหละ) แต่เราบอกได้เลยว่าทะเลเขมรบรรยากาศดีกว่ามากๆ เราชอบความเงียบสงบ ความที่ถึงจะมีบาร์ มีร้านอาหาร แต่ก็ยังมีความโลคอลของคนพื้นที่ให้เห็น มีเด็กๆ มีโรงเรียนที่พวกอาสาสมัครฝรั่งมาช่วยกันสอน มีหมาเยอะมากๆ ฝรั่งที่หนีความวุ่นวายมาอาศัยอยู่เขมร กับคนพื้นที่อยู่ด้วยกันแบบลงตัว มันเป็นความสงบแบบที่หาไม่ได้ในประเทศอื่นๆที่เจริญแล้ว

เราได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่เคยทำที่เขมร เราไปตกปลาบนเรือ เอาปลาสดๆที่หาได้เองมาย่างกิน เราได้ไปว่ายน้ำกลางความมืดเพื่อดูแพลงตอนเรืองแสง เราได้ไปนอนอยู่บนเรือกลางทะเล ดูดาวเป็นล้านๆดวง แบบที่ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นดาวเยอะขนาดนี้มาก่อน

วินาทีที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเราบอกตัวเองว่า เราตัดสินใจไม่ผิดที่มาที่นี่ เราขอบคุณตัวเองที่กล้ามาเที่ยวเขมร ทั้งที่หารีวิวแทบจะไม่ได้ ขอบคุณเพื่อนๆร่วมทริปที่กล้าไปเที่ยวที่แบบนี้กับเรา เป็นทริปที่คุ้มค่ามากจริงๆ

ด้วยรักจากน้องหล้าถึงเขมร

Plan : Day1 กรุงเทพ - พนมเปญ (Air asia flight 6:30 - 8:00 am.)

    พนมเปญ - สีหนุวิลล์ (เหมารถตู้ ชั่วโมง)

    สีหนุวิลล์ - เกาะรง (Speed Ferry Cambodia 4:00 pm.)

    เกาะรง (พักที่ Green Ocean Bungalow)

    Day2 ซื้อทัวร์เที่ยวของที่พัก ราคาคนละ 10USD (1:00 pm.-7:00pm.)

    Day3 เหมา Taxi Boat เที่ยว ราคาคนละ 9 USD (1:00pm. - 7:00pm.)

    Day4 เกาะรง - สีหนุวิลล์ (Speed Ferry Cambodia 12:30 pm.)

    สีหนุวิลล์ - พนมเปญ (Giant Ibis Bus 3:30pm - 8:00 pm.)

    พนมเปญ  - กรุงเทพ (Air asia flight 10:30 - 11:30 pm.)

Cost : ตั๋วเครื่องบิน = 2,500

    รถ + เรือ = 1,600

    ที่พัก = ประมาณ 600 (3คืน)

    อื่นๆ = 3,500 - 4,000

DAY 1 : การเดินทางของเหล่ารวมพลคนดวงซวย!

เช้าวันแรก เราฝืนร่างลากตัวเองออกจากเตียง มุ่งหน้าไปสนามบินดอนเมืองแบบเช้าที่สุดในชีวิตที่เคยไป เราเลือกบินกับสายการบิน Air asia นะคะ เพราะอย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าถ้าบินแถบโซนอาเซียน ถูกๆ ไฟลท์เยอะๆ คงจะเป็นสายการบินอื่นไปไม่ได้แล้วเด้ออออ เครื่องออกประมาณ 6 โมงครึ่ง เราไปถึงก่อนเวลาไม่มาก เซเว่นก็อยู่ไกลเกทเหลือเกิน เลยได้ข้าวกล่องร้านหน้าเกทมา แพงมากเวอร์ 140 บาท เป็นกะเพราที่ไม่ควรเรียกตัวเองว่าผัดกะเพรา แพงไม่โกรธ แต่โกรธตรงให้น้อย!!! ตอนขึ้นเครื่องแล้วเปิดเมนูอาหารเจอผัดกะเพราหม่อมหน่อย ราคาพอๆกัน แต่ความน่ากินแตกต่างกันม๊าก เจ็บใจมาก สาบานกับตัวเองรอบหน้ากะเพราหม่อมหน่อยกับเราต้องได้เจอกันหน่อยละ 555555 ข้ามเรื่องอาหารสนามบินไป หลับๆ ตื่นๆ ประมาณชั่วโมงเดียวก็เดินทางถึงเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชาจ้า

ที่เราต้องเลือกไปไฟลท์เช้าที่สุดเพราะต้องต่อรถไปจังหวัดสีหนุวิลล์ และต่อเรือไปเกาะรงอีก เราไม่อยากเสียเวลาแวะพักที่พนมเปญหรือสีหนุวิลล์ อยากมุ่งหน้าตรงไปเกาะเลย บวกกับเรือรอบสุดท้ายคือ 4 โมงเย็น ขนาดเราไปเช้ามากยังแทบไม่ทันเรือ เพราะอะไรนั้นน่ะเหรออออ

ก่อนเดินทางเราได้ทำการค้นคว้าหาข้อมูลมาอย่างดี มั่นใจมากว่าทริปนี้ไม่พลาดแน่ๆ จองรถบัส จองเรือ จ่ายเงินทุกอย่างก่อนเดินทางเรียบร้อย พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เพราะไปเที่ยวกัมพูชาคนรอบข้างค่อนข้างเป็นห่วง เราก็ปลอบใจตัวเองว่าเราเตรียมตัวมาดี คงไม่เจอเรื่องพีคๆ แน่นอน แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าบุญเก่าที่ทำมานั้นน่าจะหมดไปแล้วจากการไม่โดนโกงที่เวียดนาม เพราะพวกเรา 8 ชีวิตตกรถบัส! นั่งเคว้งคว้างอยู่ที่สนามบินพนมเปญ 5555555 ก่อนไปเราได้จงรถบัสของบริษัท Giant Ibis ไว้ทั้งขาไปและกลับ จาดพนมเปญไปจังหวัดสีหนุวิลล์ ทีนี้ก็นัดกับรถเสร็จสรรพว่าเราจะรอที่ Park Cafe ข้างหน้าสนามบิน ทางบริษัทส่งอีเมลล์มาว่าให้เราไปรอประมาณ 9 โมงเช้า พวกเราก็ไปนั่งรอจนเกือบๆ 10 โมงแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของรถบัส จึงได้โทรไปสอบถาม ทางพนักงานบอกเราว่าคนขับรับทราบแล้วว่าต้องแวะรับพวกเราด้วย Don’t worry อ่ะ ชะนีกับผองเพื่อนก็ Don’t Worry จ่ะ พากันเดินไปซื้อน้ำ เนื่องจากนั่งรอมานานเหลือเกิน โดยทิ้งเพื่อนให้นั่งเฝ้ารอรถบัส 2 คน กับกระเป๋า 8 ใบ หลังจากซื้อน้ำ 15 นาทีเดินกลับมา เพื่อนบอกว่าเพิ่งเห็น Miss call เบอร์ของบริษัทรถ เราก็รีบโทรกลับไปทันที พนักงานได้พูดคำที่ทำร้ายจิตใจเรามาก นั่นคือรถบัสไปแล้ว และไม่สามารถวนกลับมารับพวกเราได้ เราก็โวยวายเลยว่าทิ้งเราได้ไง เราเพิ่งโทรไปหาเองว่ารออยู่นะ พนักงานให้เหตุผลเราแค่ว่าคนขับแจ้งว่าไม่เห็นกลุ่มคน 8 คน เห็นแค่ 2 คนเท่านั้น และพนักงานได้พยายามโทรหาแล้ว แต่ไม่มีคนรับสาย คือเราเข้าใจว่าส่วนนึงเราก็ซวยเองที่เพื่อนลืมเปิดเสียงโทรศัพท์ แต่ว่าใจมันกฌโกรธที่โดนทิ้งอยู่ดี เพราะเราจ่ายเงินไปแล้ว แถมยังพยายามโทรติดต่อทางรถบัสตั้งหลายรอบ ถ้าคนขับเข้ามาถามเพื่อนเรา 2 คนที่นั่งอยู่ หรือแสดงตัวด้วยการถือป้ายหรืออะไรซักนิดเราคงไม่ตกรถแบบนี้ ก็นั่นแหละ เถียงกันไปเถียงกันมาเราก็โดนตัดสายใส่ สุดท้ายเลยไปจบด้วยการเดินหาเหมารถแถวสนามบินไปท่าเรือแทน ซึ่งก็มีตัวเลือกเข้ามามากมาย แต่ตกลงราคาแล้วเราไปจบที่คนขับตุ๊กๆ ที่เสนอว่าจะไปเอารถตู้มารับ ราคาเหมาหารกันแล้วตกคนละ 300 กว่าบาท ถูกกว่าค่ารถบัสอีก! พวกเราก็รีบนั่งรถตุ๊กๆ ออกไปกับเค้าเลยจ้า รถตุ๊กๆ ก็มีความมึนงงในตัวเอง ขับเต่าเวอร์ ขับๆ จอดๆเหมือนงงๆ ว่าต้องไปส่งพวกมันที่ไหน ตอนนั้นเริ่มใจไม่ดี นี่คงไม่ไปส่งพวกชั้นด้วยรถคันนี้หรอกนะ! หลังจากให้เรานั่งใจไม่ดีกันได้ซักพักรถตู้ก็มารับค่ะ ตอนนั้นดีใจมาก จะได้ออกจากพนมเปญสักที! แต่พี่คนขับตุ๊กๆ มีเซอร์ไพส์ ด้วยการเรียกเก็บเงินคันละ 9 ดอลลาร์ น้องหล้างงมาก ก่อนนั่งมาพี่บอกไม่คิดเงิน รวมกับค่ารถแวน สรุปต่อเหลือ 2 คัน 9 ดอลลาร์ แล้วลาจากกันไป จบ แยก!

ถ้าคุณอ่านาถึงตรงนี้ แล้วคิดว่าที่เล่าไปคือทั้งหมดทั้งมวลของโชคร้านที่พวกเราต้องเจอ จะบอกว่าคุณคิดผิด พวกเราซวยกันได้มากกว่าที่คุณคิด 555555 เมื่อเราค้นพบว่าเรากำลังจะไปไม่ทันลงเรือรอบสุดท้าย! เพราะการจราจรในพนมเปญนั้นติดขัดและลำบากม๊ากกกก ถนนเป็นลูกรังเป็นช่วงๆ และมีรถบรรทุกเยอะ ถนนเลนส์เดียวเลยขับได้ช้า พวกเรานี่เร่งคนขับแล้วเร่งอีก สวดภาวนาต่างๆ นาๆ เพราะไม่มีเงินเหลือพอจะซื้อตั๋วอะไรใหม่ได้แล้ว คิดกันถึงขนาดว่าถ้าไม่ทันจะนอนท่าเรือจริงๆ ด้วยเอาสิ 555555 สุดท้ายเราก็รอดมาได้ด้วยการโทรไปอ้อนวอนบริษัทที่เราจองเรือ ให้ช่วยรอพวกเราหน่อย ซึ่งเค้าใจดีมากๆ สรุปเราเลยไปทันเรือรอบสุดท้าย ใครสนใจจองเรือเจ้าเดียวกับเราสามารถเข้าไปจองในเว็บไซต์ https://speedferrycambodia.com/ ได้เลยเด้อ ตอนไปถึงถ้าถึงก่อนเวลาเค้าจะให้ไปเอาตั๋วที่ Yasmin Cafe ใกล้ๆ กับท่าเรือก่อนนะคะ บริการดี โทรไปก็ช่วยเหลือตลอดด้วยจ้า

DAY 1.2 : สำรวจเกาะรง

หลังจากผ่านวันที่ยาวนานเราก็มาถึงเกาะรงกันซักที ! ยิ้มสวยๆพร้อมปาดน้ำตาที่พาตัวเองมาถึงจนได้ ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ เราเช็คอินที่พัก Green Ocean Guesthouse 

https://www.booking.com/hotel/kh/green-ocean-guesthouse.en-gb.html

ตั้งอยู่ที่ Koh touch village (หมู่บ้านตรงท่าเรือ) ออกจากท่าเรือแล้วเลี้ยวซ้าย เดินแปปเดียวก็ถึงทีพักเลย ที่เราเลือกพักที่นี่ทั้ง 3 คืนเพราะเป็นย่านที่ครึกครื้นที่สุดแล้วของเกาะรง ใกล้ท่าเรือ หาของกินง่าย มีบาร์และปาร์ตี้ตอนกลางคืน ที่สำคัญคือถูก! จะหาที่พักที่ไหนที่ราคาหารละคนละ 200 ร้อยต่อคืนที่อยู่ติดทะเลแบบตื่นมาก็เจอทะเลเลยอ่ะ เดินไม่ถึง 10 ก้าวงี้ คุ้มมากเวอร์ ตกแต่งก็เกร๋ ส่วนตัวเป็นชะนีชอบต่งบ้านด้วยต้นไม้อยู่แล้ว มาพักที่นีถูกใจมาก ต้นไม้เยอะไปหมด แต่สภาพห้องนอน ห้องน้ำ มันก็ไม่ได้หรูหราอยู่สบายอะไรมากนะคะ เพราะด้วยความที่เกาะมันยังใหม่ ความเจริญมันยังเข้าไม่ถึงขนาดนั้น มี Wifi ให้ใช้ก็ดีใจจะแย่แล้ว ใครที่เป็นสายรักความสะอาดแนะนำหาโรงแรมหลายๆ ดาวเอาเด้อ มีที่พักอีกเยอะที่อยู่หาดอื่นๆ บนเกาะรงมีหาดอีกหลายหาดมากๆ แต่ว่าการเดินทางจะต้องใช้ Taxi Boat เท่านั้น เพราะตัวเกาะยังไม่เจริญขนาดมีถนนให้เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่แบบบ้านเรา ยังไงใครจะตามรอยก็ลองไปเลือกๆ ดูเอาที่สะดวกเด้อจ้า

พื้นที่ส่วนกลางหน้าที่พัก Wifi แรงสุด มีที่ให้นั่งแช่เยอะมาก

ชิงช้าหน้าห้องพักวิวทะเลอ่ะพวกแกร

นอกจากต้นไม้แล้วที่พักยังตกแต่งด้วยภาพวาด Qoute ต่างๆ เกี่ยวกับทะเล การท่องเที่ยว นั่งอ่านไม่เบื่อเลย ชอบมากๆ

หลังจากเก็บของนั่งพัก ล้างหน้าล้างตากันให้หน่อยเหนื่อย พวกเราก็เริ่มออกเดินสำรวจแถวๆ หาดที่เราพัก เป็นหาดที่มีร้านค้า ร้านอาหาร บาร์ และที่พักตลอดแนวชายหาด ระยะทางไม่ไกลมาก เดินไปมาได้แบบไม่เหนื่อย นักท่องเที่ยวที่มา 99 เปอร์เซ็นต์เป็นฝรั่ง มีแค่พวกเราที่เป็นชาวเอเชีย พวกร้านอาหาร บาร์ ส่วนใหญ่ที่เห็นเจ้าของจะไม่ใช่คนพื้นที่ คงมีนายทุนจากนอกเข้ามาลงทุน พนักงานชาวกัมพูชาแทบทุกร้านพูดภาษาอังกฤษได้ดี สื่อสารได้รู้เรื่อง บางคนพูดไทยได้ด้วยนะ! 

โรงเรียนเล็กๆ ของเด็กๆที่หมู่บ้านนี้ มีอาสาสมัครชาวต่างชาติมาสอนร้องเพลง สอนภาษาอังกฤษต่างๆ เด็กๆบนเกาะเยอะมาก และทุกคนน่ารัก ดูมีความสุขกับชีวิตแบบชาวเกาะอ่ะ

ร้านข้าวตรงท่าเรือ ใครจะไปแนะนำเลย ถูกกว่าร้านอื่นๆ รสชาติพอกินได้อยู่เด้อ ควรค่า

อีกร้านที่อยากแนะนำ ขายก๊วยเตี๋ยวเนื้อ และขนมปังปิ้งใส่เนื้อ ร้านอยู่ติดกับที่พักเราเลย ถูกมากเช่นกัน แต่สั่งเมนูนอกจากนี้ก็รอนานหน่อย ร้านเพิ่งเปิดวันแรกคือวันที่เราไปถึง พ่อครัวยังงงๆ เลยรอกันนานม๊ากกกก 

อีกร้านที่ชะนีแวะเวียนไปเดินด้อมๆ มองๆ แกล้งถามนู่นถามนี่ ไปกัน 8 คนซื้อ 1 ถ้วย แล้วชวนคุยทั้งคืน คือร้านข้าวโพดที่คนขายงานดีมากจ้า เครื่องหน้าพี่ข้าวโพดดีมาก ติดนิดนึงตรงไปอยู่ 3 คืนพี่ใส่ชุดเดินทุกคืนเลย สีที่เพ้นท์ก็ไม่หลุดจากตัวด้วย เดาว่าพี่ช้าวโพดของนุ้งจะไม่ค่อยชอบอาบน้ำ ไปตอนค่ำๆ จะยังคุยกันรู้เรื่อง ไปดึกหน่อยพี่แกจะเริ่ม Get High ตาหวานเยิ้มเชียว555555

ความเก็ทไฮนี่ก็เหมือนเป็นซิกเนเจอร์อีกอย่างของเกาะนี้เลยนะเราว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาส่วนใหญ่ก็จะสไตล์นั้น ผมเดรดร๊อค หน้าเมาๆ ตาเยิ้มๆ และรูปด้านบนนี่คือแหล่งปล่อยของ จะไม่บอกอะไรเยอะ ใบ้ให้แค่นี้แหละ

พวกเราจบค่ำคืนนั้นด้วยการนั่งดื่มกันที่บาร์ จำชื่อร้านไม่ได้แต่เป็นร้านที่เปิดเพลงดังที่สุดอ่ะแหละ ต้องยอมรับอย่างนึงว่าเราค่อนข้างผิดหวังกับบาร์ที่นั่นนิดหน่อย เพราะทุกร้านเปิดเพลงแนว House ผสม Techno นิดๆ กันหมดเลย ชะนีไม่อินอ่ะ อยากเต้นก็เต้นไม่ออก เลยได้แต่ปลอบใจกันกับเพื่อนว่าเออ ถือว่าทริปนี้มาพักผ่อนนั่งชิวกันแล้วกันเนาะ

DAY 2 : Boat Trip ดำน้ำ ตกปลา ล่าแมงกระพรุนเรืองแสง

เช้าวันที่ 2 เราตื่นกันแบบไม่รีบร้อนนัก เพราะจองทัวร์ไว้ตอนบ่าย 1 ถึง ประมาณ 1 ทุ่ม ราคาทัวร์คนละ 10 ดอลลาร์ พร้อมอาหาร เครื่องดื่ม เหล้าเบียร์ จองได้ที่ Green Ocean Guesthouse นะคะ 

เรือที่พวกเราใช้เดินทางก็จะหน้าตาประมาณนี้ พร้อมแล้วก็ไปกันเลยจ้า

บนเรือมีวกเรา 8 คน ฝรั่งคู่รักอีก 1 คู่ที่พักที่เดียวกัน และไกด์ทัวร์คือเจ๊ฝรั่งบ้าพลัง 1 คน

นี่คือโฉมหน้าเจ๊บ้าพลัง ที่ต้องเรียกแบบนี้เพราะเจ๊เอเนอจี้เยอะมากกกกก แบบเจ๊เอนเตอร์เทนพวกเราตลอดเวลา เจ๊ดูแข็งแรง เป็นมิตร ดูพึ่งพาได้ เจ๊สามารถเต้นท่าเอาขาขึ้นไปเกี่ยวกับคานเรือแล้วห้อยหัวลงมาได้แบบที่ทุกคนเห็นแล้วต้องอ้าปากค้าง เพราะการทำแบบนั้นมันต้องใช้แรงเยอะมาก แต่เจ๊ดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด แถมยังพยายามยุให้เราทำตามอีก555555 เจ๊อยู่เกาะรงมา 3 ปี ทำงานที่ที่พักที่เราจอง เจ๊รักเกาะรงมาก แม้เจ๊จะไม่ได้พูดออกมา แต่การกระทำเจ๊บอกเราแบบนั้น เจ๊ชี้ให้เราดูเกาะที่โดนนายทุนเข้ามารุกรานอย่างเห็นแก่ตัว แล้วก็ด่าๆๆ เจ๊สั่งห้ามพวกเราไม่ให้ทิ้งขยะลงทะเลเด็ดขาด ไม่งั้นเจ๊จะลงไปเก็บมาบังคับให้เรากิน เจ๊ชวนพวกเราช่วยกันเก็บขยะบนหาด ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ๊ และเรือลำอื่นก็ไม่มีใครทำแบบเจ๊ด้วย เจ๊สนิทสนมกับลูกเรือชาวกัมพูชาแทบทุกลำ คอยเล่าเรื่องเกาะรงให้คนนู้นคนนี้ฟัง เจ๊วิ่งเล่นกับเด็กๆ บนเกาะอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย หรือแม้แต่คอยห้ามเวลาหมาบนเกาะกัดกัน เราประทับใจเจ๊มากจริงๆ เราชอบความเสียสละ และความรักเกาะรงของเจ๊ ชอบที่เจ๊เป็นฝรั่งที่เต้นท่าเต้นแว๊นๆ กับเพลงโจ๊ะ สไตล์ไทยได้ เราอยากให้คนที่อ่านได้ไปสัมผัสความเป็นเจ๊แบบตัวเป็นๆ แล้วทุกคนจะเกิดคำถามเหมือนกันคือ เจ๊ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะวะ? จบเรื่องเจ๊

เรือไปหยุดที่จุดแรกเพื่อให้พวกเราลงดำน้ำ ใต้น้ำก็มีปลา ปะการังบ้าง ไม่ได้สวยว้าวอะไรมาก แต่พวกเราก็ดำผุดดำว่ายกันอยู่นานเหมือนกัน

ต่อไปเรือพาเราไปหยุดกลางทะเล แล้วยื่นเบ็ดตกปลาให้คนละอัน เรียนวิธีกันตกปลากันเสร็จก็เริ่มลงมือปฎิบัติกันเลย เป็นครั้งแรกที่เราได้ตกปลาโดยใช้เบ็ดแบบนี้

หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าครอบงำ ทุกคนมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการตกปลา จะได้เฮเป็นพักๆ ตอนมีคนตกปลาได้ ส่วนคนที่ยังตกไมได้ก็จะเริ่มกดดัน ว่าแบบทำไมชั้นยังไม่ได้ซักตัวไรงี้555555

และในที่สุดเราก็ได้ปลากันถ้วนหน้า ยกเว้นคู่รักฝรั่งที่ตกไม่ได้ซักตัว ขนาดนางลองย้ายมุมแล้วเอาเพื่อนเราไปนั่งแทนที่ที่างเคยตกไม่ได้ แปปเดียวเพื่อนเรายังได้ปลาเลย นางดูน่าสงสารและผิดหวังมาก เราเลยปลอบใจไปว่าคนไทยเค้าเชื่อว่าใครตกปลาไม่ได้แปลว่าเป็นคนดี เลยไม่ต้องทำบาป55555

หลังจากนั้นเรือก็จะพาเราไปที่หาด Long Beach เป็นหาดที่ยาวที่สุดบนเกาะรง ทรายขาวมากกกกก น้ำใสมากกกกก อย่างกับน้ำในสระแน่ะ !

ภายใต้ใบหน้ามีความสุข เบื้องหลังคือคันตัวยิบๆๆ เพราะเจ๊เตือนแล้วว่าในน้ำมันจะมีแพลงตอนที่เราโดนแล้วจะแสบๆ คันๆ ยุบยิบๆ เออแล้วมันคันจริงๆ ใครจะไปแนะนำเอาน้ำมันมะพร้าวทาผิวก่อนลงน้ำเด้อ ไม่งั้นวันต่อมาจะขึ้นตุ่มคัน แล้วเกาทั้งวันทั้งคืน ทรมานมีากกกก

อ่ะ มูเตลูเวอร์วังจ่ะ

กิจกรรมบนหาดนี้นอกจากถ่ายรูปเล่นแล้ว เรายังชวนฝรั่งเล่นลิงชิงบอลในน้ำอีกด้วย สนุกมากและเหนื่อยมากเช่นกัน เจ๊บ้าพลังก็ยังคงเป็นเจ๊ พออธิบายกติกาเสร็จ เจ๊บอกงั้นเจ๊ขอเป็นลิง ทุกคนงงมาก55555 เจ๊บอกเป็นลิงน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ ได้ไล่จับลูกบอล แล้วเจ๊แกก็จับบอลได้บ่อยมาก ด้วยความพลังเยอะของแกอ่ะนะ เวลาได้บอลก็ไม่ยอมออก อยากเป็นลิง โอียยยย เอ็นดูเจ๊ 5555555

ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินเราก็ถูกเรียกให้ไปกินข้าวบนเรือ มีบาร์บีคิว ข้าวปล่าว และปลาที่พวกเราจับได้เองมาย่าง เนื้อปลาสดๆ อร่อยมากๆ อยากแนะนำให้ทุกคนไปลองกิจกรรมนี้

หลังจากกินข้าวเสร็จ จริงๆแล้วต้องเป็นกิจกรรมดู Sunset แต่ก็ตามภาพเด้อ พายุเข้าแบบไม่มีสัญญาณบอกมาก่อน มืดมาเลยจ้า ฝนตก เรือโคลงเคลงมาก มองไปทางไหนก็มืดไปหมด แต่ถ้าคิดว่าทุกคนจะนั่งหนาวสั่นกลัวเรือล่มล่ะก็ ไม่ใช่พวกเราค่ะ เจ๊เปิดเพลงตื๊ด พร้อมชงเหล้าบังคับพวกเราดื่ม แล้วเราก็เต้นบนเรือที่โคลงเคลงนั่นแหละ เพราะถ้าไม่ขยับร่างกายมันจะหนาวมากๆ คู่รักฝรั่งก็มาเต้นด้วยกัน เรือเราเป็นเรือลำเดียวที่สนุก และมีความสุขกับพายุวันนั้น 

ในความโชคร้ายยังมีโชคดีอยู่บ้าง เรือพาเราไปหยุดที่จุดดูแพลงตอนเรืองแสง เจ๊บอกว่าปกติมาเวลานี้มันไม่มืด จะมองเห็นยาก แต่วันนี้พายุเข้า มืดสนิทแบบนี้จะเห็นชัดมาก ให้พวกเราลงไปว่ายน้ำดู เราจะเห็นพวกมันตอนขยับตัว มันเอฟเฟกกับการเคลื่อนไหวของเรา ตอนแรกคือลังเลมาก นึกภาพทะเลมืดๆ แบบมืดไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นแม้แต่หน้าเพื่อน ต้องลงไปลอยคออยู่ในน้ำที่มืดและหนาวแบบนั้น เรือก็ต้องปืดไฟเพื่อให้มองเห็นแพลงตอนชัดขึ้น แต่สุดท้ายพวกเราก็ตัดสินใจลงไป (แต่รอบนี้ใส่ชูชีพเด้อ กลัวตาย) แล้วใช้วิธีเกาะๆ กันไว้ ตะโกนถามกันว่าอยู่ตรงไหนแล้วว่ายน้ำตามเสียงเพื่อนเอา เพราะลงพายุแรงมาก เราจะถูกพัดออกไปไกลจากเรือตลอดเวลา แต่การเสี่ยงของเรามันคุ้มค่ามาก เราไม่สามารถเก็บภาพมาให้ด๔ได้ ว่าแพลงตอนเรืองแสงใต้น้ำมันเป็นยังไง แต่เราจำทุกวินาทีตอนนั้นได้เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขมากจริงๆ ใครอยากสัมผัสความรู้สึกนั้นต้องไปลองเองเด้อค่ะเด้ออออ

เรือกลับมาส่งเราที่ที่พักเวลาประมาณ 2 ทุ่ม คืนวันนั้นจะมี Party Crown คือจ่ายคนละ 7 ดอลลาร์ ได้เสื้อของงานปาร์ตี้ และจะมีคนนำไปบาร์ต่างๆ ทั้งหมด 4 บาร์ ไปกันเป็นกลุ่ม ไปถึงบาร์ก็จะมีเกมส์ให้เล่น ได้เหล้าฟรี อะไรประมาณนั้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลเราไม่ได้ซื้อตั๋ว เพราะกลับมาแล้วเจอหาดก็ยังดูเงียบเหงา เพลงก็ไม่ใช่แนว เลยหากิจกรรมอื่นทำกันแทน สรุปกันได้ว่าอยากตกหมีก เพราะตอนที่ตกปลาเมื่อกลางวันเราโชคดีได้หมึกมาตัวนึง เนื่องจากหมึกตัวนั้นำลังกินปลาที่เราตกได้อยู่ แล้วมันอร่อยมากกก เพื่อนๆเลยอยากไปตกหมึก ด้วยความคิดว่าเราสามารถล่องเรือออกไปตกปลาหมึกได้เหมือนที่ไทย ก็เลยไปตกลงกับ Taxi Boat ต่อรองราคามาได้คือไปตกหมึก และเช้าวันต่อไปพาไปทัวร์หาดที่เรายังไม่ได้ไปอีก 4 หาด คนละ 9 ดอลลาร์

พอถึงเวลาเราก็ไปที่เรือตามนัด คนขับและลูกเรือชาวกัมพูชามากันทั้งหมด 4 คน เป็นชายล้วน ภาพลักษณ์น่ากลัวนิดๆ ไม่มีใครพูดอังกฤษได้ เรือแล่นออกไปกลางดึก ทะเลเงียบและมืดมากๆ มองไปรอบๆ แล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ หันไปเห็นลูกเรือยิ้มให้ รอยยิ้มเจือความพิศวาสอยู่หน่อยๆ (หรืออาจจะคิดไปเอง) ทุกคนนั่งไปเงียบๆ สังเกตุเห็นเพื่อนบางคนสีหน้าไม่ดี อาจจะกำลังจินตนาการอะไรน่ากลัวๆ อยู่เหมือนเรา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรค่ะ เราคิดกันไปเอง กลัวโดนฆ่าทิ้งทะเลบ้างอะไรบ้าง เพ้อเจ้อเวอร์ 555555 แต่จริงๆ ก็ควรระวังนะคะ มานั่งคิดยังรู้สึกว่าตัวเองสะเพร่าไปหน่อยที่เลือกจ้างเรือออกไปกลางดึก ถ้าพวกเค้าไม่ใช่คนดีจะเป็นยังไง แล้วที่พีคคือไปนั่งตกปลากันนานมาก ไม่มีปลา! ได้มาตัวสองตัว เปลี่ยนที่ก็แล้ว อะไรก็แล้ว จนท้อบอกนขับ Bach to hotel  เถอะ ง่วง555555

แต่ถึงไม่มีปลาให้ตก แต่บนท้องฟ้ายังมีดาวนะ ดาวเยอะมากแบบที่เราไม่เคยเห็นเยอะเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต เห็นกลุ่มดาวหลายกลุ่มที่เคยเรียน เพื่อนบางคนเห็นดาวตก เราได้นั่งเรือไปท่ามกลางความมืด มีลมทะเลเย็นๆ เงยหน้าจ้อมมองดาว ไม่มีใครคุยอะไรกันมากนัก เราคิดว่าทุกคนคงกำลังเก็บความทรงจำของตัวเองละมั้ง (หรือไม่ก็แค่ง่วง) สำหรับเราที่ปกติไปเที่ยว กลางคืนก็ออกปาร์ตี้ กลับเช้าร่างพัง ได้มานั่งรับลมดูดาวเงียบๆ บ้าง ก็พบว่ามันก็ดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าปาร์ตี้มันส์คงจะดีกว่า55555 จบวันที่ 2!

DAY 3 : เสพติดชีวิตบนเรือ

อย่างที่เราบอกว่าเกาะรงนั้นการจะเดินทางจากหมู่บ้านที่เราอยู่ไปหาดอื่นต้องใช้ Taxi Boat และดูเหมือนว่าจากการที่เราและเพื่อนๆ ได้ไปใช้ชีวิตอยู่บนเรือลำเล็กๆ นั้น แทบจะทั้งวันทั้งคืน กลายเป็นว่าเราเริ่มจะชอบมันซะแล้ว เราชอบเวลาที่ได้นั่งตรงหัวเรือ มองออกไปข้างหน้าเจอแต่น้ำทะเล ไกลสุดลูกหูลูกตา ลมเย็นๆ กับแดดแรงๆ ดูขัดแย้งแต่รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บนเรือลูกเรือจะเปิดเพลงดังแทบจะตลอดเวลา อย่าหวังจะได้คุยกันนั่งเมาท์มอย เพลงลั่นมากจ้า สามารถเอาโทรศัพท์ไปเปิดเพลงของเราเองได้ด้วย ในรูปด้านบนคือลูกเรือที่เราเจอตั้งแต่คืนที่ออกไปตกปลา พวกเราชอบพี่เค้ามาก พี่เค้ามีความ Swag แบบไม่ต้องพยายาม ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าตอนรอเพื่อนลูกเรือ ตอนที่สาวเชือกสมอ หรือแม้แต่ตอนที่รับโทรศัพท์ ทุกท่วงท่าการขยับตัวของพี่แกเหมือนว่าได้ผ่านการไตร่ตรองและวางอวัยวะไว้อย่างดี อย่างส่งพี่ประกวดเดอะเฟสเม็นมากเวอร์ มงต้องลงคุณพี่แน่นอน ขนาดพวกเรายังละสายตาจากแกไม่ได้เลย คิดดู 5555555

โชคร้ายกลับมาเยือนเราอีกครั้ง เมื่ออากาศวันนี้ไม่เป็นใจต่อการออกเรือเอาซะเลย เนื่องจากเมื่อวานฝนตก พายุเข้า วันนี้น้ำเลยขุ่น และคลื่นลมแรงม๊ากกกก แรงแบบ ตอนที่เค้าแวะให้ตกปลา เรือโคลงไปมาจนเราทุกคนหน้าเบี้ยวกันหมด ปลาก็ไม่ได้ แถมทุกคนยังทำท่าจะบริจาคอาหารให้ปลาด้วยการอ้วกออกมาอีกต่างหาก! พวกเราเลยต้องรีบบอกให้คนขับเรือพาไปที่หาดทันที หาดอะไรก็ได้ที่ใกล้ที่สุด อยากไปยืนบนพื้นดินนิ่งๆ ให้ท้องใส้หายปั่นป่วนสักพัก

แต่ผู้หญิงก็ยังคงเป็นผู้หญิงนั่นแหละ ไม่ว่าเรือจะโคลง อ้วกจะแตกแค่ไหน อะไรจะหยุดยั้งการถ่ายรูปได้ ตอบตรงนี้เลยว่าไม่มี!

อย่าเพิ่งรำคาญชะนี มีรูปสวยๆก็อยากอวดแมะ ถือซะว่าเป็นไอเดียวโพสต์ท่าบนเรือละกันเนอะแกร

แล่นเรือมาได้สักพักเราก็เริ่มมองเห็นหาดกันแล้ว ชื่อว่า 4K Beach ไม่รู้ความหมายเหมือนกันแต่รู้สึกว่าชื่อหาดเกร๋ดี 

ตัวหาดอาจจะไม่ได้มีความพิเศษอะไรจากที่อื่นมากนัก พวกเรากลับสนใจทางเดินทุ่งหญ้า ที่ไม่รู้ว่าไปโผล่ที่ไหนมากกว่า

เป็นจุดที่มีโลเคชั่นดีๆ เผื่อใครเบื่อถ่ายรูปกับทะเล

หลังจากเดินๆ แวะๆ ถ่ายรูปไปสักพัก เราก็พบว่าทางมันอีกไกลมากๆ ถ้าจะเดินไปคงไม่ต้องไปไหนต่อกันพอดี กลับดีกว่า

ก่อนกลับแวะเก็บขยะด้วยเด้อ เพราะหาดสกปรกมาก เหมือนมีคนมากินแล้วทิ้งๆ ไว้ ใครไปก็ช่วยกันดูแลเนาะ หาดเข้าฟรี ตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ คงไม่ทำให้เสียเวลามากเท่าไหร่นัก

เรามุ่งหน้าไปที่หาดที่ 2 ของวัน เป็นหาดที่มีจุดเด่นตรงชิงช้าในทะเล ชื่อว่าหาด Nature Beach 

พอลงเรือเรากับเพื่อนก็เกิดไอเดียดีๆ เนื่องจากมองลงไปตรงท่าจอดเรือแล้วเห็นปลาเล็กๆเยอะมาก รู้สึกฮึกเหิม "มีปลาเล็กก็ต้องมีปลาใหญ่สิวะ" หันไปขอเบ็ดจากลูกเรือมาตกกันตรงท่าเรือนี่แหละ หย่อนไปไม่ถึงสองนาที ได้ปลาจริงๆด้วย! ทีนี้ก็ตกกันยาวเลย ลูกเรือก็มาช่วยตก เราเองก็ตกปลาสักพัก เริ่มเบื่อ เลยเปลี่ยนกิจกรรมไปทำอะไรที่เรารัก อย่างเช่นถ่ายรูปนั่นเอง 5555555

ตอนเห็นชิงช้านี้ว้าวมาก เพราะรูปภาพจากไอจีฝรั่งนักท่องเที่ยวคนนึงที่เราตามอยู่ ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากมาเที่ยวเกาะรง ก็ภาพตรงชิงช้านี้นั่นแหละ (แต่ตอนเค้ามาน้ำลงกว่านี้ หุ่นดีกว่า สวยกว่า ภาพมันก็จะออกมาดีกว่าเยอะอ่ะนะ) ความน้ำขึ้นสูงกว่าจะเอาร่างอ้วนๆ ของตัวเองไปนั่งบนนั้นได้ทุลักทุเลม๊าก 555555

แต่ถ้าผอมๆ หน่อยก็จะยืนได้สบายๆ แบบนี้แหละ (หมั่นใส้ เบ้ปาก)

หาดสุดท้ายของทริป (จริงๆ ต้องไป 4 หาด แต่ว่าได้แค่ 3 หาด พยายามสื่อสารกับลูกเรือแล้วแต่ไม่เข้าใจจริงๆ เลยเออไปแค่นี้ก็ได้)

หาดสุดท้ายของทริป เราใช้เวลาไปกับการเล่นก่อทราย จับเพื่อนโยนน้ำ เล่นลิงชิงบอล ใช้เวลาไปกับการสนุกกับเพื่อนๆ เราว่าเนี่ยแหละความหมายของการไปทะเลกับเพื่อน มันไม่ใช่แค่ไปเพื่อมีรูปสวยๆ ลงไอจี ไปเพื่อได้ส่องฝรั่ง ชมธรรมชาติ ปาร์ตี้ หรืออะไรก็แล้วแต่ การไปทะเลกับเพื่อนมันมีความหมายก็ตรงได้ใช้เวลาร่วมกันเนี่ยแหละ ได้ทำตัวเป็นเด็กๆ ได้อัพเดตชีวิต พากันกิน พากันเมา พากันหลง เวลาเราจะไปเที่ยวเราเลยชอบที่จะลากเพื่อนไปเยอะๆ เป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ตอนไปเที่ยวกับแฟนสองคนเด้อ ต้องลองงงง

หมดเวลาสนุก เราโดนตามไปกินบาร์บีคิวบนเรือเหมือนเดิม จากนั้นเรือก็แล่นพาเรากลับมาส่งที่เดิม บ๊ายบายนะบีชทั้งหลาย คืนนี้มีปาร์ตี้รอน้องหล้าและผองเพื่อนอยู่เด้ออออ

ปาร์ตี้ที่ว่าคืองานที่จะจัดขึ้นแบบส่วนตัวที่ Police Beach ค่าเข้าคนละ 5 ดอลลาร์ถ้าซื้อจากคนในหมู่บ้าน ไปซื้อหน้างาน 7 ดอลลาร์เด้อออ ในทุกๆอาทิตย์ปาร์ตี้ก็จะจัดในตีมที่แตกต่างกัน อย่างวันที่เราไปเป็นตีม Alice in Wonderland งานเริ่มเที่ยงคืนถึงเช้า การจะเดินทางไปต้องเดินเท้า เข้าป่ามืดๆ ไม่ติดไฟให้สักดวง เข้าไปประมาณ 10 นาที พีคเวอร์ ตอนเดินไปนี่ต้องเก็บไม้ข้างทางมาถือไว้ กลัวโดนปล้น55555 แต่บอกตรงๆ ว่าปาร์ตี้ไม่ได้ประทับใจอะไรเรามาก เสีย 5 ดอลลาร์ไปแบบไมไ่ด้อะไรเลยแม้แต่เบียร์สักกระป๋อง เพลงก็ไม่ใช่ทาง ทุกคนดูสนุกไม่สุด กลิ่นสมุนไพรคลุ้งมากกกกก ฝรั่งก็จะเต้นแบบลอยๆ เราไปเต้นๆ อยู่ไม่นานก็กลับ ไม่ค่อยคุ้มค่าเข้าแต่ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี

DAY 4 : ไม่อยากกลับบ้านโว้ยยยย

เราตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าไม่อยากกลับบ้านเลยจริงๆ หลังจากนั้นก็เริ่มบ่นกับเพื่อนร่วมทริปตลอดเวลาว่าไม่อยากกลับ ชอบความสงบและทุกอย่างของที่นี่ไปแล้ว โชคยังดีที่เราจองเรือไว้รอบเที่ยงครึ่ง เลยพอมีเวลาให้เดินเล่นก่อนกลับอยู่บ้าง

ร้านผลไม้ปั่นแก้วละ 1  ดอลลาร์ 

ความเจ๊ฝ้ายกับเงินที่เหลือของนาง

เราเดินทางกลับด้วยเรือเจ้าเดิม รอบนี้ไปถึงก่อนเวลาเยอะ และจากท่าเรือที่สีหนุวิลล์สามารถเดินไปบริษัทรถบัสได้ เราเลยไม่พลาดรถขากลับอีก บนรถมีน้ำ ขนมแจก พนักงานที่บริษัทบริการดี แตกต่างกับคอลเซ็นเตอร์ เลยพอจะทำให้เราหายเคืองได้ 

เดือนทางมาถึงสนามบินพนมเปญประมาณ  2 ทุ่มกว่าๆ เครื่องออกสี่ทุ่ม ถึงไทย 5  ทุ่ม ถึงบ้านแบบร่างแตกเวอร์วัง ใครชอบทริปมันส์ๆ ไม่ห่วงร่างพังจองตั๋วตามได้เด้ออออออ

Tips จัดกระเป๋าแบคแพคจาก Caratravel

จบทริปกาะรงไปแล้ว เราก็มีทิปส์ดีๆ อยากมาแนะนำเพื่อนๆ สายเที่ยวกันด้วย เนื่องจากเราเป็นชะนีที่ค่อนข้างจะเที่ยวบ่อย เวลาไปเที่ยวไหนเราก็จะเป็นคนที่คอยเขียนโน๊ตให้เพื่อนๆ ตลอดว่าต้องพกอะไรไปบ้าง เราเลยอยากแบ่งปันว่าในแต่ละทริปนั้น กระเป๋าของเราแบกอะไรไปมั่ง อะำรควรเอาไป ไม่ควรเอาไป จัดยังไงให้คุ้มค่าแล้วเราแบกไหว ไม่ทรามานหลัง หวังว่าข้อมูลของเราจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยน้า

1. 'ม้วนเสื้อผ้าแทนการพับ' ข้อนี้หลายคนคงรู้ดีอยู่แล้ว ว่าการม้วนเสื้อผ้าทำให้เราเหลือเนื้อที่ในกระเป๋า ใส่ของได้มากขึ้น และที่อยากแนะนำอีกอย่างคือเลือกเสื้อผ้าที่มันไม่ยับ ไม่ต้องรีดไปจะดีที่สุด เวลาที่ม้วนเสื้อผ้าไปแล้วจะได้ไม่เกิดความรู้สึกว่าที่รีดมาพังหมดอะไรประมาณนั้นด้วยน้า 

2. 'หมอนรองคอก็สำคัญ' สำหรับทริปที่ต้องเดินทางนานๆ นั่งเครื่องบินต่อรถ ต่อเรือ หลายๆต่อ ส่วนใหญ่เรามักจะหลับเอาแรง ถ้าไม่มีหมอนรองคอนี่ตื่นมาปวดคอแน่นอน พกไว้ไม่เสียหายเด้อ ได้ใช่แน่ๆจ้า

3. 'ครีมซอง' สำหรับชะนีอย่างเรานะคะ แม้จะไปเที่ยวแต่หน้ามันก็ยังต้องการการบำรุง ต้องมีแต่งกันนิดๆ หน่อยๆ ผู้คนจะได้ไม่ตกใจอ่ะเนาะ ปกติที่เราจะใช้ครีมกระปุก เครื่องสำอาง รองพื้นแบบขวด เราก็จะไปซื้อแบบซองๆ มาพกไปเที่ยวแทน พกง่าย ใช้ทริปนึงหมดแล้วก็ทิ้ง ประหยัดเนื้อที่และนำหนักกระเป๋าได้เยอะด้วยเด้อ

4. 'อย่าลืมพกยาที่จำเป็น' มันก็จริงที่เราอาจจะไปหาซื้อเอาข้างหน้าได้ แต่จะแน่ใจได้ไงว่าเวลาที่เราต้องการแล้วมันจะมี พวกยารักษาโรคประจำตัวทุกคนคงพกอยู่แล้ว แต่ใครที่ไม่มีโรคก็อย่าชะล่าใจนะคะ บางทีคลื่นแรงมาก อ้วกกันแทบทั้งลำเราก็เจอมาแล้ว ยาแก้เมาเรือ นี่เราคิดว่าควรพก ยาแก้ไข้ก็ด้วย เวลาไปเที่ยวเล่นน้ำ เจอแดดร้อนๆ บางทีร่างกายเราอาจจะรับไม่ไหว ยาแก้คัน ไม่เคยคิดว่าต้องพกจนโดนแพลงตอนทะเลในทริปเกาะรงล่าสุดเนี่ยแหละ คันไปทั้งตัว ต้องไปหาซื้อยาอีก ได้ยาหม่องมาทั้งที่ใจอยากได้คารามายมาก55555 

5. 'รู้จักปรับใช้เครื่องสำอาง' ใครที่ไม่แต่งหน้าก็อ่านข้ามข้อนี้ไปได้เลย แต่ถ้าแต่งเราจะแชร์เคล็ดลับดีๆ อย่างที่บอกไปว่าเราสามารถหาซื้อครีมซอง รองพื้นซองมาพกแทนได้แล้ว เครื่องสำอางอะไรแทนกันได้ก็ใช้แทนกัน ประหยัดเนื้อที่และน้ำหนักได้เด้อ อย่างเช่นพกลิปสติกแท่งเดียว ใช้ทาตา แก้ม ปาก เลือกโทนสีที่มันทาไดทั้ง 3 อย่างไปแท่งเดียวเลย ถ้าเป็นคนมีคิ้วอยู่แล้วหรือสักคิ้วมานี่คือแท่งเดียวกับรองพื้นซักซองจบเลยนะ (มาสคาร่า อายไลน์เนอร์ไม่ต้องเด้อ ลงน้ำหลุดและเทะ พกแว่นใส่ปิดช่วงตาเอาก็เกร๋น้า)

6. 'เลี่ยงของไม่จำเป็นที่มีน้ำหนักมาก' ยกตัวอย่างง่ายๆ ไดร์เป่าผม เสื้อยีนส์ กางเกงยีนส์ขายาว หมวกใบใหญ่พกยากๆ ผ้าขนหนูผืนโต และอื่นๆ อีกมากมาย ที่เราก็เป็นคนนึงแหละ ที่เคยแบกของพวกนั้นไปเที่ยวมาแล้ว และพอนานๆ ไปก็พบว่ามันช่างไม่จำเป็นเอาเสียเลย! พวกยีนส์ หนักๆ นี่หลังๆเราไม่ใส่เลย ถ้าไปเที่ยวที่อาจจะหนาวก็จะพกเสื้อกันหนาวตัวเดียว ใส่คลุมวันไปจะได้ไม่ต้องแบกไว้ในกระเป๋า ผ้าขนหนูแทบทุกที่พักมีอยู่แล้ว แต่เราจะพกผืนเล็กๆ ไปเผื่อเช็ดหน้าเช็ดผม หมวกนี่แต่ก่อนชะนีบ้าแบกมาก 4-5 ใบต่อทริปก็เคยแบก เดี๋ยวนี้ใบเดียวเล็กๆแบบไม่ใส่ก็แขวนหูกระเป๋าได้ไรงี้ สะดวกกว่าเยอะ

7. 'ห้องน้ำพกพา' อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะงง เพราะเราเองก็งงเหมือนกันตอนที่ได้ยินครั้งแรก แต่เมื่อได้ลองแล้วเราค้นพบว่ามันคือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรมีติดรถ ติดกระเป๋าเดินทางไว้ไปทริปมากๆ 

ตอนเราได้รับเจ้าห้องน้ำเคลื่อนจาก WC Plus+ มา หน้าตาจะเป็นประมาณนี้นะคะได้มาทั้งหมด 2 กล่อง (มีกล่องเล็กขนาดพกพา 2 อัน กับกล่องใหญ่ Family pack 5 อันค่ะ) กับอีก 1 ผ้าคลุม (สำหรับตอนใช้งานจะได้ไม่มีใครเห็นเด้อ) ทางแบรนด์ทำกล่องใส่มาอย่างดี แพคเกจน่ารัก น่าพกพาม๊ากกก 

ภาพนี้คือทั้งหมดที่เราได้มาจากกล่องเล็กนะคะ ตอนเห็นครั้งแรกคืองงมากกกกก ใช้ไม่เป็น แต่เหลือบไปเห็นว่าเออข้างกล่องเค้าก็มีวิธีบอกนี่นา อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ยากอย่างที่คิดด้วยนะคะ

เราเปิดซิปแล้วลองใส่น้ำ 1 แก้วลงในอุปกรณ์สีชมพูสดมุ้งมิ้ง จำลองว่าน้ำนั้นเป็นฉี่ละกันเนาะ ภาพตอนพกไปใช้งานไม่ได้ถ่ายมานะคะ กลัวว่าจะน่ากลัวเกินกว่าจะออกสู่โลกโซเชี่ยวได้55555

หลังจากใส่น้ำลงไปเราก็ปิดซิป รอซักแปป ไม่ถึง 1 นาทีเปิดออกมาน้ำที่เราใส่จะหายไป กลายเป็นแบบรูปนี้เลย จากที่ลองอ่านดูคือน้ำจะเปลี่ยนเป็นเจล เวลาเราใช้งานจริงก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะต้องแบกถุงฉี่เป็นน้ำสีเหลืองๆ พกไปตลอดทริป แล้วที่สำคัญเจลยังช่วยดับกลิ่นด้วยนะคะ ไม่ต้องกังวลว่าจะส่งกลิ่นเหมือนออกมาด้วยเด้อ ในหนึ่งถุงเนี่ยจะจุน้ำได้ถึง 1 ลิตรเลยทีเดียว เราสามารถเอากระดาษแอลกอฮอล์ที่มีให้ในกล่องมาเช็ดตรงขอบอุปกรณ์ให้สะอาดแล้วเก็บไว้ใช้ต่อจนกว่าถุงจะเต็มได้นะคะ นอกจากนั้นห้องน้ำพกพานี้ยังเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปีเลยนะคะ ตอนใช้ตัวอุปกรร์ก็รับกับสรีระไม่หกเลอะเทอะเลยด้วยเด้ออออ คุ้มค่ามากๆเลยจ้า

ใช้เสร็จเต็มแล้วเค้าก็มีถุงมาให้ใส่ไปทิ้งได้แบบนี้เลยเด้อ สะดวกมากๆ นับว่าเป็นอุปกรณ์ดีๆ ที่คู่ควรกับสาวๆ ที่ชอบเดินทางแบบเราจริงๆ เพราะบางทีเราเดินทางไปในประเทศที่ยังไม่ได้เจริญมากนัก สภาพห้องน้ำไม่เอื้ออำนวย หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหาห้องน้ำได้ อย่างเช่นต้องอยู่บนเรือทั้งวันแบบเรา ที่เดียวที่จะฉี่ได้คือในทะเลอ่ะ แล้วถ้าเราฉี่ในทะเล เราก็ต้องอยู่กับความรู้สึกที่ว่าเราใส่กางเกงว่ายน้ำที่เปื้อนฉี่ตัวเองตลอดเวลา55555 แล้วนอกจากนั้นเรายังเคยอ่านเจอว่าฉลามได้กลิ่นฉี่ไวกว่ากลิ่นเลือดอีกด้วยนะ หลังจากนั้นคือจิตตกมากๆ 55555 ไม่กล้าฉี่ลงทะเลอีกเลย แต่จะให้อั้นก็คงไม่ไหว เราเลยประทับใจเจ้าห้องน้ำเคลื่อนที่ตัวนี้มากๆ ออกแบบมาเพื่อช่วยชะนีที่ชอบเที่ยวที่ลำบากๆ แบบเราเลยค่ะ

สำหรับใครที่ชอบเรื่องเล่าการเดินทางของเรา สามารถอ่านกระทู้ย้อนหลังของเราได้นะคะ อาจจะมีที่ที่ถูกใจอยากไปเพิ่มขึ้นก็ได้เด้อ

ไว้ทริปหน้าจะมีอะไรมาเล่าให้อ่านกันอีก ฝากติดตามน้องหล้าและผองเพื่อนด้วยเด้อออออออ บัยยยยย 


carahalloween

carahalloween

เราเป็นชะนีน้อย (แต่ตัวใหญ่ ขัดแย้งแมะ) ที่ชอบเที่ยว ชอบทะเล รักภูเขา รักน้ำ รักปลา รักซากุระ (ไม่ใช่ละ5555) เราเที่ยวบ่อย เที่ยวจนไม่มีเงินเก็บ เที่ยวจนเรื่องราวมันล้น จนต้องเอามาเล่าให้คนอื่นฟัง ลองมาอ่านเรื่องราวของสถานที่ต่างๆผ่านมุมมองของเรากันนะ และนอกจากชอบเที่ยวแล้ว เรายังรักแฟชั่นและการแต่งหน้า (บ้าๆบอๆ) เอามากๆ ใครที่ชอบสไตล์เดียวกับเราคือยินดีด้วยเด้อ เธอมีเพื่อนแล้วจ้า มาบ้าไปด้วยกันนะ <3

FULL PROFILE