บ้าน KarJenner เค้ามีเรื่องอะไรกันนะ?

ดราม่าของครอบครัวที่โด่งดังนี้มีมาไม่ขาดสายจริงๆ  ข่าวเรื่องโคลอี้ถูกแฟนนอกใจก่อนคลอดลูกแค่วันเดียวยังไม่ทันซาไป เรื่องคานเยประกาศความคิดทางการเมืองสวนกระแสก็สร้างความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
การหวนคืนสู่ Twitter ของคานเยนั้นไม่เพียงเป็นการประกาศจุดยืนเรื่องการเมืองที่ผู้คนไม่ได้ทราบมาก่อน  แต่เป็นแสดงความรักต่อประธานาธิบดีคนปัจจุบันตามมาด้วยการเสียดสีฝั่งที่ต้านทรัมป์ว่าเป็นพวกที่ถูกล้างสมอง 
เรื่องแนวคิดทางการเมือง เป็นเรืองส่วนบุคคล Freedom Of Speech นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญในโลกประชาธิปไตย  แต่การที่คานเยลุกย้นมาประกาศว่าชื่นชมนโยบายของทรัมป์ในหลายๆด้าน (แม้จะไม่ใช่ทุกเรื่อง) มันก็ทำให้แฟน ๆ ที่สนับสนุนความคิดแบบ liberal ไม่พอใจกับกับการรัวทวีทของแร็พเพอร์ชื่อฉาวผู้นี้
บางคนมองว่า คานเยอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ผิดหวังกับการบริหารงานของอดีตประธานาธิบดีโอบาม่าและรับไม่ได้กับเรื่องที่ฮิลลารี่ คลินตันถูกสาวไส้  จากที่เคยเป็นหนึ่งในเซเลบที่ไปต่อคิวเพื่อจะได้พบปะทักทายกับอดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต  เขาก็เปลี่ยนขั้วมาสนับสนุนประธาธาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในเซเลบไม่กี่คนที่เปิดตัวชัดเจนว่าเห็นด้วยกับการบริหารประเทศของทรัมป์อย่างเต็มที่  
ที่ผ่านมา เซเลบบางคนนั้นแค่แสดงความเห็นในเชิงว่าพอจะรับประธานาธิบดีทรัมป์ได้ หรือโอนเอียงไปนิดหน่อยก็จะถูกกระแสแอนตี้จนต้องออกมาขอถอนคำพูดและขอโทษ หรือพูดได้ว่าคงจะสนับสนุนนโยบายของทรัมป์แบบเต็มที่และลงคะแนนโหวตให้เขา  บางคนก็อาจจะเลือกเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ประกาศออกมาเพราะมันอาจจะกระทบต่อแบรนด์และชื่อเสียงจนงานหดหายก็เป็นได้


แต่สำหรับคานเย  เขาแตกต่างจากคนอื่น
ทวีทอันต่อมาของมร.เวสท์ หลังจากที่ทรัมป์ตอบรับว่า "เจ๋งไปเลย ขอบคุณนะคานเย"  เขาก็ต้องมาแจงภายหลังจากเพราะเมียโทรมาขอให้เคลียร์กับชาวเน็ท  เขาบอกว่าไม่ได้เห็นด้วยกับทรัมป์ไปหมดนะ (ถึงจะเรียกว่า brother ก็เหอะและชื่นชมใน "พลังมังกร" ก็เถอะ)   เขาจะยึดแต่ความเห็นของตัวเองเป็นที่หนึ่งเท่านั้น


 

แน่นอนว่าคาร์แดชเชียนเค้าก็มีแบรนด์ที่ต้องรักษา  แม้จะออกตัวว่าไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการเมืองออกสื่อมากนักและไม่ได้แสดงว่าเป็นพวกเสรีนิยมแบบเต็มตัว แต่คิมเคก็เคยประกาศว่า แม้แต่ลูกสาวของเธอก็คงจะบริหารประเทศได้ดีกว่าทรัมป์  เจ้าตัวขยายความต่อว่า

"กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เราต้องทุ่มเททำงานเต็มที่จนมีหลายสิ่งที่เราภาคภูมิใจในประเทศของเรา พอเราต้องมาเดินถอยหลังลงคลองแบบนี้มันก็น่ากังวลใจเป็นที่สุด  ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอนอยู่แล้ว ก็ยังมาเกิดเรื่องราวบ้าบอและน่าเศร้าแบบนี้อีก   นี่มันน่ากลัวมากเลยค่ะ ในโลกที่เราอาศัยกันอยู่ เราเคยรู้สึกปลอดภัยที่ได้อาศัยในบ้านตัวเอง  พอตอนนี้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี  เราก็ไม่รู้สึกปลอดภัยอีกต่อไป"



ในขณะฝ่ายภรรยาที่สงวนท่าทีในเรื่องการเมืองมาโดยตลอดได้เปิดอกถึงความกังวลถึงอำนาจบริหารของทรัมป์  แต่คานเยกลับใส่หมวกสโลแกน Make America Great Again ที่มีลายเซ็นประธานาธิบดี   มันดูเป็นเรื่องลางเนื้อชอบลางยาสำหรับหลายคน   ฟังดูแฟร์ดีหากจะบอกว่าสามีภรรยาไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นทางการเมืองไปทางเดียวกัน  แต่ก็อยู่กันด้วยความเข้าใจได้

แต่ประเด็นที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ที่แฟนๆ จำนวนมากที่ติดตามผลงานของคานเยและคิมเคนั้นแอนตี้ทรัมป์ และรู้สึกราวกับถูกทรยศจากศิลปินที่ชื่นชอบ  ชาวเน็ทต่างหวนระลึกถึงเหตุการณ์ที่คานเยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยและรักษาตัวร่วมอาทิตย์  แม้ทางครอบครัวจะบอกว่าเป็นเพียงอาการเครียดและเหนื่อยอ่อน  เมื่อบวกกับเหตุการณ์แฉเจย์ซีและบียอนเซ่กลางคอนเสิร์ต สื่อจึงไม่หยุดเล่นประเด็นความเจ็บป่วยทางจิต  จากนั้นคานเยเก็บตัวเงียบจากสื่อและ social media ไปนาน   เมื่อเขากลับมาพร้อมกับการประกาศความรักต่อประธานาธิบดีทรัมป์  ทำให้หลายคนแสดงความเห็นว่านี่อาจจะเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสุขภาพจิตของแร็พเพอร์ดัง
เมื่ออินเทอร์เน็ทระอุไปด้วยคำกล่าวหาถึงความผิดปกติทางจิตของคานเย  คิมเคจึงลุกขึ้นมาปกป้องสามีอย่างว่องไว


"ถึงบรรดาสื่อที่พยายามให้ร้ายสามีของชั้น  ขอให้ชั้นได้พูดเหอะนะ  พวกความเห็นที่ว่าคานเยเป็นพวกเอาแน่เอานอนไม่ได้และทวีทของเค้ามันฟังดูร้ายแรงนี่จริง ๆ แล้วน่าสยองมาก คุณตราหน้าว่าเค้ามีปัญหาทางจิตอย่างรวดเร็ว  ไม่ยุติธรรมเลยนะ เขาแค่แสดงความเป็นตัวของตัวเองเหมือนกับที่เป็นมาตลอด   ข่าวเรื่องคานเยแยกตัวออกจากผู้ร่วมธุรกิจบางคนเมื่อวานนี้ทำให้สื่อบางพวกกล่าวหาว่าเพราะเขาเป็นโรคทางจิต แม้ว่ามันเป็นแค่การตัดสินใจหนึ่งทางธุรกิจตามปกติ  ชั้นถึงรู้สึกดีใจที่เขาทวีทประกาศสถานะทางบริษัทและเรื่องน่าตื่นเต้นทั้งหลายที่กำลังจะเกิดขึ้น"

"เขาเป็นนักคิดที่มีเสรี  ประเทศอเมริกาไม่ยอมให้แสดงความคิดอย่างเสรีรึไง ?  กะอีแค่เค้ามีความคิดแตกต่างจากพวกคุณนี่ต้องเอาเรื่องปัญหาสุขภาพจิตมาเล่นเลยเหรอ ?   ไม่แฟร์จริงๆ เขาเพิ่งจะหลุดพ้นจากการเก็บตัวแล้วแสดงตัวตนอย่างเต็มที่    ตอนนี้เขาได้พูดถึงทรัมป์ คนส่วนใหญ่ (รวมถึงชั้นด้วย) นั้นเกิดความรู้สึกและความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปมาก  แต่มันก็เป็นความเห็นของคานเยนี่นา  ชั้นเชื่อมั่นว่าคนเรามีความเห็นส่วนตัวกันได้ ถึงมันจะไม่เหมือนกับความเห็นของตัวชั้นเอาซะเลย   เขาไม่เคยบอกสักหน่อยว่าเห็นด้วยกับเรื่องการเมือง " (ของทรัมป์)

"คานเยไม่มีทางเข้าร่วมแข่งแสดงความเห็นให้ได้ใจคนอื่น  เรารู้เรื่องนี้ดีและมันเป็นเหตุผลว่าทำไมชั้นรักและนับถือตัวเค้า   อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ ถ้ามีคนอื่นพูดเรื่องเดียวกับคานเยแต่พวกเค้าจะไม่ถูกตราหน้าแบบที่เขาได้เจอแล้วพวกคุณยังจะชื่นชมคนพวกนั้นด้วย   คานเยน่ะล้ำหน้าคนอื่นเป็นปีๆ เรื่องปัญหาทางจิตไม่ใช่อะไรที่เอามาเล่นมุกกันได้  สื่อต้องหยุดเล่นเรื่องนี้ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาได้แล้ว  จบนะ"


ในเมื่อคานเยได้แสดงความคิดอย่างเสรี  กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เสรีก็หลั่งไหลตามมา  Popcrave รายงานว่ามีคนดังหลายคน unfollow คานเย (เรื่องนี้ไม่ได้มีหลักฐานแน่นอนชัดเจนนะคะ)  และก็มีเพื่อนร่วมวงการออกมาบ่นทาง social media แบบไม่เก็บอาการหงุดหงิด   ที่อึ้งไปเลยก็คือผู้กำกับและเขียนบทหนัง Get Out  ที่ทำให้เขาได้รางวัลออสการ์ที่บอกว่าได้เวลาเขียนบท Get Out ภาค  2 แล้ว ( หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับหนุ่มเชื้อสายแอฟริกันที่ถูกกลุ่มคนขาวล่อลวงไปทำเรื่องที่น่าหลอกหลอนบางอย่าง  ถ้าชมแล้วจะเข้าใจคำพูดของผู้กำกับค่ะ)
หรือจะเป็นสนูปด็อกที่ไม่เคยปิดบ้ังท่าทีตกตะลึงกับการแสดงออกของคานเย ก็พูดถึงพล็อทหนัง Get Out เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจอห์น เลเจนด์ เพื่อนซี้ที่มักจะปกป้องคานเยในแทบทุกเรื่องได้ส่งข้อความมาขอร้องให้คิดทบทวนเรื่องการเข้าไปเป็นพลพรรคเดียวกับทรัมป์ (จอห์นและคริสซี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับทรัมป์ เปิดศึกทวีทกันหลายครั้งจนประธานาธิบดีต้องบล็อกคริสซี่ไปเลย)

สิ่งที่คานเยได้ทำต่อมาคือการเอาข้อความหลังไมค์ของจอห์นมาให้ชาวเน็ทชม
จอห์น
เฮ้ นี่ JL ผมหวังว่าคุณจะคิดทวนเรื่องการไปเป็นพันธมิตรกับทรัมป์อีกครั้งนะ  คุณทรงอิทธิพลเกินไปที่จะช่วยส่งเสริมคนๆ นี้และหลักการของเขา  คุณรู้ดีว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นมีความหมายต่อแฟน ๆ พวกเค้าภักดีและให้ความนับถือต่อความเห็นของคุณ  ตอนนี้มีคนที่ชื่นชมคุณเป็นจำนวนมากที่รู้สึกเหมือนถูกหักหลังเพราะพวกเค้ารู้ถึงอันตรายจากนโยบายทรัมป์ โดยเฉพาะกลุ่มคนผิวสี อย่าให้เรื่องนี้ต้องมาเป็นส่วนหนึ่งในความยิ่งใหญ่ของคุณเลย  คุณเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคนะครับ"


คานเย
 รักคุณนะจอห์นและก็ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น  ที่คุณเอาเรื่องแฟนๆ และความเป็นตำนานของผมมาอ้างเนี่ยมันเป็นกลวิธีที่ใช้ความหวาดกลัวมาเป่าหัวการแสดงความเห็นเสรีของผม"



แม้ว่าจอห์นจะผ่านสงครามน้ำลายกับประธานาธิบดีทรัมป์มาหลายครั้ง  แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมิสเตอร์ไนซ์กาย  เขาดูไม่ถือสาคานเยและยังฝากโพรโมทเพลงใหม่ด้วยอารมณ์ขัน (น่าจะปนอ่อนอกอ่อนใจบ้างล่ะมั้ง) และไม่นานต่อมาก็มีภาพของคิมเยสังสรรค์เฮฮาในงาน babyshower ของคริสซี่ ทีเกน (สองบ้านนี้สนิทกันทั้งสามีภรรยา ต่างจากเจย์ซี บียอนเซ่)  เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า แม้คานเยจะแคปเอาบทสนทนาหลังไมค์กับเพื่อนมาโชว์ชาวโลก  แต่ก็ยังมีมิตรภาพที่ดูแน่นแฟ้น
แต่สัมภาษณ์ล่าสุดของคานเยนั้นอาจจะทำให้เกินกำลังของภรรยาที่จะปกป้องก็เป็นได้

"พอได้ยินว่าการค้าทาสนั้นดำเนินยาวนานมาถึง 400 ปี  400 ปีเชียว!  มันฟังอย่างกับว่าพวกเขาเลือกจะเป็นแบบนั้นเอง"  

โอ  ได้ยินประโยคนี้ก็รู้เลยว่า controversial แน่ ๆ  


คำพูดนี้ย่อมเสียดแทงใจผู้คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน โดยเฉพาะผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากทาสผิวดำที่ถูกกดขี่ข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจ   คานเยจึงขยายความต่อเหมือนกับจะเป็นการชี้แจงว่า

"ก็มันมีทาสอยู่ตั้ง 400 ปี    มันเหมือนกับว่าเราอยู่ในคุกถูกคุมขังทางใจ   ผมถูกใจคำว่าคุกนะเพราะเรื่องทาสมันสื่อโดยตรงกับความเป็นคนดำ  พอพูดถึงคนยิวก็จะคิดถึงเรื่องการสังหารหมู่ ถ้าเป็นคนดำก็เรื่องทาส  คุกนี้จึงเป็นการเชื่อมให้พวกเรารวมตัวเป็นเชื้อชาติหนึ่งเดียวกัน  ทั้งคนดำและคนขาวก็เป็นพวกเดียวกัน  เราเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน "  


แม้จะชี้แจงคำพูดเรื่อง "เลือกเป็นทาสโดยสมัครใจ" แล้ว แต่มันไม่ได้ทำให้ฟังดีขึ้นแต่อย่างใด   will.i.am   ศิลปินดังได้ออกมาเปิดใจทันทีว่าเขาเจ็บปวดกับคำพูดของคานเยมาก

"ผมหวังว่าคุณจะไม่ได้มาพูดแบบนี้เพื่อจะขายอัลบั้มเพลงและรองเท้าตัวเอง  เพราะมันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด  ไอ้การสร้างกระแสเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเชื้อชาติที่เป็นประเด็นที่เปราะบางเพื่อจะหากำไรจากมันน่ะ"

"นี่ทำเอาผมใจสลาย มันตอกย้ำให้ผมรำลึกถึงยายของผม  เธอเกิดในยุค 1920s ท่านมีความผูกพันกับแม่ผู้ที่เกิดในปลายยุค 1800s แล้วก็ย้อนไปที่ต้นตระกูลของผมที่เป็นทาส  เมื่อคุณตกเป็นทาสแล้วก็ต้องกลายเป็นสมบัติของคนอื่น   คุณไม่ได้เลือกที่จะกลายเป็นของใครทั้งนั้น  คุณจะไม่ได้โอกาสในการศึกษาใด ๆ   มันไม่ใช่สิ่งที่คุณเลือกได้นะครับ  คุณถูกบังคับให้ตกในสภาพนั้น"


"ผมเข้าใจเรื่องที่ต้องมีการแสดงความคิดแบบเสรี แต่ความคิดของคุณไม่ได้ผ่านการศึกษามาอย่างถ่องแท้  มันจึงทำร้ายผู้คนที่ต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเลือกได้   "



คนที่รู้สึกเหมือนถูกทรยศคงไม่ใช่แค่ชาวเน็ทและแฟนๆ คานเยเท่านั้น  will.i.am ได้อธิบายความรู้สึกที่เจ้าตัวแทบน้ำตาไหลออกมาว่า



"นี่คือการแสดงแนวคิดแบบโง่เขลาสุดๆ ที่มาจากผู้ที่มาจากคนเชื้อสายแอฟริกันในการพูดถึงบรรพบุรุษของตัวเอง   การเป็นทาสนั้นเลือกได้งั้นเหรอ  คุณพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่"


"สำหรับผมแล้ว นี่ไม่ใช่เขาคนเดิมที่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้  ผมไม่อยากพูดอะไรให้มันเสียไปถึงพวกพ้องของผมนะครับ  แต่เรื่องนี้มันอันตรายมาก   ผมไม่ยอมทำให้บรรพบุรูษตัวเองเสียหายก็เพราะอยากจะสร้างกำไรหรอก"



 แร็พเพอร์ผู้อื้อฉาวก็ขอเคลียร์คำพูดอีกครั้งว่าไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกโจมตี

"ขอบอกให้ชัดเจนกันตรงนี้เลยนะ  แน่นอนว่าผมรู้เรื่องที่เหล่าทาสทั้งหลายไม่ได้ถูกจับใส่เรือมาด้วยความสมัครใจของพวกเค้า  แต่ประเด็นที่ผมจะสื่อก็คือ เรื่องที่พวกเราอยู่ในสภาพทาสทั้ง ๆ ที่จำนวนคนมากกว่านั้นได้หมายความว่าภายในจิตใจของเราก็ถูกทำเป็นทาสไปด้วย"


แม้จะชี้แจงไปแล้ว แต่ก็ยังมี social media ก็ร้อนฉ่าด้วย trending ของชาวเน็ทที่ประชดแดกดันประโยค "ฟังเหมือนสมัครใจเลือกเป็นทาส " ด้วยภาพ meme ลงท้ายด้วย #SlaveryWasAChoice  "




เรื่องนี้เป็นประเด็นฮือฮาที่สื่อข่าวต้องรวมตัวนักวิชาการมาถกกัน  ในรายการที่ช่อง CNN นั้น บุคคลหัวกะทิที่มีเชื้อสายแอฟริกันต่างเห็นตรงกันว่าคำพูดเรื่องทาสนี้ช่างน่าอาย ขาดความรู้ รวมเป็นวินาทีจุดที่ทุกคนสตั๊นและถอนหายใจแบบท้อแท้พร้อม ๆ กัน
การปรากฏตัวเล่าเรื่องราวในรายการ TMZ ของคานเยไม่ได้มีแต่เรื่องความเห็นเรื่องทาสเท่านั้น   เขายังเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวแบบคาดไม่ถึง  เป็นต้นว่าติดยาแก้ปวดขนานแรง opioids  ศัลยกรรมดูดไขมันเพื่อให้ตัวเองดูดีไม่ถูกวิจารณ์เรื่องความอ้วนเหมือนกับร็อบ คาร์แดชเชียน   เขายังบอกว่าหมอจัดยาให้มากมายตอนที่ต้องเข้าโรงพยาบาล

"ผมเคยกินยาแค่วันละ 2 เม็ด  แต่ตอนออกจากโรงพยาบาลหมอกลับจัดยาให้ตั้งวันละ 7 เม็ด   ผมทวีทเรื่องเหล่านั้นก็เพราะผลจากยานั่นแหละ  เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้ใช้ยาเยอะแบบนั้นแล้ว  ยาที่พวกเค้าบอกให้ผมกินวันละ 3 เม็ด   ผมกินแค่สัปดาห์ละ 1 หรือ 2 เม็ดเท่านั้น   ผมกลัวทั้งตัวเองแล้วก็ภาพที่มองเห็นผมก็เลยกินยาตามสั่งจะได้ไม่ต้องถูกพาเข้าโรงพยาบาลแบบที่ทุกคนได้ปรามาสไว้.

"พวกเราต่างถูกวางยากันทั้งนั้น  พวกเราเอาแต่ฟังความเห็นคนอื่น  เราถูกสื่อควบคุม แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว"



ผู้คนจำนวนมากอาจจะมีปฏิกิริยาตอบรับที่โกรธเกรี้ยว  หลายคนเชื่อว่าเขาแค่พูดอะไรที่มันแรง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายอัลบั้มของตัวเองเหมือนที่เคยทำได้มาก่อน   แต่ก็มีคนที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่าคานเยน่าจะป่วยขั้นซีเรียส   แม้ว่าคิมเคจะประกาศว่าอย่าได้มายัดเยียดว่าสามีป่วยจิต   แต่เมื่อเจ้าตัวเปิดเผยว่าติดยาแก้ปวดก่อนหน้าที่ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเมื่อปีที่แล้ว และหมอยังจัดยาให้เพิ่มอีกหลายตัว มันจึงไม่ใช่ของสัญญาณที่ดูปกติในสายตาผู้ชม

คานเยได้ให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์ในโรงพยาบาลว่า

"ผมอยากจะเล่าช่วงเวลาที่อยู่บนเตียงโรงพยาบาล มีคนคอยอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ต้องคอยบอกพวกเค้าว่าห้ามหนีไปไหนนะ แล้วพวกที่โรงพยาบาลก็เข็นเตียงคุณขึ้นลิฟท์  คนใกล้ๆ ตัวก็ถูกกันออกไป   นั่นเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตผมเลย  นึกว่ากำลังจะถูกพาไปฆ่าซะแล้ว"

Us Weekly อ้างว่าคิมเคเกิดความวิตกที่จะถูกเหมารวมเป็นคนรักทรัมป์เช่นเดียวกับสามี  " คิมไม่ได้โกรธเคืองที่คานเย tweet เรื่องทรัมป์เลย"  แหล่งข่าวใกล้ตัวเซเลบเชพบ๊ะเล่า  "แต่เธอกังวลเรื่องที่คนอื่นจะคิดว่าเธอเห็นด้วยกับความคิดนั้น"

"เธอกลัวว่าถ้าเธอปิดปากเงียบ  แฟน ๆ จะตัดสินว่าเธอไม่กล้าออกความเห็นหรือไม่ก็เห็นด้วยกับคานเย   แต่พวกเค้ามีความคิดที่แตกต่างและเป็นตัวของตัวเอง   และนี่คือความเป็นคานเยแบบที่คิมคุ้นเคยดี"
 

People เพิ่มเติมว่า
"ตอนที่คานเยไม่ได้แสดงออกแบบนั้น เขาคือคนที่ยอดเยี่ยมมาก   แต่ตอนที่เขาประสาทเสียขึ้นมา มันสร้างความลำบากใจให้คนรอบข้างเป็นอย่างมา "  คนวงในกระซิบบอกสื่อดัง "  ในตอนนี้คิมวิตกกังวลเรื่องเขาเป็นอย่างยิ่ง  แต่เธอจะอยู่เพื่อปกป้องเขาเสมอ เธอเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์ภักดี ทุกโพสท์และทุกคำพูดของเธอนั้นผ่านการวางแผนมาแล้วว่าจะช่วยเหลือคานเยได้"



Discussion (3)

Wow ต้องขอบคุณมากนะคะที่เอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง ถือว่า Celebrites ทางฝั่งนู้นเค้าค่อนข้างมีบทบาททางการเมืองมาก ส่วนตัวติดตามนางแบบ-นักร้องอยู่แล้ว เรียน Pol-sci มายิ่งชอบอ่านประเด็นทางการเมือง เห็นว่า KJ กับ Hailey Baldwin ก็ไปประท้วงทรัมป์เหมือนกัน Hadid Family ด้วยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างชัดเจน ทั้งๆที่มีหน้ามีตาในสังคม แต่คานเย่ไม่น่าทำแบบนี้เลยจริง ๆ ดูจากการสัมภาษณ์แล้ว Will I. AM ดู Well-educated กว่าเยอะเลย 
สงสารคิมที่มีสามีแบบนี้ นางคงหนักใจอยู่ไม่น้อย