แชร์ 9 วิธี รักษาสิวที่หลัง
krebs_laboratory 17 3
จากประสบการณ์แก้สิวที่หู หน้า และ หลัง ของคนมีกรรมกับสิว ทำให้สิวทั้งตั้งแต่หัว หู หน้า หลัง และ..XX..
ด้วยประสบการณ์สิวที่เป็นมานานจนน่ารำคาญ เลยค้นข้อมูลการรักษาสิวแบบตรงจุดโดยแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาสิว มี 7 ข้อ แก้สิวที่หลัง ดังนี้
.
1. จากประสบการณ์เราเองขอแนะนำยารักษาสิวที่หลัง ที่เห็นผลเองคือ บีเอชเอ(BHA) หรือกรดซาลิไซลิค (salicylic) ช่วยละลายสิวอุดตันได้ดีกว่าเอเอชเอ(AHA)หรือกรดผลไม้
เพราะสิวที่อักเสบเกิดจากสิวที่อุดตันที่ขับออกไม่ได้ ทดลองมาหลายยี่ห้อที่มีรีวิวตามอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะสบู่ทั้งหลาย ใช้ตามหมดแล้ว แต่สิวที่หลังก็ไม่ดีขึ้น
สุดท้าย ต้องใช้ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาช่วยตัวเองและทดสอบกับตัวเอง เพราะเป็นสิวหนักมาก ทั้งที่หน้า หู หัว และสิวที่หลัง
ค้นพบว่าสารที่ช่วยเรื่องสิวได้คือ BHA ทดสอบใช้ที่ความเข้มข้นตั้งแต่ 1, 2 ,3 และ 4 % สรุปมาให้ ดังนี้
.
.......BHA 4% แรงไปสำหรับการใช้ที่หลัง (ผลิตใช้เอง,ใช้สำหรับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ)
.......BHA 3% สำหรับหลังที่มันมากๆ เอาไว้ลดความมันช่วง 1-2 อาทิตย์แล้วค่อยลดความแรงลง (ผลิตใช้เอง,ใช้สำหรับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ)
.......BHA 2% เหมาะกับสิวที่เป็นเยอะทั้งอุดตันและอักเสบ ทาสัก 2-3 เดือนสิวก็จะดีขึ้น (ยี่ห้อที่มี BHA 2% คือ Paula’s choice)
.......BHA 1% ใช้ควบคุมป้องกันการเกิดสิวใหม่(สำหรับคนที่หายแล้วและเป็นสิวที่หลังง่าย) หรือสำหรับผิวบอบบางที่ใช้ BHA 2% ไม่ได้ (ยี่ห้อที่มี BHA 1% คือ oxy cure)
.
เมื่อรู้จักตัวยารักษาสิวที่หลังแล้ว ต้องแก้ที่สาเหตุประกอบด้วย ไม่งั้นการรักษาอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ลองดูให้ครบทั้ง 7 ข้อ
.
2. การไม่อาบน้ำตอนเช้าหรือเย็น หรืออาบน้ำเลทจนทิ้งให้หลังมันเยิ้ม ประสบการณ์ตัวเองตอนเรียนโท พอดีปั่นงานช่วงหน้าหนาวเลยไม่อาบน้ำเช้าไปอาบตอนเที่ยงแทน
จึงปล่อยหลังให้มันทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงหลังจากตื่นนอน ทำให้เชื้อสิวมีอาหาร(ไขมัน)กินอิ่ม เลยทำให้เป็นสิวอักเสบที่หลัง อันนี้แม้จะทายา(BHA)แล้ว สิวก็ยังขึ้นได้ เพราะมีอาหารให้แบคทีเรียกิน(ไม่รักษาความสะอาดนั่นเอง)
.
3. อาบน้ำไม่สะอาด(บริเวณหลัง) หรือไม่ค่อยได้ถูหลัง(อารมณ์ประมาณล้างจานเฉพาะด้านใส่ข้าว แต่ไม่ล้างก้นจาน) อาจหาฟองน้ำนุ่มกับครีมอาบน้ำถูให้ทั่วหลัง
(แต่ไม่ควรขัดรุนแรงเพราะอาจกระตุ้นสิวได้) เพื่อขจัดคราบไขมันส่วนเกิน
.
4. การอับชื้น เหงื่อชุ่ม เช่น เสื้อผ้าที่หนา การทำงานที่มีเหงื่อชุ่ม หรือแม้แต่การนั่งรถแล้วพิงหลังกับเบาะเป็นเวลานานแล้วอับชื้นจะกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังได้
.
5. แชมพูหรือครีมนวดผม เพราะในแชมพูและครีมนวดผมจะมีสารที่ทำให้ผมนุ่มลื่นหรือซิลิโคน แต่ซิลิโคนนั้นทำให้รูขุมขนอุดตันได้(จึงเป็นสิวที่หลัง)
ฉะนั้นแนะนำให้สระผมก่อนอาบน้ำ และพยายามสระผมแบบไม่ให้แชมพูหรือครีมนวดไหลมาถูกหลัง หรือเปลี่ยนยี่ห้อใหม่
.
6. สารเคมีตกค้าง เช่น น้ำยาซักผ้า ปรับผ้านุ่ม สบู่บางชนิด อาจกระตุ้นสิวในบางรายที่แพ้น้ำหอมหรือสารเคมีเหล่านี้
.
7. เลี่ยงการทาครีม หรือออย ที่หลัง เพราะอาจจะทำให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งทำให้เกิดสิวที่หลัง
.
การรักษาสิวที่หลังจะไม่ยากมากเมื่อเปรียบเทียบกับสิวที่หน้า เพราะที่หน้าจะมีรายละเอียดเยอะกว่ามากๆ
สิวที่หลังนั้นแค่ทายาร่วมกับทำตามคำแนะนำทั้ง 7 ข้อ รับรองได้ว่าสิวที่หลังต้องดีขึ้นแน่นอน
ด้วยประสบการณ์สิวที่เป็นมานานจนน่ารำคาญ เลยค้นข้อมูลการรักษาสิวแบบตรงจุดโดยแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาสิว มี 7 ข้อ แก้สิวที่หลัง ดังนี้
.
1. จากประสบการณ์เราเองขอแนะนำยารักษาสิวที่หลัง ที่เห็นผลเองคือ บีเอชเอ(BHA) หรือกรดซาลิไซลิค (salicylic) ช่วยละลายสิวอุดตันได้ดีกว่าเอเอชเอ(AHA)หรือกรดผลไม้
เพราะสิวที่อักเสบเกิดจากสิวที่อุดตันที่ขับออกไม่ได้ ทดลองมาหลายยี่ห้อที่มีรีวิวตามอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะสบู่ทั้งหลาย ใช้ตามหมดแล้ว แต่สิวที่หลังก็ไม่ดีขึ้น
สุดท้าย ต้องใช้ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาช่วยตัวเองและทดสอบกับตัวเอง เพราะเป็นสิวหนักมาก ทั้งที่หน้า หู หัว และสิวที่หลัง
ค้นพบว่าสารที่ช่วยเรื่องสิวได้คือ BHA ทดสอบใช้ที่ความเข้มข้นตั้งแต่ 1, 2 ,3 และ 4 % สรุปมาให้ ดังนี้
.
.......BHA 4% แรงไปสำหรับการใช้ที่หลัง (ผลิตใช้เอง,ใช้สำหรับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ)
.......BHA 3% สำหรับหลังที่มันมากๆ เอาไว้ลดความมันช่วง 1-2 อาทิตย์แล้วค่อยลดความแรงลง (ผลิตใช้เอง,ใช้สำหรับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ)
.......BHA 2% เหมาะกับสิวที่เป็นเยอะทั้งอุดตันและอักเสบ ทาสัก 2-3 เดือนสิวก็จะดีขึ้น (ยี่ห้อที่มี BHA 2% คือ Paula’s choice)
.......BHA 1% ใช้ควบคุมป้องกันการเกิดสิวใหม่(สำหรับคนที่หายแล้วและเป็นสิวที่หลังง่าย) หรือสำหรับผิวบอบบางที่ใช้ BHA 2% ไม่ได้ (ยี่ห้อที่มี BHA 1% คือ oxy cure)
.
เมื่อรู้จักตัวยารักษาสิวที่หลังแล้ว ต้องแก้ที่สาเหตุประกอบด้วย ไม่งั้นการรักษาอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร ลองดูให้ครบทั้ง 7 ข้อ
.
2. การไม่อาบน้ำตอนเช้าหรือเย็น หรืออาบน้ำเลทจนทิ้งให้หลังมันเยิ้ม ประสบการณ์ตัวเองตอนเรียนโท พอดีปั่นงานช่วงหน้าหนาวเลยไม่อาบน้ำเช้าไปอาบตอนเที่ยงแทน
จึงปล่อยหลังให้มันทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงหลังจากตื่นนอน ทำให้เชื้อสิวมีอาหาร(ไขมัน)กินอิ่ม เลยทำให้เป็นสิวอักเสบที่หลัง อันนี้แม้จะทายา(BHA)แล้ว สิวก็ยังขึ้นได้ เพราะมีอาหารให้แบคทีเรียกิน(ไม่รักษาความสะอาดนั่นเอง)
.
3. อาบน้ำไม่สะอาด(บริเวณหลัง) หรือไม่ค่อยได้ถูหลัง(อารมณ์ประมาณล้างจานเฉพาะด้านใส่ข้าว แต่ไม่ล้างก้นจาน) อาจหาฟองน้ำนุ่มกับครีมอาบน้ำถูให้ทั่วหลัง
(แต่ไม่ควรขัดรุนแรงเพราะอาจกระตุ้นสิวได้) เพื่อขจัดคราบไขมันส่วนเกิน
.
4. การอับชื้น เหงื่อชุ่ม เช่น เสื้อผ้าที่หนา การทำงานที่มีเหงื่อชุ่ม หรือแม้แต่การนั่งรถแล้วพิงหลังกับเบาะเป็นเวลานานแล้วอับชื้นจะกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังได้
.
5. แชมพูหรือครีมนวดผม เพราะในแชมพูและครีมนวดผมจะมีสารที่ทำให้ผมนุ่มลื่นหรือซิลิโคน แต่ซิลิโคนนั้นทำให้รูขุมขนอุดตันได้(จึงเป็นสิวที่หลัง)
ฉะนั้นแนะนำให้สระผมก่อนอาบน้ำ และพยายามสระผมแบบไม่ให้แชมพูหรือครีมนวดไหลมาถูกหลัง หรือเปลี่ยนยี่ห้อใหม่
.
6. สารเคมีตกค้าง เช่น น้ำยาซักผ้า ปรับผ้านุ่ม สบู่บางชนิด อาจกระตุ้นสิวในบางรายที่แพ้น้ำหอมหรือสารเคมีเหล่านี้
.
7. เลี่ยงการทาครีม หรือออย ที่หลัง เพราะอาจจะทำให้รูขุมขนอุดตัน ซึ่งทำให้เกิดสิวที่หลัง
.
การรักษาสิวที่หลังจะไม่ยากมากเมื่อเปรียบเทียบกับสิวที่หน้า เพราะที่หน้าจะมีรายละเอียดเยอะกว่ามากๆ
สิวที่หลังนั้นแค่ทายาร่วมกับทำตามคำแนะนำทั้ง 7 ข้อ รับรองได้ว่าสิวที่หลังต้องดีขึ้นแน่นอน
