MY FAV ❤️ Skincares ของดีต้องจัดต่อข้ามปี
Javian 34 9? HNY 2019 ?
ก่อนอื่นก็ต้องขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนกันก่อนนะครับ หวังว่่าทุกคนจะมีความสุขกับปีที่ผ่านมาและพร้อมที่จะรับสิ่งดีๆ ในปีใหม่นี้เพิ่มเข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ นะครับ ก่อนอื่นต้องขออนุญาตแนะนำตัวก่อนนะครับ ออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นกระทู้แรกของเจมส์เลยครับ (อ้าวบอกชื่อไปแระ ก็ถือว่าแนะนำตัวไปแล้วละกันเนอะ ?) สำหรับปี 2018 ที่ผ่านมาเป็นปีที่เจมส์เพิ่งที่จะได้มีเวลาในการดูแลตัวเองอย่างเป็นจริงเป็นจัง ก็เลยทำให้มีโอกาสได้หาสกินแคร์มาลองใช้กันหลายตัวมากกกกกก บางตัวก็รอด บางตัวก็หน้าแหกกันไป ? มาพูดถึงตัวที่ใช้แล้วรอดแล้วรู้สึกว่าเออของมันต้องใช้ต่อยาวไปในปีนี้กันเลยดีกว่าครับว่าเจมส์ประทับใจตัวไหนกันบ้าง อ้อลืมบอกไปนะครับว่าผิวช่วงปัจจุบันนี้จะมีลักษณะผิวธรรมดาไปถึงผสมนะครับ เนื่องจากบางวันก็จะมันช่วงทีโซนครับ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศแวดล้อมที่ต้องออกไปเผชิญจริงๆ ? แล้วที่สำคัญเป็นคนผิวแพ้ง่ายด้วยเป็นผิวที่เป็นมิตรต่อสิวมากๆ แต่หลังๆ เมื่อได้มาเจอกับสกินแคร์เหล่านี้สิวก็ขึ้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะทำให้ผิวเราแข็งแรงขึ้นครับ
1. FRESH: Rose deep hydration
facial toner (250 ml, 1,760฿)
มากันที่ตัวแรกเลยคือเจ้าตัวโทนเนอร์กลีบกุหลาบของแบรนด์ Fresh เป็นโทนเนอร์ที่เป็นมิตรกับทุกสภาพผิวเลยจริงๆ เพราะมีความอ่อนโยนมากๆ ที่สำคัญใครที่เป็นสาย rose lover ? น่าจะหลงรักตัวนี้ได้ไม่ยากครับ สำหรับผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ตัวนี้คือหลังล้างหน้าเสร็จสามารถใช้เช็ดกับสำลีในการปรับสภาพผิวหน้าให้เป็นกลางได้อย่างดี แถมยังเป็นตัวช่วยในการเคลียร์หน้า ตรวจเช็คสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนหน้า เหมือนเป็นการย้ำเตือนเรื่องความสะอาดบนใบหน้าอีกทีก่อนการลงสกินแคร์ตัวถัดไปให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นด้วยครับ ส่วนในเรื่องของความชุ่มชื้นสามารถให้ความชุ่มชื้นได้ในระดับนึงนะครับ ใครที่ผิวแพ้ง่ายตัวนี้สามารถใช้ได้นะครับเพราะไม่ทำให้หน้าแห้งครับ และสำหรับใครที่ไม่อยากลงทุนเยอะ งบน้อยสามารถใช้ตัวนี้เป็นโทนเนอร์เช็ดกับสำลีในขั้นตอนแรก หลังจากนั้นก็สามารถใช้เป็นน้ำตบแบบเหยาะๆ ลงบนฝ่ามืออีกรอบก็ได้เลยครับ :))
2. LA MER: the treatment lotion
(150 ml, 5,100฿)
มาสู่ขั้นตอนที่สองสำหรับการบำรุงผิว โลชั่นน้ำตบนั่นเอง ก็เรียกให้ง่ายๆ หน่อย ก็น้ำตบครับ ขึ้นอยู่กับ texture ว่าแต่ละแบรนด์จะทำออกมาในลักษณะไหน บางแบรนด์จะเป็นเนื้อน้ำๆ เลย ไปจนถึงข้นๆ ก็มีครับ ส่วนในทางด้านของ LA MER นั้น อยู่ก้ำกึ่งระหว่างความเหลวเป๋วแบบน้ำเปล่า กับเนื้อน้ำข้นๆครับ คือมีลักษณะเป็นเนื้อน้ำที่หนืดๆ ขึ้นมาหน่อยนิดนึง แต่เนื้อสัมผัสไม่ได้หนักขนาดนั้นนะครับ ตอนแรกที่ลองใหม่ๆ ก็กลัวเหมือนกันครับว่ามันจะหนักหน้ามั้ย ซึมช้ารึเปล่า แต่ตบลงไปกลับซึมสู่ผิวได้ไวมาก และที่สำคัญคงความชุ่มชื้นบนใบหน้าแบบระดับ 10 เลยทีเดียว ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นน้ำตบที่มาสุดสำหรับความชุ่มชื้นแล้วจริงๆ สำหรับใครที่เน้นมองหาความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพราะช่วงแรกๆ ที่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาประมาณนั้นอย่างเดียวจริงๆ แต่พอใช้ไปนานๆ สักพักบอกได้เลยครับว่ามันทำให้กลับรู้สึกว่าหน้าละเอียดเนียนขึ้นด้วยนะครับ ยังไงปีนี้ก็ต้องจัดต่อยาวๆ แน่นอนคร้าบ^^
3. KIEHL’S: Hydro-plumping
re-texturizing serum concentrate
(50 ml, 2,690฿)
มาต่อกันด้วยบรรดาเหล่าเซรั่มซึ่งมีมาทั้งหมด 4 ตัว โดยตัวแรกขอเริ่มที่แบรนด์ kiehl’s ตัวนี้ก่อนเลย นั่นก็คือเจ้า hydro-plumping ซึ่งเป็นเซรั่มที่เน้นในเรื่องการเติมน้ำให้ผิวแบบชนิดที่เรียกว่าเข้มข้นขั้นสุดกันไปเลย งานนี้ใครที่หน้าแห้งไม่ไหวแล้วก็อยากจะแนะนำให้มาลองซบอกที่ตัวนี้ดูกันนะครับ ต้องบอกว่าตัวนี้เปรียบเสมือนเป็นตัว first care เลยก็ว่าได้ครับ เนื่องจากว่าลักษณะ texture ของเค้านั้นจะไม่ได้เป็นเนื้อน้ำเหลวๆ ที่เราเคยมโนภาพของความเป็นเซรั่มที่เราคุ้นตากันดีสักเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อปั๊มออกมาเนื้อจะออกมาเป็นเจลๆ สีขาวค่อนไปทางใสแบบข้นๆ เลย วิธีการที่เราจะใช้ตัวนี้คือเจมส์จะปั๊มเค้าออกมาประมาณ 1-2 ปั๊ม ลงบนฝ่ามือก่อน แล้ววอร์มเนื้อให้แตกตัวเป็นน้ำ ทีนี้แหละก็จะเห็นว่าจริงๆ แล้วมันก็มีลักณะที่บางเบาเหมือนในรูปแบบเซรั่มที่เป็นน้ำๆ ที่พร้อมจะทาลงบนผิวหน้าแล้ว จึงเป็นที่มาที่ทำให้เจมส์ต้องใช้เจ้าเซรั่มตัวนี้เป็นตัวแรกก่อนเซรั่มตัวอื่นๆ ที่จะใช้ในลำดับถัดมา ในส่วนของผลลัพธ์จากที่ได้มาสักระยะนึง พบว่าความชุ่มชื้นที่ได้มานั้นดีมากในแง่ของการเป็นเซรั่มที่เน้นเติมความชุ่มชื้นแบบเพียวๆ เป็นตัวที่ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ในแง่ของความอิ่มน้ำแบบธรรมชาติมาก ส่วนใครที่หาความโกลว ฉ่ำวาว ตัวนี้อาจจะยังทำไม่ได้ขนาดนั้นนะครับ เดี๋ยวให้ไปลองดูเซรั่มที่เป็นออยเบสน่าจะเวิร์คกว่าครับ
4. KIEHL’S: Clearly corrective
dark spot solution
(30 ml, 2,700฿)
ถัดมาที่เซรั่มเนื้อน้ำใสๆ มีความหนืดนิดๆ แต่เกลี่ยลงบนใบหน้าแล้วค่อนข้างซึมได้ไวเลย คือเจ้าตัว dark spot จากคีลส์นั่นเอง ตัวนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าแรกๆ ไม่ได้มีความคิดที่จะอยากซื้อมาลองเลยเพราะส่วนตัวแล้วนั้นไม่ได้ต้องการหาสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ความหน้าขาวกระจ่างใสแต่อย่างใดนอกจากหาความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นพอ แต่บังเอิญได้ตัวแถมจากการไปซื้อไซส์จริงให้คุณแม่ใช้นี่แหละ เพราะได้คุยกับ BA ที่เค้าให้มาลองเค้าบอกว่าช่วงไหนที่ไปกดสิวมาก็ลองใช้ดูได้จะทำให้รอยดำที่เป็นแผลจากสิวจางไวขึ้น แม่คุณเอ้ยยยย หลังจากที่ไปกดสิวกลับมาแล้วลองหยิบเจ้าตัวนี้มาใช้ดู เอออ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือไม่เกิน 3-4 วัน ที่ใช้ติดต่อกันคือมันดีจริงๆ เห็นผลทันตา ที่สำคัญได้ความกระจ่างใสแถมมาด้วย แล้วส่วนตัวมีความรู้สึกว่าถ้าใช้ไปเรื่อยๆ เหมือนจะช่วยคุมไม่ให้สิวเกิดขึ้นอ้อมๆ ด้วย เนื่องจากเท่าที่ทราบส่วนผสมคร่าวๆ คือตัวนี้มันก็เป็นพวกส่วนผสมของวิตามินซีอยู่ แต่อาจจะไม่ได้มากเท่าตัวไลน์ของวิตามินซีอีกตัวของคีลส์เค้านะ แต่เท่าที่ทราบมาคือสิวมันจะไม่สามารถโตได้ในสภาวะที่เป็นกรด ซึ่งวิตามินซีมันก็เป็นพวกกรด และส่วนผสมเกือบท้ายๆ ก็มีเจ้าตัว salicylic acid ผสมอยู่ด้วย ก็เท่าที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีว่าเจ้า salicylic เนี่ยคุณสมบัติเค้าก็จะเด่นเรื่องรักษาสิวอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ นั่นแระเลยคิดว่ามันน่าจะช่วยได้ประมาณนึงเลยครับ แต่ต้องบอกก่อนว่าใช้หลังจากที่ไปกดสิวที่คลีนิคมาแล้วนะครับ แล้วใช้ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ หลังจากที่กดสิวมาเลย ถ้าใครที่เป็นสิวเห่อหนักๆ ขอให้ข้ามตัวนี้ไปก่อนนะครับอาจจะระคายเคืองแล้วเพิ่มสิวมากขึ้นก็เป็นได้ครับ ส่วนตัวคือจะหยิบมาใช้ช่วงกดสิวเพราะมันจะทำงานได้ดีกับผิวหน้าช่วงนั้นมากกว่าตอนที่เป็นสิวครับ แล้วพอใจในผลลัพธ์ก็พักตัวนี้ไปสลับใช้เซรั่มตัวอื่นเอานะครับ แต่เป็นอีกตัวที่ต้องมีติดบ้านไว้อุ่นใจในปี 2019 นี้อีกแน่นอนเลยครับ ??
5. Guerlain: Abeille royale
youth watery oil (50 ml, 5,900฿)
มาถึงเซรั่มลูกผสมกันบ้าง ที่มีความผสมระหว่างน้ำกับน้ำมันอยู่ในเนื้อเดียวกัน ต้องขอบอกก่อนเลยว่าตัวนี้เมื่อได้ลองมาใช้มันคือ First impression มากจริงๆ ครับ เจ้าตัวนี้เป็นเซรั่มทีมีความเป็นน้ำมันผสมอยู่บางเบาที่สุดเท่าที่เคยลองมาละครับ สำหรับใครที่กำลังเปิดใจอยากลองพวกออยๆ แต่ไม่มั่นใจว่าจะไหวกับหน้าตัวเองรึเปล่าแนะนำให้ลองตัวนี้ดูก่อนเลยครับ มันให้ความชุ่มชื้นดีมาก ที่สำคัญไม่อุดตันด้วยครับ แถมยังให้ผิวในลุคโกลวฉ่ำวาวเกาหลีแบบเบาๆ กำลังดีในอากาศอย่างบ้านเราด้วย สำหรับใครที่ต้องการนำมาใช้ในตอนกลางวัน คือเป็นอะไรที่ฟีลดีที่สุดเท่าที่เคยเอาพวกออยมาใช้ในตอนกลางวันแล้วครับ ไม่รู้สึกว่าหนักหน้าเลยตัวนี้ คือดีต้องใช้ต่อ มีติดบ้านเลยจริมๆ ??
6. Clarins: Double serum
(50 ml, 4,900฿)
มาถึงเซรั่มตัวสุดท้ายที่มีและอยากใช้ต่อในปีนี้ครับ ตัวนี้คิดว่าหลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีมากแล้ว เนื่องจากเป็นที่ฮือฮากันในหมู่บิวตี้บล็อกเกอร์กันหลายคนมาก เจ้าตัวนี้มาในรูปแบบน้ำกับน้ำมันเช่นเดียวกัน แต่ texture ของตัวนี้จะมีความหนักขึ้นมาหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลไปครับตัวนี้เราสามารถปรับระดับหัวปั๊มได้ต่อความต้องการในการใช้แต่ละครั้งที่เพียงพอต่อหน้าเราได้อย่างเหมาะสมเลยครับว่าอยากได้น้อยหรือมากต่อการใช้งานในครั้งนั้นๆ สำหรับตัวนี้เจมส์จะจัดหนักในตอนกลางคืนแบบหนักๆ สองปั๊มเลยครับเพราะเป็นคนที่ชอบอะไรฉ่ำๆ อยู่แล้วในเวลานอน รู้สึกสบายหน้าดีเวลาได้ประโคมบำรุงเยอะๆ ลงบนใบหน้า ส่วนในเวลากลางวันก็สามารถใช้ได้นะครับแต่เจมส์จะเลือกใช้เป็นตัว Guerlain ที่ว่ามาแทนเพราะมันบางเบากำลังดีสำหรับเวลากลางวันมากกว่า ส่วนตัวนี้เคยลองใช้แบบหัวปั๊มน้อยๆ ก็ยังรู้สึกว่าหนักไปสำหรับหน้าเจมส์ครับ แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันแบบแม่เจ้ายอดเยี่ยมไปแปดสิบล้านตลบเลยทีเดียวเป็นตัวเดียวที่รู้สึกว่าใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ตามที่เค้าเคลมมาหมดเลยจริงๆ ผิวอิ่มน้ำ ฟู ริ้วรอยจางลง ดูไม่อิดโรยเลยตัวนี้เอาอยู่มากๆ เวลาวันไหนที่หน้าดูโทรมดูเหนื่อยล้า คือมันช่วยได้กับหน้าเจมส์มากเลยจริงๆ ตัวนี้คือต้องอยู่กับเจมส์ไปนานๆ ไปตลอดทั้งปีนี้เล้ยยยย?
7. LA MER: The moisturizing
cool gel cream, Moisturizing cream
(60 ml, 13,500฿)
และก็มาถึงขั้นตอนปิดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดของการบำรุง เนื้อครีมที่หนาที่สุดเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นแบบยาวนานตลอดทั้งวันทั้งคืนจะเป็นตัวไหนไปไม่ได้นอกจากของ LA MER มันคือที่สุดของการเป็นมอยส์เจอร์ที่เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวเจมส์แล้วจริงๆ คือเอาอยู่จริงๆ แถมใช้ไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกทำให้ผลลัพธ์ของผิวหน้าดีเพิ่มขึ้นไปแบบเรื่อยๆ จริงๆ กลิ่นของครีมที่แตะจมูกก่อนทานั้นไม่สามารถบรรยายได้เลยจริงๆ ว่ามันถูกจริตเราขนาดไหน มันเป็นกลิ่นที่ไม่มีเจ้าไหนทำได้เลยอ่ะ อันนี้ต้องบอกก่อนว่าที่เจมส์ใช้มี 2 สูตรนะครับ แต่จริงๆ เค้ามีมากกว่านี้แล้วแต่ความชอบใน Texture ของเนื้อครีมของแต่ละคนเลยให้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองที่หน้าเคาน์เตอร์เลยครับว่าถูกจริตกับ Texture แบบไหน ส่วนของเจมส์จะแบ่งใช้ 2 แบบคือ แบบ cool gel cream จะชอบมาหยิบใช้ในตอนกลางวันเนื่องจากมันไม่เหนอะหนะ หรือมันวาวสำหรับหน้าเจมส์จนเกินไปสำหรับออกไปทำกิจกรรมข้างนอก แต่ถ้าใครที่อยากได้ลุคแบบดิวอี้หน่อยตัวสูตร Original ก็น่าจะเพียงพอสำหรับสูตรเดียวทั้งกลางวัน กลางคืนแล้วครับ แต่เจมส์จะใช้สูตร Original สำหรับกลางคืนเพราะอย่างที่เคยบอกไปคือกลางคืนจะเหนอะจะหนะยังไงก็จัดมาเลยครับ ชอบบบ 555 แต่ราคาอาจจะโหดหน่อยสำหรับกระปุกสแตนดาร์ดของเค้าอันนี้ยอมรับเลยว่าก็กัดฟันซื้อมาเหมือนกัน แต่ใครที่อยากลองแต่ไม่แน่ใจว่าจะถูกใจหรือเปล่าแนะนำให้ซื้อขนาด 15 ml มาลองก่อนก็ได้นะครับ จะบอกว่าราคาโหดก็จริงแต่เอาจริงๆ แล้วกระปุกนึงเจมส์ใช้ได้นานมากเลยนะครับ ตอนแรกที่เริ่มลองก็ซื้อขนาด 15 ml มาลองนี่ละครับบอกเลยว่าตอนนั้นใช้ได้ถึง 2 เดือนครึ่งเลยกว่าจะหมดครับ เลยจัดไซส์ใหญ่มาเลยช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
8. LA MER: The intensive revitalizing mask
(75 ml, 7,100฿)
(75 ml, 7,100฿)
ที่บอกว่ายังไม่ท้ายสุดเจมส์หมายถึงยังมีพวกตัวเสริมที่จะว่าไม่สำคัญก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ได้อ่ะครับ 55 ? ตัวนี้เป็นมาส์กสารพัดประโยชน์จาก LA MER ที่เจมส์ชอบมากจนต้องติดใจมาถึงปีนี้มาส์กสายหลอด สายกระปุก หรือที่จะเรียกว่า sleeping mask หรือ overnight mask ก็ตามแต่ ตัวนี้คือยืนหนึ่งจริงๆ เลยครับ ที่ว่ามันคือสารพัดประโยชน์ยังไง คือจริงๆ เจ้าตัวนี้ทางแบรนด์เค้าเคลมว่ามันคือมาส์กแบบแค่ 7-8 นาทีเนี่ยแหละถ้าจำไม่ผิด ก็ให้ล้างออกหรือแค่เอาทิชชู่เช็ดซับๆ แล้วหน้าก็จะเด้งนุ่มชุ่มชื้น ซึ่งเห็นหลายคนก็จะชอบแนะนำให้พกไว้ใช้ตอนขึ้นเครื่องจะช่วยกู้ผิวได้ไว แต่เจมส์ว่านั่นมันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งครับ เพราะสำหรับเจมส์แล้วตัวนี้เจมส์เรียกว่ามันคือ All in one mask เลยจริงๆ เพราะว่ามันคือสิ่งที่เป็นมากกว่ามาส์ก ประโยชน์มันคือ more than mask จริงๆ เนื่องจากเราสามารถใช้ตัวนี้เป็นตัว Sleeping mask หรือ overnight mask เลยก็ได้ แต่อันนี้ทางแบรนด์เค้าจะแนะนำนะครับว่าถ้าอยากใช้แบบ Overnight แนะนำคือให้ทามาส์กตัวนี้ก่อนที่จะไปลงตัวมอยส์เจอร์ของตัว LA MER เค้า แต่เจมส์มีทริคที่ดีกว่านั้นมาแนะนำครับคือเจมส์จะใช้ตัวนี้ทาแทนมอยส์เจอร์อย่างเดียวไปเลยครับ วันไหนทาตัวนี้ก็ไม่ต้องลงมอยส์เจอร์แล้วเพราะมันเพียงพอแล้วจริงๆ แอบเปลืองด้วยครับ 555 ถึงได้บอกว่ามันเป็นมากกว่ามาส์กเพราะจริงๆ มันก็คือมอยส์เจอร์ที่ดีอีกสูตรนึงเลยจาก LA MER มีช่วงนึงที่บัดเจทไม่พอจะซื้อครีมเคยซื้อตัวนี้มาใช้ทาแทนครีมอย่างเดียวเลยก็มีครับเพราะมันคุ้มมากจริงๆ เพราะปริมาณ 75 ml กับราคาที่ได้มาเมื่อเทียบกับตัวครีมกระปุกแล้วเจมส์ว่ามันคุ้มกว่ามากด้วยครับ แถมบีบใช้ไม่ต้องเยอะแต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกัน อ้อ แต่ยังไม่หมดเท่านี้ครับ ล่าสุดที่ผ่านมาเจมส์ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปแพ้อะไรมาอยู่ๆ หน้าก็แดงแสบขึ้นผื่นโดยไม่ทราบสาเหตุ ล้างน้ำเปล่าก็แล้วก็ยังรู้สึกว่าหน้ายังไม่หายแดง หายแสบจากการระคายเคือง หยิบตัวนี้มามาส์กทิ้งไว้สักพักไม่เกิน 15 นาที รอยแดงที่เกิดจากการระคายเคืองหายเลย คือมันเคยกู้หน้ามาได้ไวมาก คือเอาอยู่จริงๆ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ใช้ต่อได้ยังไงเนอะ แต่กลิ่นของตัวนี้จะไม่เหมือนกับตัวครีม 5 สูตรนะครับอันนั้นกลิ่นมันจะคล้ายๆ กันหมด แทบไม่แตกต่าง แต่ตัวนี้กลิ่นจะออกแบบสดชื่น เฟรชๆ แนวซิตรัส ส้มๆ แต่ทำออกมาได้แบบเป็นส้มสไตล์ LA MER ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใครอีกแล้ว ?
9. KIEHL’S: Ultra light daily
UV defense SPF 50 PA++++
(30 ml, 1,500฿)
สุดท้ายที่เป็น option เสริมอีกหนึ่งตัว ที่ทุกวันนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องที่เรียกว่า option เสริมอีกต่อไปแล้วละครับ 55555 ? เพราะทุกวันนี้เจมส์มองว่าการทาครีมกันแดดทุกวันไม่น่าจะใช่เรื่องที่ทุกคนต้องละเลยแล้วละครับ เพราะเจมส์เองก็มองว่ามันสำคัญมากจริงๆ อย่างน้อยๆ ถ้าวันไหนขี้เกียจทาสกินแคร์บำรุงหลายตัว ก็ทาครีมกันแดดเนี่ยแหละครับ ทาไปเหอะ ทาตัวนี้ตัวเดียวก็ได้ครับ เพราะจริงๆ แล้วประโยชน์ของครีมกันแดดมันไม่ได้แค่เพียงว่าจะช่วยปกป้องแสงแดดที่เกิดจากรังสี UVA/UVB มาทำร้ายให้ผิวเราไหม้คล้ำจนเกิดกระ เกิดฝ้า จุดด่างดำ บนใบหน้าของเราแต่เพียงอย่างเดียว ถ้าหาข้อมูลดีๆ จากกันแดดหลายๆ แบรนด์ เค้าก็มีการใส่สารบำรุงเหมือนครีมบำรุงไปในตัวแล้วด้วยครับ เหมือนอย่างตัวนี้ที่เจมส์ชอบคือเนื้อสัมผัสเป็นเนื้อน้ำแบบบางเบามากๆ ครับ คือเกลี่ยง่าย ไม่เหนอะหนะบนใบหน้าเลย ที่สำคัญใส่สารบำรุงไปเยอะมากนึกว่าเป็นครีมบำรุงมากกว่าครีมกันแดดซะอีกแรกๆ ที่ลองใช้ใหม่ๆ กลิ่นเค้าแทบไม่มีกลิ่นฉุนของการเป็นครีมกันแดดที่เจมส์เคยเจอมาเลย แถมยังให้ความชุ่มชื้นได้ดีในระหว่างวัน แล้วไม่วอก ไม่มันด้วยครับ ที่สำคัญอันนี้ทางแบรนด์คีลส์เค้าเคลมมาด้วยว่าช่วยป้องกันมลภาวะทางอากาศที่จะมาทำร้ายเราระหว่างวันนอกจากพวกรังสีจากแดดด้วยครับ ซึ่งตอนนี้บ้านเราก็กำลังประสบกับปัญหา PM 2.5 อยู่แล้วด้วย เจมส์ว่ามันน่าจะตอบโจทย์ได้ดีในแง่ของการใช้งานเพื่อปกป้องพวกฝุ่นควัน มลพิษทางอากาศที่จะเข้ามาทำร้ายผิวบนใบหน้าเราครับ