[LIFESTYLE] แจกแพลนเที่ยวโตเกียว 5 วัน 4 คืน เที่ยวสบาย ถ่ายรูปสวย กิน Michelin Stars
BbyOnn 16 2สวัสดีค่า
เมื่อจองร้าน 2 Michelin Stars อย่าง Sukiyabashi Jiro ที่ Roppongi ได้..
แปลว่าออนต้องไปญี่ปุ่นค่ะ!
จุดเริ่มต้นของทริปนี้ก็ตามนี้เลย..
ทริปนี้ออนไปเที่ยวกับคุณแม่ 2 คนเหมือนเดิม
ดังนั้นจึงเน้นเที่ยวสบาย นอนดี ถ่ายรูปสวย และตะลุยกินทั้งวัน โดยเฉพาะ Omakase และเนื้อย่าง เนื้อดิบทั้งหลาย
แพลนรอบนี้จึงเป็นโตเกียว ฟูจิ และคาวาโกเอะ
เพราะออนไปครั้งแรก และต้องจัดแพลนงาน แถมต้องพาคุณแม่เที่ยวด้วย
แต่ความพีคคือ..
คุณแม่ไม่กินทั้งเนื้อวัว และของดิบทั้งหลาย
ดังนั้นทริปนี้จึงตกลงกันว่า ตอนกิน เราจะแยกกัน
ทุกคนจะได้กินของที่ตัวเองชอบ คุณแม่ไปกินราเมง ข้าวแกงกะหรี่
เทมปุระ ร้านใกล้ๆ ร้าน Omakase หรือเนื้อย่างที่ออนจองไว้
แฮ๊ปปี้กันทั้งคู่ จุดนี้สำคัญมากนะ กับการจะไปเที่ยวกับใคร
เรื่องไลฟ์สไตล์การกิน การเที่ยว คุยไว้ก่อนไป ทำแพลนกัน
ดูแพลนกัน ปรับให้โอเคทั้งสองฝ่ายก่อนไปเที่ยว จะได้เที่ยวสนุก ไม่มีปัญหา
มาดูกันค่ะว่าไปเที่ยวไหนบ้าง
ตามมาเล้ยยยยย
พร้อมมั้ยยย?
Day 1
7am : ถึงสนามบิน Haneda พร้อมเรียก Limousine Bus
ไปลงยังสถานที่ใกล้เคียงกับโรงแรมที่จองไว้
9am : เอากระเป๋ามาทิ้งไว้ที่โรงแรม เพราะ Check-in ได้ตอนบ่าย 3
รอบนี้ออนเลือกพักที่ The B Roppongi Hotel เพราะห้องเป็น
Twin Bed ซึ่งออนกับคุณแม่จะชอบนอนเตียงแยกกัน แต่ในญี่ปุ่น
หาเตียง Twin ที่มี Location ดี ราคาโอเคยากหน่อย เจอที่นี่เลยเลือกที่นี่ค่ะ
ความโชคดีคืออยู่ใกล้สถานี Roppongi มาก เดินแค่ 100-200 เมตรเท่านั้น
11am : ไปศาลเจ้า Meiji (ขึ้น JR Yamanote Line ลงสถานี Harajuku)
เพื่อสักการะและขอพร โดยรอบนี้ที่ไป โชคดีมาก เพราะเค้ากำลังมี
ให้ร่วมทำบุญ เพื่อบูรณะศาลเจ้าที่กำลังจะครบ 100 ปีพอดี
เลยได้ทำบุญไปด้วย
12.30 pm : ไปกิน Omakase ที่ Sushi Tokyo Ten แถวๆ Shinjuku
โดยลงที่สถานี Shinjuku พร้อมดูป้ายตึก NewOman และเดินตามไป
ตรง Food Court โซนนี้จะมีร้านอาหารทั้งญี่ปุ่น ฝรั่ง เบเกอรี่ และร้าน
กาแฟหลายร้าน ซึ่งร้านที่ออนเลือกในครั้งนี้ เป็นร้าน Omakase
ราคาเบาๆ ไม่ได้เน้นความหรูหรา หรือออริจิอะไรมากมาย
ตกหัวละ 2000 กว่าบาท สำหรับมื้อกลางวัน
1.30pm : แวะกลับไปที่ Eddy's Ice-Cream ตรง Meiji-Jingumae
(Harajuku) Station เพื่อไปกินไอติมสุดคิ้วท์ แถมตอนนี้มี CinnamonRoll
น่ารักๆให้สั่งแบบในรูปด้วย
2.30pm : กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เพราะรู้สึกง่วง และเหนื่อยกันมาก
อาจจะเพราะได้นอนในไฟลท์ไปแค่ 3 ชั่วโมงกว่า ก็ต้องตื่นมาเตรียม
ตัวลงเครื่อง ดังนั้นเลยกลับไป Check-in พร้อมจัดของ นอนเล่น
เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ ให้สบายเนื้อสบายตัว
6pm : ออกมากินร้าน Yukke Goya แถว Shibuya ซึ่งตัวร้านอยู่
ห่างจากสถานีออกมานิดนึง ดังนั้นออนเลยต่อรถแท็กซี่เอา
ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆที่คนญี่ปุ่นชอบไป ในร้านไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ
โดยร้านนี้จะเด่นเรื่องเนื้อ Wagyu, uni และของดิบต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่
ออนชอบทุกๆอย่างเลย ออนให้คุณน้าที่อยู่ญี่ปุ่นมาโทรไปจองให้
โดยออนเลือกสั่งเป็นคอร์ส คอร์สละ 6,500 JPY
เนื่องจากคุณแม่ไม่กินเนื้อและของดิน มื้อนี้คุณแม่เลยเดินถัด
ไป 3 หน้าร้าน เพื่อนั่งกินอาหารฝรั่ง สั่งมาทั้งสลัด และผักโขมต่างๆ
พอกินเสร็จก็เจอกัน พร้อมกลับโรงแรมพักผ่อน
7am : ถึงสนามบิน Haneda พร้อมเรียก Limousine Bus
ไปลงยังสถานที่ใกล้เคียงกับ
9am : เอากระเป๋ามาทิ้งไว้ที่โรงแ
รอบนี้ออนเลือกพักที่ The B Roppongi Hotel เพราะห้องเป็น
Twin Bed ซึ่งออนกับคุณแม่จะชอบนอนเตียงแยกกัน แต่ในญี่ปุ่น
หาเตียง Twin ที่มี Location ดี ราคาโอเคยากหน่อย เจอที่นี่เลยเลือกที่นี่ค่ะ
ความโชคดีคืออยู่ใกล้สถานี Roppongi มาก เดินแค่ 100-200 เมตรเท่านั้น
11am : ไปศาลเจ้า Meiji (ขึ้น JR Yamanote Line ลงสถานี Harajuku)
เพื่อสักการะและขอพร โดยรอบนี้ที่ไป โชคดีมาก เพราะเค้ากำลังมี
ให้ร่วมทำบุญ เพื่อบูรณะศาลเจ้าที่กำลังจ
เลยได้ทำบุญไปด้วย
12.30 pm : ไปกิน Omakase ที่ Sushi Tokyo Ten แถวๆ Shinjuku
โดยลงที่สถานี Shinjuku พร้อมดูป้ายตึก NewOman และเดินตามไป
ตรง Food Court โซนนี้จะมีร้านอาหารทั้งญี่
กาแฟหลายร้าน ซึ่งร้านที่ออนเลือกในครั้ง
ราคาเบาๆ ไม่ได้เน้นความหรูหรา หรือออริจิอะไรมากมาย
ตกหัวละ 2000 กว่าบาท สำหรับมื้อกลางวัน
1.30pm : แวะกลับไปที่ Eddy's Ice-Cream ตรง Meiji-Jingumae
(Harajuku) Station เพื่อไปกินไอติมสุดคิ้วท์ แถมตอนนี้มี CinnamonRoll
น่ารักๆให้สั่งแบบในรูปด้วย
2.30pm : กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เพราะรู้สึกง่วง และเหนื่อยกันมาก
อาจจะเพราะได้นอนในไฟลท์ไปแ
ตัวลงเครื่อง ดังนั้นเลยกลับไป Check-in พร้อมจัดของ นอนเล่น
เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ ให้สบายเนื้อสบายตัว
6pm : ออกมากินร้าน Yukke Goya แถว Shibuya ซึ่งตัวร้านอยู่
ห่างจากสถาน
ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆที่คนญี่
โดยร้านนี้จะเด่นเรื่องเนื้
ออนชอบทุกๆอ
โดยออนเลือกสั่งเป็นคอร์ส คอร์สละ 6,500 JPY
เนื่องจากคุณแม่ไม่กินเนื้อ
ไป 3 หน้าร้าน เพื่อนั่งกินอาหารฝรั่ง สั่งมาทั้งสลัด และผักโขมต่างๆ
พอกินเสร็จก็เจอกัน พร้อมกลับโรงแรมพักผ่อน
Day 2 <3
วันนี้เป็นวันออกนอกโตเกียว ไปดูภูเขาไฟฟูจิ และไป Kawaguchigo
ซึ่งส่วนตัวเป็นคนขี้เกียจเรื่องการใช้พวก Public transportation นิดๆ
และไม่ค่อยชอบเดิน เลยตัดสินใจซื้อทัวร์ของ KKday แบบเช้า-เย็นกลับไป
( ออนซื้อทัวร์ หลักๆคือพาไปฟูจิ คาวากุจิ หมู่บ้าน Oshino Hakkai
และ Oishi Park ราคาคนละ 3000 กว่าบาท ราคานี้รวมอาหารกลางวัน
และค่าเข้าสถานที่ต่างๆแล้ว)
8.30am : ออนมาถึงที่ Hamamatsucho Bus Terminal
โดยลงที่สถานี Daimon จริงๆทัวร์ให้มาถึง 9 โมงตรง เพื่อที่รถจะได้
ออก 9.20 แต่ออนกับคุณแม่อยากเผื่อเวลาไว้เพื่อความชัวร์
พอไปถึงสถานี ก็ไปแจ้งที่ Counter ของเค้า ว่ามาจาก KKday
พร้อมแจ้งชื่อต่างๆไว้ ทางเจ้าหน้าที่จะออกตั๋วให้
11am : ถึงหมู่บ้าน Oshino Hakkai หมู่บ้านที่มีบ่อน้ำศักสิทธิ์ทั้ง 8 บ่อ
ที่นี่เห็นวิวฟูจิสวย มีของฝากให้ซื้อ และมีโซนให้เสียเงินเพิ่ม
คนละ 300 JPY เพื่อขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังเล็กๆ ตรงนั้นเป็นจุดที่
ถ่ายรูปเห็นวิวฟูจิได้ชัดสุด ไม่ต้องเบียดคน บอกเลยว่าสวยมากกกก
12.30pm : KKday พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆ เป็น Buffet
อาหารฝรั่ง โดยรวมอาหารเยอะดี รสชาติโอเค มีของหวานให้ด้วย
2pm : ไปภูเขาไฟฟูจิ จริงๆตามที่จองไว้ จะต้องขึ้นไปถึงชั้น 5
แต่เนื่องจากวันก่อนฝนตกหนัก พร้อมมีหิมะ เลยได้มาแค่ชั้น 1
เพราะทางขึ้นถูกปิด ทางทัวร์เลยพาไปขึ้น Ropeway หรือกระเช้าลอยฟ้า
เพื่อขึ้นไปชมวิวภูเขาไฟฟูจิ และวิวทะเลสาปคาวากุจิ ด้านบนมีมุม
ให้ถ่ายวิวฟูจิสวยๆหลายมุมเลย
4pm : ไปที่ Oshino Park หรือสวนดอกไม้ใกล้ๆทะเลสาปคาวากุจิ
แต่ตอนนี้ที่ไป ยังไม่มีดอกไม้อะไร เลยได้แต่ถ่ายรูปกับวิวทะเลสาปสวยๆไว้เป็นที่ระลึก
7pm : กลับมาถึงโตเกียว โดยทัวร์ส่งลงที่ Nishi-Shinjuku
ออนเลยตัดสินใจไปกิน Rokkasen เพราะอยู่ตรง Shinjuku พอดี
เดินแค่ประมาณ 500-600 เมตรได้ โดยออนจองไว้ตั้งแต่ที่ไทยแล้ว
จองผ่านเว็ปเค้าเลย และมัดจำไว้ (ถ้าใครจะไปเที่ยวไหนมาก่อน
แนะนำให้เผื่อเวลาไว้ค่ะ กำหนดถึงโตเกียวคือ 1 ทุ่ม
แต่ออนจองเผื่อไว้ตอน 2 ทุ่มครึ่งเลย จะได้ไม่พลาด ไม่เสียเงินฟรี)
ที่ Rokkasen เป็นร้าน Yakiniku แบบ Buffet ที่มีทั้งเนื้อวัว
เนื้อหมู เนื้อไก่ และซีฟู้ดไว้หมด ดังนั้นคุณแม่เลยกินได้ สบายๆ
สำหรับเนื้อคุณภาพกลางๆตามราคา ไม่ได้เริ่ดเว่อร์
แต่ถ้าเทียบราคานี้กับคุณภาพที่ไทย ก็ถือว่าดีกว่าหลายๆร้านเลย
ซึ่งส่วนตัวเป็นคนขี้เกียจเ
และไม่ค่อยชอบเดิน เลยตัดสินใจซื้อทัวร์ของ KKday แบบเช้า-เย็นกลับไป
( ออนซื้อทัวร์ หลักๆคือพาไปฟูจิ คาวากุจิ หมู่บ้าน Oshino Hakkai
และ Oishi Park ราคาคนละ 3000 กว่าบาท ราคานี้รวมอาหารกลางวัน
และค่าเข้าสถานที่ต่างๆแล้ว)
8.30am : ออนมาถึงที่ Hamamatsucho Bus Terminal
โดยลงที่สถานี Daimon จริงๆทัวร์ให้มาถึง 9 โมงตรง เพื่อที่รถจะได้
ออก 9.20 แต่ออนกับคุณแม่อยากเผื่อเว
พอไปถึงสถานี ก็ไปแจ้งที่ Counter ของเค้า ว่ามาจาก KKday
พร้อมแจ้งชื่อต่างๆไว้ ทางเจ้าหน้าที่จะออกตั๋วให้
11am : ถึงหมู่บ้าน Oshino Hakkai หมู่บ้านที่มีบ่อน้ำศักสิทธิ์ทั้ง 8 บ่อ
ที่นี่เห็นวิวฟูจิสวย มีของฝากให้ซื้อ และมีโซนให้เสียเงินเพิ่ม
คน
ถ่ายรูปเห็นวิวฟูจิได้ชัดสุด ไม่ต้องเบียดคน บอกเลยว่าสวยมากกกก
12.30pm : KKday พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารใกล้
อาหารฝรั่ง โดยรวมอาหารเยอะดี รสชาติโอเค มีของหวานให้ด้วย
2pm : ไปภูเขาไฟฟูจิ จริงๆตามที่จองไว้ จะต้องขึ้นไปถึงชั้น 5
แต่เนื่องจากวันก่อนฝนตกหนั
เพราะทางขึ้นถูกปิด ทางทัวร์เลยพาไปขึ้น Ropeway หรือกระเช้าลอยฟ้า
เพื่อขึ้นไปชมวิวภูเขาไฟฟูจิ
ให้ถ่ายวิวฟูจิส
4pm : ไปที่ Oshino Park หรือสวนดอกไม้ใกล้ๆทะเลสาปค
แต่ตอนนี้ที่ไป ยังไม่มีดอกไม้อะไร เลยได้แต่ถ่ายรูปกับวิวทะเล
7pm : กลับมาถึงโตเกียว โดยทัวร์ส่งลงที่ Nishi-Shinjuku
ออนเลยตัดสินใจไปกิน Rokkasen เพราะอยู่ตรง Shinjuku พอดี
เดินแค่ประมาณ 500-600 เมตรได้ โดยออนจองไว้ตั้งแต่ที่ไทยแ
จองผ่านเว็ปเค้าเลย และมัดจำไว้ (ถ้าใครจะไปเที่ยวไหนมาก่อน
แนะนำให้เผื่อเวลาไว้ค่ะ กำหนดถึงโตเกียวคือ 1 ทุ่ม
แต่ออนจองเผื่อไว้ตอน 2 ทุ่มครึ่งเลย จะได้ไม่พลาด ไม่เสียเงินฟรี)
ที่ Rokkasen เป็นร้าน Yakiniku แบบ Buffet ที่มีทั้งเนื้อวัว
เนื้อหมู เนื้อไก่ และซีฟู้ดไว้หมด ดังนั้นคุณแม่เลยกินได้ สบายๆ
สำหรับเนื้อคุณภาพกลางๆตามร
แต่ถ้าเทียบราคานี้กับคุณภา
Day 3
9am : ไปตลาดปลา Tsukiji โดยเลือกลงสถานี Tsukiji
แล้วเดินมานิดเดียว ก็จะถึงตัวตลาดเลย ซึ่งออนเลือกไปตลาดเก่า
เพราะอยากได้ฟีลเดิมๆของตลาดปลา บวกกับร้านอาหารต่างๆยัง
อยู่กันหลายร้าน ออนเลยไปที่นี่ และแน่นอนว่าออนฝากท้องมื้อเช้าไว้กับ
Wagyu และ Uni ทั้งหลาย ออนกินแบบยกถาดกันเลย ฟินๆฉ่ำๆ
ส่วนคุณแม่ผู้ไม่กินเนื้อและปลาดิบ ก็ Enjoy eating ด้วย
เพราะคุณแม่เจอร้าน Tamago หรือไข่หวานอร่อยๆเต็มไปหมด
รวมถึง Hot Green Tea ที่ทำกันสดๆ คนต่อแถวกันยาวๆ และ
Strawberry Mochi แค่กินทั้งหมดนี้ก็อิ่มแล้ว ดังนั้นใครไม่กินปลาดิบ
หรือเนื้อ ก็สามารถ Enjoy กับบรรยากาศ ขนม และอาหารต่างๆที่นี่ได้
11am : เดินทางไป Tokyo DisneySea โดยลงที่สถานี Maihama
ซึ่งรอบนี้ออนไม่ได้ซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้า เพราะตอนจะซื้อจากไทย
กดจองไม่ได้เลยซักเว็ป เหมือนเป็นช่วง High Season ทำให้ราคาตั๋วขึ้น
แล้วในเว็ปที่ขายเป็นตั๋วราคาโปรโมชั่นเลยซื้อไม่ได้ ออนเลยมาซื้อ
เอาหน้า Counter โชคดีว่าไปวันธรรมดา เลยไม่มีคิว เดินเข้าสบายๆ
ออนตั้งใจมา Mermaid Lagoon สุดๆ เพราะอยากมาถ่ายรูปมุ้งมิ้ง
โทน Aqua ที่ออนชอบ โดยระหว่างทางก็ซื้อที่คาดผม ของจุกจิก
และขนมทานกับคุณแม่ไปเพลินๆ (รอบนี้ไม่ได้เล่นเครื่องเล่น
เพราะมีเวลาครึ่งวัน ไว้รอบหน้าจะมาแบบ Two Day Pass
นอนยาวๆที่นี่กันไป แล้วจะเล่นวนไปเลย)
3pm : ออกจาก Tokyo DisneySea ด้วยความที่เวลายังเหลือ
คุณแม่เลยชวนไปแถว Ueno เพื่อถ่ายกับซากุระ ดังนั้นจึงเดินทาง
มาลงที่สถานี Ueno และเดินมาตรง Ueno Park หามุมถ่ายกับ
ซากุระสวยๆ (นักท่องเที่ยวที่นี่เยอะมากกกกกก ดังนั้นก็ต้องทำใจนิดนึง)
5pm : คุณน้าออนจอง Omakase ไว้ให้ที่ร้าน Kitaohji
ตรงสถานี Shinagawa โดยร้านนี้เป็นร้าน Omakase
ที่มีแต่คนญี่ปุ่นกินจริงๆ ไม่มีนักท่องเที่ยว ส่วนมากจะเป็นนักธุรกิจมากิน
หรือมาคุยงาน เพราะมีทั้งโซนบาร์และห้องส่วนตัว
เนื่องจากตัวร้านอยู่ในตึก Shinagawa Grand Central Tower
(ตึกออฟฟิศ และเป็นตึกที่ตั้งของ Microsoft) ร้านจะอยู่บริเวณชั้น 1 เลย
โดยออกมาทาง Konan Exit และเดิน Sky Walk เชื่อมเพื่อเข้าตึก
มื้อนี้เป็น Omakase แบบ Kappou Style ที่จะไม่ได้มีแค่ซูชิ
แต่จะมีทั้งปลาดิบ ของทอด ชาบูต่างๆ ผสมรวมกันไป บอกเลยว่าเด็ดมากกกก
เชฟมาเอโนะทำให้แบบฟินทุกคำ ฉ่ำทุกคำ ส่วนตัวยกให้ Uni
ที่นี่คือสุดของที่สุด ทุบทำลายสถิติจากที่เมกาเมื่อ 5 ปีก่อนไปเลย
หวานละมุนทุกสิ่งอันจริงๆ
ราคาคอร์สละประมาณ 4,000 บาท อิ่มๆแบบจุกๆ ตามในรูปเลย
(จริงๆมีเยอะกว่านี้ รวมๆประมาณ 14 คำ) ใครสนใจก็ไปลองกันได้ค่ะ
โทรไปจองได้เลย ทางร้านมีพนักงานที่พูดอังกฤษได้
แล้วเดินมานิดเดียว ก็จะถึงตัวตลาดเลย ซึ่งออนเลือกไปตลาดเก่า
เพราะอยากได้ฟีลเดิมๆของตลา
อยู่กันหลายร้าน ออนเลยไปที่นี่ และแน่นอนว่าออนฝากท้องมื้อ
Wagyu และ Uni ทั้งหลาย ออนกินแบบยกถาดกันเลย ฟินๆฉ่ำๆ
ส่วนคุณแม่ผู้ไม่กินเนื้อแล
เพราะคุณแม่เจอร้าน Tamago หรือไข่หวานอร่อยๆเต็มไปหมด
รวมถึง Hot Green Tea ที่ทำกันสดๆ คนต่อแถวกันยาวๆ และ
Strawberry Mochi แค่กินทั้งหมดนี้ก็อิ่มแล้ว
หรือ
11am : เดินทางไป Tokyo DisneySea โดยลงที่สถานี Maihama
ซึ่งรอบนี้ออนไม่ได้ซื้อตั๋
กดจองไม่ได้เลยซักเว็ป เหมือนเป็นช่วง High Season ทำให้ราคาตั๋วขึ้น
แล้วในเว็ปที่ขายเป็นตั๋วรา
เอาหน้า Counter โชคดีว่าไปวันธรรมดา เลยไม่มีคิว เดินเข้าสบายๆ
ออนตั้งใจมา Mermaid Lagoon สุดๆ เพราะอยากมาถ่ายรูปมุ้งมิ้ง
โทน Aqua ที่ออนชอบ โดยระหว่างทางก็ซื้อที่คาดผ
และขนมทานกับคุณแม่ไปเพลินๆ
เพราะมีเวลาครึ่งวัน ไว้รอบหน้าจะมาแบบ Two Day Pass
นอนยาวๆที่นี่กันไป แล้วจะเล่นวนไปเลย)
3pm : ออกจาก Tokyo DisneySea ด้วยความที่เวลายังเหลือ
คุณแม่เลยชวนไปแถว Ueno เพื่อถ่ายกับซากุระ ดังนั้นจึงเดินทาง
มาลงที่สถ
ซากุระสวยๆ (นักท่องเที่ยวที่นี่เยอะมา
5pm : คุณน้าออนจอง Omakase ไว้ให้ที่ร้าน Kitaohji
ตรงสถานี Shinagawa โดยร้านนี้เป็นร้าน Omakase
ที่มีแต่คนญี่ปุ่นกินจริงๆ ไม่มีนักท่องเที่ยว ส่วนมากจะเป็นนักธุรกิจมากิ
หรือมาคุยงาน เพราะมีทั้งโซนบาร์และห้องส่ว
เนื่องจากตัวร้านอยู่ในตึก Shinagawa Grand Central Tower
(ตึกออฟฟิศ และเป็นตึกที่ตั้งของ Microsoft) ร้านจะอยู่บริเวณชั้น 1 เลย
โดยออกมาทาง Konan Exit และเดิน Sky Walk เชื่อมเพื่อเข้าตึก
มื้อนี้เป็น Omakase แบบ Kappou Style ที่จะไม่ได้มีแค่ซูชิ
แต่จะมีทั้งปลาดิบ ของทอด ชาบูต่างๆ ผสมรวมกันไป บอกเลยว่าเด็ดมากกกก
เชฟมาเอโนะทำให้แบบฟินทุกคำ
ที่นี่คือสุดของที่สุด ทุบทำลายสถิติจากที่เมกาเมื่
หวานละมุนทุกสิ่งอันจริงๆ
ราคาคอร์สละประมาณ 4,000 บาท อิ่มๆแบบจุกๆ ตามในรูปเลย
(จริงๆมีเยอะกว่านี้ รวมๆประมาณ 14 คำ) ใครสนใจก็ไปลองกันได้ค่ะ
โทรไปจองได้เลย ทางร้านมีพนักงานที่พูดอังก
Day 4
9.30am : วันนี้ได้ตื่นสายแบบชิวๆหน่อย เพราะโปรแกรมหลวมๆ
สบายๆ ตอนเช้าเลยมาที่ Asakusa เพื่อความเป็นสิริมงคลและ
ความโชคดี ด้วยความที่ไม่เร่งรีบ เลยมีเวลาเดินดูร้านของฝากนั่นนี่
เต็มไปหมด จนกระทั่งมาถึงในตัววัด ก็ทำการไหว้สักการะต่างๆตามที่ควรทำ
หลังจากนั้นก็หามุมถ่ายกับซากุระสวยๆ
11.30 : ออนปล่อยคุณแม่ให้เดินเล่นที่ Asakusa ต่อ
เพราะคุณแม่อยากเดินรอบๆแถวนั้น ส่วนออนมีภารกิจฟิชโช่ที่จะต้อง
รีบกลับมาแถว Roppongi เพื่อกิน Sukiyabashi Jiro หรือซูชิเทพ
ที่ได้ 2 Michelin Stars โดยเชฟ Takashi ลูกชายของ Jiro
ออนให้ทาง Voyagin จัดการจองให้ โดยมีค่าใช้จ่ายในการ
จองประมาณ 7000 JPY บางคนอาจจะคิดว่าแพง หรือไร้สาระ
แต่ถ้าเทียบกับความปวดหัว ที่ออนต้องไล่ขอความช่วยเหลือจาก
คนให้ช่วยโทรให้ หรือหา Concierge service ของโรงแรมจัดการ
น่าจะยุ่งยากกว่า ออนเลยตัดสินใจโอนค่า Management fee ไป
โดยทางเว็ปจะจัดการจองให้ ตามช่วงวันและเวลาที่ออนแจ้งไป
(ออนแจ้งไปว่าสะดวก 4 วันเลย เวลาไหนก็ได้ ขอให้ได้)
และสุดท้าย ทาง Voyagin ก็จัดการจองให้ออนได้
และนี่แหละ..คือต้นเหตุของทริปนี้
เพราะทาง Voyagin จองให้ออนได้แล้ว ออนเลยต้องซื้อตั๋ว
จองโรงแรม และร้านอื่นๆ เพื่อบินมากินเลย โดยรวมรสชาติโอเค
ไม่ได้ว้าววววแบบร้าน Omakase ในไทยที่เราคุ้นๆกัน ด้วยความที่
เค้าเน้นความดั้งเดิม ไม่ปรุงแต่ง ถือว่าซักครั้งในชีวิตก็โอเคละ
(Mission ต่อไปคือการที่จะต้องไปกินกับ Jiro คนพ่อให้ได้
เพราะตอนนี้ Jiro ก็ 93 แล้ว จองยากจองเย็นเหลือเกิน)
2pm : หลังจากกินเสร็จ ออนก็นัดคุณแม่มาเจอที่ Roppongi Mid Town
โดยให้คุณแม่ขึ้นมาทางออก Mid Town เลย ก็จะเจอโรงแรม Ritz Carlton Roppongi และนี่คือจุดที่ถ่ายซากุระสวยมากกกกกกกกกกกกก
ออนได้รูปกับซากุระสวยๆที่นี่หลายรูปมาก มีมุมถ่ายหลายมุม
นักท่องเที่ยวน้อย ไม่ต้องแย่งกับใคร ยืนถ่ายได้สบยๆ
มาตรงนี้คือแฮ๊ปปี้เว่อร์ จบ พอเลย
4pm : ไปที่ร้าน DUMBO ตรงสถานี Azabu Juban โดยสถานีนี้อยู่ห่างจาก Roppongi แค่ 1 สถานีเท่านั้น ด้วยความที่นั่งหา IG's Worthy Spot
แถวๆโรงแรมมา และร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น มีหรอจะพลาดดด
ร้านนี้เป็นร้านที่ขายโดนัทและเครื่องดื่ม Inspired
มาจากพวกร้านใน NYC โดยจุดเด่นก็คือการวางโดนัทไว้บน
ถ้วยเครื่องดื่ม เพื่อถ่ายรูปเก๋ๆเนี่ยแหละ ในร้านจะมีโดนัทหลาย
รสชาติมาก และมีเครื่องดื่มทั้งร้อน และเย็นเลย ออนชอบรสชาติ
ของร้านนี้ที่ไม่หวานมาก ทำให้กินได้หมด ไม่เลี่ยน ไม่บาดคอ
5.30pm : ไปเดินซุปเปอร์แถวหน้าโรงแรม พร้อมกลับเข้าห้องพัก
เพื่อเตรียมแพ๊คกระเป๋า จัดแจงของที่ซื้อมาลงกระเป๋า
สบายๆ ตอนเช้าเลยมาที่ Asakusa เพื่อความเป็นสิริมงคลและ
คว
เต็มไปหมด จนกระทั่งมาถึงในตัววัด ก็ทำการไหว้สักการะต่างๆตาม
หลังจากนั้นก็หามุมถ่ายกับซ
11.30 : ออนปล่อยคุณแม่ให้เดินเล่นที่
เพราะคุณแม่อยากเดินรอบๆแถว
รีบกลับมาแถว Roppongi เพื่อกิน Sukiyabashi Jiro หรือซูชิเทพ
ที่ได้ 2 Michelin Stars โดยเชฟ Takashi ลูกชายของ Jiro
ออนให้ทาง Voyagin จัดการจองให้ โดยมีค่าใช้จ่ายในการ
จองประ
แต่ถ้าเทียบกับความปวดหัว ที่ออนต้องไล่ขอความช่วยเหลือจาก
คนให้ช่วยโทรให้ หรือหา Concierge service ของโรงแรมจัดการ
น่าจะยุ่งยากกว่า ออนเลยตัดสินใจโอนค่า Management fee ไป
โดยทางเว็ปจะจัดการจองให้ ตามช่วงวันและเวลาที่ออนแจ้
(ออนแจ้งไปว่าสะดวก 4 วันเลย เวลาไหนก็ได้ ขอให้ได้)
และสุดท้าย ทาง Voyagin ก็จัดการจองให้ออนได้
และนี่แหละ..คือต้นเหตุของท
เพราะทาง Voyagin จองให้ออนได้แล้ว ออนเลยต้องซื้อตั๋ว
จองโรงแรม และร้านอื่นๆ เพื่อบินมากินเลย โดยรวมรสชาติโอเค
ไม่ได้ว้าววววแบบร้าน Omakase ในไทยที่เราคุ้นๆกัน ด้วยความที่
เค้าเน้นความดั้
(Mission ต่อไปคือการที่จะต้องไปกินกับ
เพราะตอนนี้ Jiro ก็ 93 แล้ว จองยากจองเย็นเหลือเกิน)
2pm : หลังจากกินเสร็จ ออนก็นัดคุณแม่มาเจอที่ Roppongi Mid Town
โดยให้คุณแม่ขึ้นมาทางออก Mid Town เลย ก็จะเจอโรงแรม Ritz Carlton Roppongi และนี่คือจุดที่ถ่ายซากุระส
ออนได้รูปกับซากุระสวยๆที่นี่
นักท่องเที่ยวน้อย ไม่ต้องแย่งกับใคร ยืนถ่ายได้สบยๆ
มาตรงนี้คือแฮ๊ปปี้เว่อร์ จบ พอเลย
4pm : ไปที่ร้าน DUMBO ตรงสถานี Azabu Juban โดยสถานีนี้อยู่ห่างจาก Roppongi แค่ 1 สถานีเท่านั้น ด้วยความที่นั่งหา IG's Worthy Spot
แถวๆโรงแรมมา และร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้
ร้านนี้เป็นร้านที่ขายโดนัท
มาจากพวกร้านใน NYC โดยจุดเด่นก็คือการวางโดนัท
ถ้วยเครื่องดื่ม เพื่อถ่ายรูปเก๋ๆเนี่ยแหละ ในร้านจะมีโดนัทหลาย
รสชาติม
ของร้านนี้ที่ไ
5.30pm : ไปเดินซุปเปอร์แถวหน้าโรงแร
เพื่อเตรียมแพ๊คกระเป๋า จัดแจงของที่ซื้อมาลงกระเป๋
Day 5
10am : Check-Out จากโรงแรม พร้อมฝากกระเป๋าไว้
วันนี้วันสุดท้าย แต่ไฟลท์ตอนเที่ยงคืน เท่ากับว่ามีเวลาเที่ยวทั้งวันแบบเต็มๆ
12pm : ออนเลยพาคุณแม่นั่งรถไฟไปที่ Kawagoe เมืองเล็กๆ
ที่เรียกว่าเป็น Little Edo โดยเมืองนี้ห่างจากโตเกียวมาประมาณชั่วโมงกว่าๆ
จุดประสงค์คือเพื่อสานฝันคุณแม่ให้ได้ใส่ชุมกิโมโน
ถ่ายรูปในบรรยากาศสวยๆ แถมนั่งรถลาก และเดินกุ๊งกิ๊งไปในเมืองเก่า
ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้ ม่ีที่ Kawagoe ครบ!! ออนนั่งมาลงที่ Kawagoe
แล้วจะต้องต่อรถบัสเข้าไปถึงตัวเมือง ใช้เวลาจากตรงสถานีถึง
ตัวเมืองประมาณ 5 นาที
โดยร้านกิโมโนที่ออนเช่าในครั้งนี้คือร้าน Vivian ลองหาใน
Google ก็จะขึ้นเว็ปของเค้า พร้อมพิกัดเลย แนะนำให้ส่งอีเมล์ไป
จองล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะเค้าจะไม่ค่อยรับลูกค้า Walk-in เท่าไหร่
เนื่องจากมีพนักงานที่ช่วยดูแล ช่วยแต่งตัวค่อนข้างจำกัด
ข้อดีคือร้านอยู่ตรงหอนาฬิกา กลางตัวเมืองเลย เช่าเสร็จ
เดินออกมาถ่ายรูปได้สวยๆเลย
กิจกรรมหลักๆของวันนี้ก็คือถ่ายรูปในชุดกิโมโนตามซอก ซอย
ตึกเก่าต่างๆ เพื่อให้ได้บรรยากาศ ต่อด้วยการนั่งรถลาก
โดยคนลากรถจะพาวิ่งไปชมทั่วเมือง และหยุดให้ถ่ายรูปตามจุดสำคัญ
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ราคา 3000 JPY สำหรับ 2 คน หลังจาก
นั้นก็เดินหาของกินรัวๆ เพราะเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องขนมอร่อย
ทั้งมันหวาน ไอติมมันม่วง และอีกเยอะแยะมากมาย
4.30pm : กลับมาถึงโตเกียว พร้อมเดินทางกลับไปแถว Roppongi
โดยแวะสวนสาธารณะเล็กๆที่อยู่หน้าโรงแรม และถ่ายรูปกับซากุระ
แบบที่เห็นนั่นเอง สวนนี้มีซากุระหลายต้นอยู่ เป็นสวนเล็กๆ ที่ไม่มีใครไป
ทำให้ถ่ายรูปได้สบาย ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องเบียด ไม่ติดคน
5pm : เดินจากโรงแรมไปร้าน Yakiniku Daichi Roppongi
ซึ่งเป็นร้านที่ห่างจากโรงแรมมาแค่ 200 กว่าเมตร เรียกว่าอยู่ฝั่งตรง
ข้ามเลยก็ได้ ร้านนี้ออนเห็นใน IG นานแล้ว และชอบความเนื้อดิบ
ทุกอย่างดิบ และเน้น Uni ของเค้ามา เลยตัดสินใจ Follow ไว้
จนกระทั่งจองโรงแรมเสร็จ ลองมาเช็คพิกัด เอ๊าาาาา
มันใกล้กันมากก นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ
ร้านนี้จะเป็น Yakiniku หรือร้านปิ่งย่างสไตล์ญี่ปุ่น แต่จุดเด่นของเค้าคือ
เค้าเสิร์ฟพวก Yukke หรือเนื้อดิบต่างๆ พร้อมพวก Wagyu กับ Uni
ที่้เป็น Signature dish ของเค้า จะบอกว่ามันฟินมากกก
มันละมุนมากกกกก ทั้งหมดในรูปออนกินเอง (จริงๆมี Yukke อีกจาน
แค่ไม่ได้เอามาลง) ส่วนคุณแม่กิน Scallops กับ Kimchi ไป
เพราะเป็นไม่กี่เมนู ที่ไม่ใช่เนื้อ 55555
7pm : ออกเดินทางไปสนามบิน Haneda โดยขากลับเลือกนั่งแท็กซี่ไป
เพื่อความสะดวกสบาย
12am : เดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
วันนี้วันสุดท้าย แต่ไฟลท์ตอนเที่ยงคืน เท่ากับว่ามีเวลาเที่ยวทั้ง
12pm : ออนเลยพาคุณแม่นั่งรถไฟไปที
ที่เรียกว่าเป็น Little Edo โดยเมืองนี้ห่างจากโตเกียวม
จุดประสงค์คือเพื่อสานฝันคุ
ถ่ายรูปในบรรยากาศสวยๆ แถมนั่งรถลาก และเดินกุ๊งกิ๊งไปในเมืองเก่
ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้ ม่ีที่ Kawagoe ครบ!! ออนนั่งมาลงที่ Kawagoe
แล้วจะต้องต่อรถบัสเข้าไปถึ
ตัวเมื
โดยร้านกิโมโนที่ออนเช่าในค
Google ก็จะขึ้นเว็ปของเค้า พร้อมพิกัดเลย แนะนำให้ส่งอีเมล์ไป
จองล่วง
เนื่องจากมีพนักงานที่ช่วยด
ข้อดีคือร้านอยู่ตรงหอนาฬิก
เดินออกมาถ่ายรูปได้สวยๆเลย
กิจกรรมหลักๆของวันนี้ก็คือ
ตึกเก่าต่างๆ เพื่อให้ได้บรรยากาศ ต่อด้วยการนั่งรถลาก
โดยคนลากรถจะพาวิ่งไปชมทั่ว
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ราคา 3000 JPY สำหรับ 2 คน หลังจาก
นั้นก็เดินหาของกินร
ทั้งมันหวาน ไอติมมันม่วง และอีกเยอะแยะมากมาย
4.30pm : กลับมาถึงโตเกียว พร้อมเดินทางกลับไปแถว Roppongi
โดยแวะสวนสาธารณะเล็กๆที่อยู่
แบบที่เ
ทำให้ถ่ายรูปได้สบาย ไม่ต้องแย่ง ไม่ต้องเบียด ไม่ติดคน
5pm : เดินจากโรงแรมไปร้าน Yakiniku Daichi Roppongi
ซึ่งเป็นร้านที่ห่างจากโรงแ
ข้ามเลย
ทุกอย่างดิบ และเน้น Uni ของเค้ามา เลยตัดสินใจ Follow ไว้
จนกระทั่งจองโรงแรมเสร็จ ลองมาเช็คพิกัด เอ๊าาาาา
มันใกล้กันมากก นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ
ร้านนี้จะเป็น Yakiniku หรือร้านปิ่งย่างสไตล์ญี่ปุ่น แต่จุดเด่นของเค้าคือ
เค้าเสิร์ฟพวก Yukke หรือเนื้อดิบต่างๆ พร้อมพวก Wagyu กับ Uni
ที่้เป็น Signature dish ของเค้า จะบอกว่ามันฟินมากกก
มันละมุนมากกกกก ทั้งหมดในรูปออนกินเอง (จริงๆมี Yukke อีกจาน
แค่ไม่ได้เอามาลง) ส่วนคุณแม่กิน Scallops กับ Kimchi ไป
เพราะเป็นไม่กี่เมนู ที่ไม่ใช่เนื้อ 55555
7pm : ออกเดินทางไปสนามบิน Haneda โดยขากลับเลือกนั่งแท็กซี่ไ
เพื่อความสะดวกสบาย
12am : เดินทางกลับประเทศไทยโดยสวั
ออนทำ Vlog เที่ยวมาให้ดูด้วยค่ะ
จะได้เห็นภาพ เหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกันเลย
หวังว่าจะชอบกันนะคะ
สวัสดีค่า