กู้ผิวพัง! ด้วยธรรมชาติ

43 11
สวัสดีค่ะสาวๆ ชาวจีบันทุกคน จริงๆ เราอยากจะเขียนแนะนำสกินแคร์มาหลายเดือนแล้ว แต่ดันดองไว้จนเลยซัมเมอร์มานานม๊ากกกกกกกก อย่าว่ากันน้าาาาา

สกินแคร์ที่เราอยากจะแนะนำ เป็นสินค้าของไทยๆ คนไทยทำเองเลยนะยูวววว ช่วงซัมเมอร์เราไปทะเลมาแล้วก็ได้สกินแคร์ติดไม้ติดมือมาเยอะแยะ เห็นว่ามันเป็นสมุนไพรไทยๆ แถมยังดูดีดูน่าคบหาเลยสอยมาใช้เลยจ้า ผลคือมันดีอะยูวววววว ไม่ใช่แค่เรานะที่รู้สึกว่ามันเวิร์คมาก เพื่อนๆ เราที่สอยมาด้วยกันก็ปลื้มปริ่มกันน่าดู เลยอยากแชร์ให้โลกได้รู้ ของไทยทำเองไม่แพ้สกินแคร์แบรนด์ดังนะตัว

1. โทนเนอร์สมุนไพร อภัยภูเบศร์ ปราศจากแอลกอฮอล์

แบรนด์นี้สาวไทยต้องรู้จักกันดี เริ่มต้นตัวแรกที่โทนเนอร์ก่อนเลย โทนเนอร์เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำความสะอาด โดยจะเก็บสิ่งสกปรกที่ตกค้างหลังล้างหน้า และเป็นการเปิดผิวเพื่อรับสารบำรุงในขั้นตอนต่อไป ส่วนตัวเป็นคนผิวผสมค่ะ และชอบมีสิวอุดตันบริเวณแก้ม เลยชอบใช้โทนเนอร์เพราะช่วยลดสิวได้ดี
คุณสมบัติ : โทนเนอร์ตัวนี้มีสมุนไพร 3 อย่าง เราดูแล้วมันใช่เลย ตรงกับความต้องการของเรามาก 
แตงกวา : สายบิวตี้ต้องรู้ดีกว่าแตงกวาเป็นมิตรกับผิวแบบสุดๆ แตงกวามีฤทธิ์เย็นช่วยลดอุณภูมิผิว หลังจากออกแดดมา ผิวจะแสบร้อนทำให้เกิดสิวง่าย และช่วยเติมเติมน้ำให้ผิวเติมความชุ่มชื้นกับผิว โดยเฉพาะผิวที่แห้งกร้าน หรือเพิ่งโดนแดดเผา และยังผลัดเซลล์ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ 
ใบบัวบก : เราเคยคั้นใบบัวบกสดๆ มาพอกหน้า บอกเลย “พี่คะ ไม่ไหวจริงๆ TT_TT” แต่ใบบัวบกขึ้นชื่อเรื่องคอลลาเจนและอิลาสติน ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เป็น Anti Aging จากธรรมชาติที่แท้ทรู และช่วยลดสิว ลดการอักเสบของสิวด้วย
มะขามป้อม : ให้กินแบบสด ๆ อันนี้ขอผ่านโดยไว แต่มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก และยังคงปริมาณได้ดีแม้ผ่านกระบวนการให้ความร้อนหรือเย็น (ปกติผลไม้จะสูญเสียวิตามินซีได้ง่าย) ถึงจะแปรรูปแล้วแต่วิตามินซีในมะขามป้อมยังคงปริมาณเกือบเท่าเดิม แน่นอนว่าพี่เค้าต้องขึ้นชื่อเรื่องผิวขาวใส ลดความหมองคล้ำ และลดการถูกทำลายของผิวจากแสงแดด นอกจากความขาวใส มะขามป้อมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเนียนนุ่มมากด้วย
ความรู้สึกขณะใช้ : เราจะใช้โทนเนอร์ 2 วิธี คือ หยดบนสำลีแล้วเช็ด กับ หยดบนฝ่ามือแล้วตบ ๆ เบา ๆ

วิธีแรก : จะใช้ตอนกลางคืน เพราะวันทั้งวันเราเจอมลภาวะเยอะ หน้ามัน เลยอยากเช็ดเอาสิ่งตกค้างออก แต่ว่า!! วิธีนี้กลับทำให้เรารู้สึกแสบผิวเบาๆ ยิ่งถ้าเรามีรอยแผลจากสิว หรือเพิ่งโกนขนหน้ามาจะรู้สึกแสบบริเวณนั้นเป็นพิเศษ แต่รู้สึกเป็นบางจุดนะ ไม่ทั่วทั้งหน้า ลดแรงตึงหลังล้างหน้าจริง ในส่วนของสำลีนั้น ไม่ยุ่ยเป็นขุย เช็ดง่ายและลื่นดี อันนี้นี้เริ่ด
วิธีที่ 2 : อันนี้ไม่รู้สึกแสบผิว แต่รู้สึกได้ทันทีว่าผิวหน้าชุ่มชื้นกว่าวิธีแรก และผิวไม่ตึงด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้ : รู้สึกเหมือนใช้โทนเนอร์ผสมน้ำตบเลย มันว้าวมาก! หลังล้างหน้ามาหน้าจะแห้งๆ ตึงๆ แล้วพอตบโทนเนอร์หรือจะเช็ดก็ได้ ช่วยลดแรงตึงผิวได้จริง(จริงจังมาก) ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื่น รู้สึกได้เลย แล้วที่แปลกกว่าโทนเนอร์อื่น ๆ คือ เหมือนจะเติมน้ำให้ผิวได้จริง ๆ นะ มีความฉ่ำเบาๆ อันนี้ชอบมาก
ปล. อยากให้ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้นะ ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวบอบบางมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย โทนเนอร์ตัวนี้อาจจะแรงเกินไป และผิวเจอแดดมา ยังแสบ ๆ อยู่ตัวนี้เราไม่แนะนำนะ(ความเห็นส่วนตัว) ให้ผิวปรับสภาพสักระยะก่อนจะดีกว่า เราแนะนำว่าใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกุหลาบจะดีกว่า เพราะกุหลาบมีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และสมานผิว แต่ที่ไม่หยิบมารีวิวเพราะที่ใช้อยู่เป็นของต่างประเทศมันผิดธีมจ้า

2.    เซรั่มเจลทานาคา วูดส์เฮิร์บ

หลังจากลงโทนเนอร์แล้วก็ต่อด้วยเซรั่มกันเลย ตัวนี้เขามากันสองสีพี่น้อง สูตรกลางวันและกลางคืนจ้า เราชอบที่ทานาคามารูปแบบของเซรั่มทำให้ใช้ง่ายขึ้นเยอะ แบรนด์นี้เขาใช้ทานาคาในท้องถิ่นของไทยเรานี่แหละ มีบ้างบางส่วนที่นำเข้าจากเพื่อนบ้าน
คุณสมบัติ : สามารถกรองรังสียูวี ลดการอักเสบ และยับยั้งแบคทีเรียได้ มีคุณสมบัติเป็น Whitening จากธรรมชาติแท้ๆ ลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ ผิวหน้ากระจ่างใส มีสารเป็นพิษน้อยจึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ส่วนตัวเราเคยเห็นผิวของชาวพม่า เป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่างแต่นี่ผิวผู้ชาย(ฮีพอกทานาคามาทั้งหน้า) เห็นระยะใกล้คือน้องหน้าใสมาก เนียนกริ๊บ เนียนมาก มากจนผู้หญิงยังอาย(TT^TT)
ความรู้สึกขณะใช้ : ใช้ง่ายมาก เซรั่มเนื้อเจลไม่เหนอะหนะ ซึมเร็ว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ (ชอบกลิ่น^^) สูตรกลางคืนจะเข้มข้นกว่าสูตรกลางวัน เทียบได้จากสีของเซรั่มเลยจ้า อันนี้ผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้ ด้วยคุณสมบัติของทานาคาอยู่แล้ว เขาบอกว่าให้ทาทั้งหน้าและลำคอ ได้หน้าอย่าลืมคอนะจ๊ะ
ผลลัพธ์ที่ได้ : อันดับแรกเลยรูขุมขนกระชับขึ้น ผิวกระชับขึ้น จุดด่างดำจางเร็ว ลดรอยคล้ำใต้ตา หางตาดูกระชับขึ้น ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ไม่ถึงกับเร็วติดสปีดขนาดนั้น แต่มันจะค่อย ๆ ใสขึ้น จากที่หมองๆ เหมือนราหูอมจันทร์ก็ค่อย ๆ ใสขึ้น แต่ยังไงก็ไม่ขาวขนาดเปลี่ยน DNA ไปเลยนะจ๊ะ

3.    Aloe Hydrating Gel เซรั่มว่านหางจระเข้ SM สยามมินตรา​​

ต่อกันที่เซรั่มอีกแล้วครับท่าน! เพราะเราต้องการความชุ่มชื้นแบบขั้นสุด เซรั่มตัวนี้ได้มาพร้อม ๆ กับตัวที่แล้ว ตอบโจทย์กันคนละอย่าง มีความว้าว! อีกเหมือนกัน เพราะว่าเป็น “ว่านหางจระเข้ออแกนิก” และเขามีฟาร์มว่านหางจระเข้ออแกนิกเป็นของตัวเองจ้า    จริงๆ ประเทศไทยเราส่งออกว่านหางจระเข้เพื่อผลิตเป็นเครื่องสำอางเยอะมาก มีที่ผลิตในประเทศเองก็มี คุณภาพและราคาก็แตกต่างกันไป มีเคล็ดลับความงามของคุณพ่อ(ของเพื่อน) ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ท่านใช้ว่านหางจระเข้สดทาบนหน้า(สมัยนั้นไม่มีสกินแคร์) จนถึงเดี๋ยวนี้ยังใช้อยู่... ตอนนี้หน้าหนูจะทันพ่อแล้วค่ะ (-__-“) เราเลยลองบ้าง หยิบว่านหางจระเข้มา ปาดๆเอาเปลือกเขียว ๆ ออก ใช้แค่เนื้อใส ๆ ข้างใน..ผลคือ “คันค่ะ” เลิก! ในเปลือกว่านหางจระเข้จะมียางอยู่ ถ้าปาดสีเขียวออกแล้วทิ้งไว้สักพักจะเห็นยางสีเหลืองๆ อันนั้นต้องล้างออกให้หมดค่ะ ไม่งั้นคัน และแพ้แน่นอน! 
คุณสมบัติ :  จริง ๆ ไม่ต้องพูดเยอะ เพราะออกแดดมา After sun ต้องโบกว่านหางจระเข้แบบรัวๆ เพราะว่านหางจระเข้รักษาอาการปวด แสบร้อน สมานแผลและป้องกันการเกิดแผลเป็น (แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกให้ใช้ว่านหางจระเข้สดประคบตลอด 2 วันแรก แผลจะหายเร็ว) ถ้าใช้ก่อนออกแดดจะช่วยป้องกันแสงแดดได้ ถ้านำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกจะช่วยบรรเทาผิวแสบร้อนและลดอาการแห้งตึงของผิวได้ดี
ความรู้สึกขณะใช้ : เนื้อเซรั่มเป็นเจลสีขาว สีเหมือนเนื้อของว่านหางจระเข้จริงๆ ถ้าใครเคยใช้ว่านหางจระเข้สดๆ จะเห็นว่าเนื้อจะมีสีขาวๆ ใส ๆ กลิ่นก็เป็นกลิ่นของว่านหางจระเข้ ไม่ได้ใส่น้ำหอมแต่งสีแต่งกลิ่นเลย เนื้อเซรั่มมีความข้นและคงรูปได้มากกว่าเจลทั่วไป ที่สำคัญคือซึมเร็วมาก! ผิวชุ่มชื่น ไม่แห้งตึง
ผลลัพธ์ที่ได้ :เพราะเป็นเซรั่มเลยเห็นผลเร็วและชัดเจนกว่าเจลธรรมดา รู้สึกได้เลยว่าหน้ามันน้อยลง แผลเป็น รอยสิวหายไว ที่สำคัญคือ รอยไหม้จากแดดจางไวมาก ไม่แสบร้อน เจอแดดจัดๆ มา โบกตัวนี้ไปได้เลย ไม่แสบผิว ผิวเย็นขึ้นเร็ว เห็นผลไวกว่า สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย หรือผิวบางมาก ใช้ได้ไม่แพ้ (ความเห็นจากเพื่อนที่แพ้ครีมมาหลายสถาบัน) แผลไฟไหม้ก็ใช้ได้นะ ลองมาแล้ว แผลหายไวมาก
ปล.ควรใช้ให้หมดก่อนหมดอายุนะจ๊ะ เค้าบูดได้นะเธอ

4.    ผงทานาคา วูดส์เฮิร์บ​

เจ้าเดียวกับเซรั่มทานาคา เปิดกระปุกมาตกใจมาก! ของเขาอัดมาเต็มกระปุกเลย ใครเคยใช้แป้งพม่าอาจจะเคยเจ็บใจเหมือนเรา กระปุกใหญ่มาก แต่แป้งจริงๆมีไม่ถึงครึ่งกระปุก (TT^TT) มาเจออันนี้แบบดีใจมากอัดมาแน่นกระปุกเลย (5555 หัวเราะแบบผู้ชนะ)
คุณสมบัติ : ควบคุมความมัน ป้องกันแสงแดด ใช้แทนแป้งได้ ใช้พอกหน้าหรือสครับก็ได้
ความรู้สึกขณะใช้ : จากความรู้สึกเราว่าของเขาเป็นผงทานาคา100% ตัวผงเนียนละเอียดคล้ายแป้ง แต่แป้งเนียนกว่า ถ้าใช้ทาไปเลยเหมือนแป้งจะไม่เห็นความต่าง แต่ถ้าผสมน้ำจะเห็นความต่างได้ชัดเจน
เลย ผงทานาคาจะซับน้ำได้ดีกว่าแป้งและเนื้อจะหยาบขึ้นต่างจากแป้ง เพราะเป็นเนื้อไม้ล้วน ๆ ไม่ผสมแป้ง อันนี้อาจจะต้องลองเองถึงจะเห็นความต่าง

วิธีใช้ผงทานาคามี 3 วิธี

1.ใช้กับพัฟเหมือนลงแป้ง แล้วหลังจากนั้นใช้น้ำแร่ฉีดทับ ไม่ต้องฉีดเยอะเดี๋ยวจะเป็นคราบ ทิ้งไว้สักครู่แล้วค่อยใช้ทิชชูซับส่วนเกินออก ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำแร่ก็ได้ แต่ถ้าต้องการเมตตามหานิยมใช้น้ำมนต์เลยค่ะ

2.ใช้ผงทานาคาผสมน้ำ แล้วทาลงบนหน้า วิธีนี้ผงทานาคาจะติดหน้าได้ดีกว่าวิธีแรก แต่ข้อเสียคือคราบอื้อเลยจ้า วิธีนี้เราใช้พอกหน้าตอนเป็นสิวเยอะๆ หรือพอกก่อนนอนก็เวิร์กนะ

3.ใช้ผสมกับโยเกิร์ตและมะนาวสำหรับพอกหรือขัดหน้า ผิวจะเนียนนุ่มขึ้น ใสขึ้น แต่ไม่แนะนำให้ผสมกับมะนาวเพียวๆ เพราะจะแสบหน้ามาก!! คนเป็นสิวงดใช้เป็นสครับนะจ๊ะ(ยังมีสูตรอีกเยอะลองหาดูเน้อ)
ผลลัพธ์ที่ได้ : โห~ อันนี้ชอบมาก ไม่ต้องเสี่ยงกับแร่ใยหินด้วย ใช้แทนฝุ่นได้เลยคุมมันได้มีมาก ดีกว่าแป้งฝุ่นที่เคยใช้เลย เรามีผิวผสมจะมันเยอะช่วงทีโซน แต่ผงทานาคาเอาอยู่ เหลือส่วนที่มันแค่จมูกเท่านั้นที่เหลือนางคุมไว้หมดแล้ว แต่เราไม่แนะนำว่าให้ใช้กับรองพื้นหรือบีบีนะ เพราะว่าผงทานาคามีสีออกเหลือง ทาทับรองพื้นสีอาจจะเพี้ยนได้ หรือหน้าจะเหลืองจนเกินไป(ความเห็นส่วนตัวอีกนั่นแหละจ้า) ใช้พอกหน้าสิวยุบเร็วขึ้น ใช้เป็นสครับได้ไม่บาดผิวจ้า

5.    โรส คัพเค้ก ลิปทรีทเมนต์ Lovella Organics

ไอเทมติดตัวที่เราขาดไม่ได้เลยคือลิปบาล์ม เพราะเราปากแห้งมาก ยิ่งทาลิปแมทจากจะยิ่งแห้งและลอก ต้องทาบาล์มเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนนะ
คุณสมบัติ : ลิปตัวนี้ได้รับการแนะนำมาอีกที เขาบอกว่าเป็นออแกนิกแท้(มีสัญลักษณ์ออกแกนิกรับรอง) ใช้แล้วไม่แพ้แน่นอน ที่สำคัญคือลิปอยู่ที่ปากเรา เรากินลิปตลอดทั้งวันแน่ๆ อย่างน้อยๆ เลือกที่ปลอดภัยไว้จะดีกว่า หลังจากออกแดดมาปากเราต้องมีคล้ำเสียบ้าง แห้งบ้าง ลิปบาล์มเป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ
ความรู้สึกขณะใช้ : กลิ่นหอมมาก หอมหวานๆ กลิ่นกุหลาบชัดเจนมาก เนื้อลิปเหมือนลิปมันปกติ ไม่รู้สึกหนักๆ หรือเหนอะหนะ
ผลลัพธ์ที่ได้ : ไม่แพ้ ปากเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ใช้ไปสักพักจะรู้สึกได้ว่าปากชุ่มชื้นยาวนานขึ้น แม้ว่าเราจะกินบ้าง ลิปหลุดไปบ้างแต่ปากไม่แห้ง ไม่ตึง ปากคล้ำๆ ก็จางลง ชมพูขึ้น ใช้ต่อเนื่อ จะรู้สึกว่าปากชุ่มชิ้นขึ้น
ปล.ควรใช้ให้หมดก่อนหมดอายุนะจ๊ะ เค้าบูดได้นะเธอ

 6.   สบู่เหลวขมิ้นผสมมะขาม เรือนไม้หอม

สูตรนี้สำหรับผิวมันและคล้ำเสีย จริงๆ เราผิวแห้ง (-__-*) และไม่ควรใช้สูตรนี้ แต่อยากได้มะขาม เพราะมะขามขึ้นชื่อเรื่องผิวใส เลยจัดสูตรนี้มา สำหรับผิวแห้งแนะนำสูตรขมิ้นผสมทองพันชั่งจะดีกว่า ส่วนตัวได้ลองใช้ทั้ง 2 สูตรแล้ว ชอบทั้งคู่ แต่ที่เอามารีวิวเป็นสูตรมะขามนะจ๊ะ
คุณสมบัติ : ทำความสะอาดผิว คราบเหงื่อไคลได้หมดจด มีส่วนผสมของขมิ้นชันและมะขามสด 
มะขาม : มีกรด AHA และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าเผยผิวใหม่กระจ่างใสกว่าเดิม ป้องกันผิวจากมลภาวะ ช่วยให้ผิวเรียบเนียนใส ลดจุดด่างดำ (ตอนนี้ไม่ทำเป็นจุดแต่ดำเป็นแถบเลย)
ขมิ้นชัน : ฆ่าเชื้อ ลดการเกิดสิว ลดรอยดำรอยแดงจากสิว ลดการอักเสบ ลดผดผื่น สมานผิว ให้ผิวเรียบเนียน ลดความมัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ในสมัยก่อนนิยมนำมาขัดผิวให้ผิวขาวเนียน(ตอนแรกจะเหลืองๆ ก่อน แล้วจะค่อยๆกระจ่างใสขึ้นแต่ใช้เวลา 2-3 วัน ลองกับขมิ้นสดมาแล้ว)
ความรู้สึกขณะใช้ : เนื้อสบู่ค่อนข้างเหลวไม่หนืดข้น เนื้อสบู่เป็นสีน้ำตาลใสๆ กลิ่นหอม กลิ่นคล้ายๆ กลิ่นมะขาม ฟองเยอะสะใจ อาบสะอาดมาก ไม่เหลือคราบเหงื่อไคล ไม่เหลือกลิ่นตัว แต่แอบตึงๆ ผิว เพราะสูตรนี้เป็นสูตรนี้สำหรับผิวมัน
ผลลัพธ์ที่ได้ : อาบสะอาด กลิ่นหอมดี ชอบ ผิวเนียนนุ่ม ถ้าใครผิวแห้ง ชอบอาบน้ำอุ่นแล้วยังชอบนอนห้องแอร์อีกไม่แนะนำ ถ้าใช้แล้วรู้สึกตึงผิวหลังอาบน้ำให้โบกมอยซ์เจอร์ทับทันที หรือจะทาน้ำมันมะพร้าว,baby oil,โลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้น เพราะผิวจะแห้งเกินไป เรื่องความขาว(ซื้อมาเพราะเหตุผลนี้แหละ) ส่วนตัวขาวขึ้นจริงแต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานผิวบุคคล เพราะของเพื่อนเราใช้ไม่ถึงอาทิตย์ก็เห็นผลแล้วแต่ของเราเป็นอาทิตย์เลยถึงจะเห็นผล แต่ไม่ถึงขนาดขาวมาก ขาวผิดหูผิดตา ขาวแบบกินกลูต้านะ ผิวก็จะใสๆ แล้วค่อยๆ ขาวขึ้น
ปล.มีวันหมดอายุข้างขวดนะจ๊ะ

7.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น(ต้องสกัดเย็นเท่านั้นนะคะ)​

ไปต่อกันที่น้ำมันมะพร้าวเป็นไอเทมที่อยากให้สาว ๆ  มีติดบ้าน ติดห้องน้ำ ติดโต๊ะเครื่องแป้งไว้เลยค่ะ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารพัดประโยชน์จริงๆ สามารถใช้ได้ทั้งผม ผิว และเล็บ
คุณสมบัติ : ในน้ำมันมีวิตามินมากมาย โดยเฉพาะ วิตามินอี มีสารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจน
  1. น้ำมันมะพร้าวช่วยคงความชุ่มชื่นของผิว และป้องกันอาการอักเสบ/ผิวแสบไหม้หลังจากเจอแดดเป็นเวลานาน แถมยังรักษาฝ้า กระ ปรับสีผิวให้ขาวใส และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติอีก(เราเจอแดดมาแดดทำร้ายคอลลาเจนในผิวเราไปเยอะ ทั้งเสียทั้งแก่ T_T)
  2. น้ำมันมะพร้าวกันแดดได้จริง อันนี้จากข้อมูลที่หามาเขาบอกว่าสามารถกันแดดได้ถึง SPF25 ถือว่าไม่น้อยเลยนะคะ (จริง ๆ ในน้ำมันจากพืชอื่น ๆ ก็มีสารกันแดดอยู่นะคะ) และยังเป็นสารกันแดดจากธรรมชาติ 100% เป็นมิตรกับผิวและสิ่งแวดล้อมด้วย

คราวนี้มาพูดถึงการใช้น้ำมันมะพร้าวกันบ้างค่ะ ส่วนตัวเราใช้น้ำมันมะพร้าว 3 วิธีหลักๆ

1. ใช้ทาผิวหลังอาบน้ำ ใช้ทั้งผิวหน้าและผิวตัวเลยค่ะ วิธีใช้คือ
1.1 หลังอาบน้ำก่อนจะเช็ดตัวให้ทาน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วตัวก่อน แล้วค่อยเช็ดตัว ทาโลชั่นหรือทาครีมกันแดดได้ตามปกติเลย ไม่เหนียวเหนอะหนะ
1.2 ถ้าใครกลัวตัวเหนียวให้ทาน้ำมันมะพร้าวทิ้งไว้สักพัก หรือจะนวดวนๆ คล้ายทาโลชั่นก่อนแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
1.3 สำหรับหน้าทำคล้าย ๆ กันค่ะ คือ หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว หยดน้ำมันมะพร้าวลงบนสำลีแล้วเช็ดให้ทั่วหน้า(อาจจะทำให้สำลียุ่ย เบาๆมือ ไว้นะคะ) หรือจะหยดลงบนฝ่ามือแล้วนวดเบาๆ ทั่วหน้าก็ได้ค่ะ หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
1.4 ใช้เป็นมาส์กก็ให้นวดเบาๆแล้วทิ้งไว้สัก 30 นาทีแล้วค่อยล้าง วิธีนี้ทำให้ฝ้า กระ จางลง ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น แต่งหน้าติดมากขึ้น ถ้าไม่รู้สึกเหนียว ทิ้งไว้ค้ามคืนเลยก็ได้ค่ะ
2.ใช้หมักผมก่อนสระ วิธีนี้ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผมเสียทั้งจากการทำเคมี ผมเสียจากความร้อน/แสงแดด ลดรังแค ลดผมร่วง และทำให้ผมยาวเร็วด้วย (ความลับอีกอย่างคือ น้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงขนตาให้หนา ดำ ยาวด้วย)
3.สครับปากอิ่มเอิบ โดยใช้น้ำตาลทรายแดง(ที่โรยบนเฉาก๊วย) + น้ำมันมะพร้าว สัดส่วนไม่มีนะ เอาที่พอใจเลย ผสมกันแล้วถูบนปากเบาๆ สัก 1-3 นาทีก็พอ จากนั้นล้างออก สครับจะขัดเอาเซลล์ผิวเก่าออก ปากจะเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น อิ่มฟู และสครับอร่อยด้วย
ความรู้สึกขณะใช้ : กลิ่นไม่ฉุน มีกลิ่นน้ำมันมะพร้าวอ่อนๆ ขนาดหมักไว้บนผมหรือทาบนตัวแล้วยังไม่ได้กลิ่นเลย แต่อาจจะมีบ้างที่ติดผ้าเช็ดตัว แต่ไม่ติดเสื้อผ้าหรือที่นอนเลยค่ะ ตัวน้ำมันมะพร้าวค่อนข้างเหลว ซึมเข้าผิวได้ดี ไม่เหนียวเหนอะหนะค่ะ
ปล.เราเลือกขวดเล็กค่ะ พอดีกับการใช้ เคยซื้อขวดใหญ่มาเห็นว่าคุ้มดี แต่ใช้หมดช้า น้ำมันเริ่มหนืดและกลิ่นเริ่มเปลี่ยน (ความเห็นส่วนตัวค่ะ)

8.น้ำมันบำรุงผม Coconut oil Silky Hair Coat​

อันนี้เป็นเจ้าเดียวกับน้ำมันมะพร้าวที่เราใช้ค่ะ ซื้อมาพร้อมกัน เพราะเราเป็นคนผมยาวเลยต้องใช้ น้ำมันบำรุงผมส่วนปลายผม เคยใช้มาหลายยี่ห้อนะแต่ชอบอันนี้ที่น้ำมันไม่เหนียว
คุณสมบัติ : ทำให้ผมแข็งแรง มีน้ำหนัก ไม่แตกปลาย นุ่มลื่น เงางาม ลดผมขาดหลุดร่วง ปกป้องผมจากความร้อน
ความรู้สึกขณะใช้ : น้ำมันของเขาค่อนข้างเหลวกว่ายี่ห้ออื่น ทาบนผมแล้วไม่เหนียว ผมลื่นในทันที ถึงจะแห้งแล้วก็ยังลื่นไม่พันกัน ใช้ขณะผมแห้งก็ได้ค่ะ ไม่เหนียวติดมือ ชอบมากเลยค่ะ
ผลลัพธ์ที่ได้ : เส้นผมเรียงตัวสวย มีน้ำหนัก ผมเงามาก แต่ผมไม่มัน เราลงแค่ปลายผม ถ้านำตัวแฮร์โค้ทกับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาเทียบ ตัวแฮร์โค้ทจะข้นกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ แต่เหลวกว่าแฮร์โค้ทยี่ห้ออื่นที่เคยใช้ และไม่เหลือน้ำมันติดมือด้วย
จริงๆ มีอีกหลายตัวเลยนะคะ ที่เป็นแบรนด์ไทยและผลิตจากสมุนไพรไทยเรานี่แหละ ช่วงที่อยากพักหน้าหรือผิวติดสารเราจะใช้สมุนไพรหรือสกินแคร์จากธรรมชาติค่ะ สารเคมีบางตัวทำให้ผิวดีแค่ชั่วขณะ แต่ผิวเสียระยะยาว จากประสบการณ์ส่วนตัวธรรมชาติ สมุนไพรเห็นผลช้าหน่อยแต่ทำร้ายเราน้อยที่สุด ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล จะเห็นผลช้าเร็วไม่เหมือนกันนะคะ วันนี้ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ขอบคุณค่ะ