กู้ผิวพัง! ด้วยธรรมชาติ
beautgreat 43 11
สวัสดีค่ะสาวๆ ชาวจีบันทุกคน จริงๆ เราอยากจะเขียนแนะนำสกินแคร์มาหลายเดือนแล้ว แต่ดันดองไว้จนเลยซัมเมอร์มานานม๊ากกกกกกกก อย่าว่ากันน้าาาาา
สกินแคร์ที่เราอยากจะแนะนำ เป็นสินค้าของไทยๆ คนไทยทำเองเลยนะยูวววว ช่วงซัมเมอร์เราไปทะเลมาแล้วก็ได้สกินแคร์ติดไม้ติดมือมาเยอะแยะ เห็นว่ามันเป็นสมุนไพรไทยๆ แถมยังดูดีดูน่าคบหาเลยสอยมาใช้เลยจ้า ผลคือมันดีอะยูวววววว ไม่ใช่แค่เรานะที่รู้สึกว่ามันเวิร์คมาก เพื่อนๆ เราที่สอยมาด้วยกันก็ปลื้มปริ่มกันน่าดู เลยอยากแชร์ให้โลกได้รู้ ของไทยทำเองไม่แพ้สกินแคร์แบรนด์ดังนะตัว
1. โทนเนอร์สมุนไพร อภัยภูเบศร์ ปราศจากแอลกอฮอล์
แบรนด์นี้สาวไทยต้องรู้จักกันดี เริ่มต้นตัวแรกที่โทนเนอร์ก่อนเลย โทนเนอร์เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำความสะอาด โดยจะเก็บสิ่งสกปรกที่ตกค้างหลังล้างหน้า และเป็นการเปิดผิวเพื่อรับสารบำรุงในขั้นตอนต่อไป ส่วนตัวเป็นคนผิวผสมค่ะ และชอบมีสิวอุดตันบริเวณแก้ม เลยชอบใช้โทนเนอร์เพราะช่วยลดสิวได้ดี
คุณสมบัติ : โทนเนอร์ตัวนี้มีสมุนไพร 3 อย่าง เราดูแล้วมันใช่เลย ตรงกับความต้องการของเรามาก
แตงกวา : สายบิวตี้ต้องรู้ดีกว่าแตงกวาเป็นมิตรกับผิวแบบสุดๆ แตงกวามีฤทธิ์เย็นช่วยลดอุณภูมิผิว หลังจากออกแดดมา ผิวจะแสบร้อนทำให้เกิดสิวง่าย และช่วยเติมเติมน้ำให้ผิวเติมความชุ่มชื้นกับผิว โดยเฉพาะผิวที่แห้งกร้าน หรือเพิ่งโดนแดดเผา และยังผลัดเซลล์ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
ใบบัวบก : เราเคยคั้นใบบัวบกสดๆ มาพอกหน้า บอกเลย “พี่คะ ไม่ไหวจริงๆ TT_TT” แต่ใบบัวบกขึ้นชื่อเรื่องคอลลาเจนและอิลาสติน ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เป็น Anti Aging จากธรรมชาติที่แท้ทรู และช่วยลดสิว ลดการอักเสบของสิวด้วย
มะขามป้อม : ให้กินแบบสด ๆ อันนี้ขอผ่านโดยไว แต่มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก และยังคงปริมาณได้ดีแม้ผ่านกระบวนการให้ความร้อนหรือเย็น (ปกติผลไม้จะสูญเสียวิตามินซีได้ง่าย) ถึงจะแปรรูปแล้วแต่วิตามินซีในมะขามป้อมยังคงปริมาณเกือบเท่าเดิม แน่นอนว่าพี่เค้าต้องขึ้นชื่อเรื่องผิวขาวใส ลดความหมองคล้ำ และลดการถูกทำลายของผิวจากแสงแดด นอกจากความขาวใส มะขามป้อมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเนียนนุ่มมากด้วย
ความรู้สึกขณะใช้ : เราจะใช้โทนเนอร์ 2 วิธี คือ หยดบนสำลีแล้วเช็ด กับ หยดบนฝ่ามือแล้วตบ ๆ เบา ๆ
วิธีแรก : จะใช้ตอนกลางคืน เพราะวันทั้งวันเราเจอมลภาวะเยอะ หน้ามัน เลยอยากเช็ดเอาสิ่งตกค้างออก แต่ว่า!! วิธีนี้กลับทำให้เรารู้สึกแสบผิวเบาๆ ยิ่งถ้าเรามีรอยแผลจากสิว หรือเพิ่งโกนขนหน้ามาจะรู้สึกแสบบริเวณนั้นเป็นพิเศษ แต่รู้สึกเป็นบางจุดนะ ไม่ทั่วทั้งหน้า ลดแรงตึงหลังล้างหน้าจริง ในส่วนของสำลีนั้น ไม่ยุ่ยเป็นขุย เช็ดง่ายและลื่นดี อันนี้นี้เริ่ด
วิธีที่ 2 : อันนี้ไม่รู้สึกแสบผิว แต่รู้สึกได้ทันทีว่าผิวหน้าชุ่มชื้นกว่าวิธีแรก และผิวไม่ตึงด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้ : รู้สึกเหมือนใช้โทนเนอร์ผสมน้ำตบเลย มันว้าวมาก! หลังล้างหน้ามาหน้าจะแห้งๆ ตึงๆ แล้วพอตบโทนเนอร์หรือจะเช็ดก็ได้ ช่วยลดแรงตึงผิวได้จริง(จริงจังมาก) ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื่น รู้สึกได้เลย แล้วที่แปลกกว่าโทนเนอร์อื่น ๆ คือ เหมือนจะเติมน้ำให้ผิวได้จริง ๆ นะ มีความฉ่ำเบาๆ อันนี้ชอบมาก
ปล. อยากให้ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้นะ ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวบอบบางมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย โทนเนอร์ตัวนี้อาจจะแรงเกินไป และผิวเจอแดดมา ยังแสบ ๆ อยู่ตัวนี้เราไม่แนะนำนะ(ความเห็นส่วนตัว) ให้ผิวปรับสภาพสักระยะก่อนจะดีกว่า เราแนะนำว่าใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกุหลาบจะดีกว่า เพราะกุหลาบมีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และสมานผิว แต่ที่ไม่หยิบมารีวิวเพราะที่ใช้อยู่เป็นของต่างประเทศมันผิดธีมจ้า
2. เซรั่มเจลทานาคา วูดส์เฮิร์บ
หลังจากลงโทนเนอร์แล้วก็ต่อด้วยเซรั่มกันเลย ตัวนี้เขามากันสองสีพี่น้อง สูตรกลางวันและกลางคืนจ้า เราชอบที่ทานาคามารูปแบบของเซรั่มทำให้ใช้ง่ายขึ้นเยอะ แบรนด์นี้เขาใช้ทานาคาในท้องถิ่นของไทยเรานี่แหละ มีบ้างบางส่วนที่นำเข้าจากเพื่อนบ้าน
คุณสมบัติ : สามารถกรองรังสียูวี ลดการอักเสบ และยับยั้งแบคทีเรียได้ มีคุณสมบัติเป็น Whitening จากธรรมชาติแท้ๆ ลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ ผิวหน้ากระจ่างใส มีสารเป็นพิษน้อยจึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ส่วนตัวเราเคยเห็นผิวของชาวพม่า เป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่างแต่นี่ผิวผู้ชาย(ฮีพอกทานาคามาทั้งหน้า) เห็นระยะใกล้คือน้องหน้าใสมาก เนียนกริ๊บ เนียนมาก มากจนผู้หญิงยังอาย(TT^TT)
ความรู้สึกขณะใช้ : ใช้ง่ายมาก เซรั่มเนื้อเจลไม่เหนอะหนะ ซึมเร็ว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ (ชอบกลิ่น^^) สูตรกลางคืนจะเข้มข้นกว่าสูตรกลางวัน เทียบได้จากสีของเซรั่มเลยจ้า อันนี้ผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้ ด้วยคุณสมบัติของทานาคาอยู่แล้ว เขาบอกว่าให้ทาทั้งหน้าและลำคอ ได้หน้าอย่าลืมคอนะจ๊ะ
ผลลัพธ์ที่ได้ : อันดับแรกเลยรูขุมขนกระชับขึ้น ผิวกระชับขึ้น จุดด่างดำจางเร็ว ลดรอยคล้ำใต้ตา หางตาดูกระชับขึ้น ผิวกระจ่างใสขึ้น แต่ไม่ถึงกับเร็วติดสปีดขนาดนั้น แต่มันจะค่อย ๆ ใสขึ้น จากที่หมองๆ เหมือนราหูอมจันทร์ก็ค่อย ๆ ใสขึ้น แต่ยังไงก็ไม่ขาวขนาดเปลี่ยน DNA ไปเลยนะจ๊ะ
3. Aloe Hydrating Gel เซรั่มว่านหางจระเข้ SM สยามมินตรา
ต่อกันที่เซรั่มอีกแล้วครับท่าน! เพราะเราต้องการความชุ่มชื้นแบบขั้นสุด เซรั่มตัวนี้ได้มาพร้อม ๆ กับตัวที่แล้ว ตอบโจทย์กันคนละอย่าง มีความว้าว! อีกเหมือนกัน เพราะว่าเป็น “ว่านหางจระเข้ออแกนิก” และเขามีฟาร์มว่านหางจระเข้ออแกนิกเป็นของตัวเองจ้า จริงๆ ประเทศไทยเราส่งออกว่านหางจระเข้เพื่อผลิตเป็นเครื่องสำอางเยอะมาก มีที่ผลิตในประเทศเองก็มี คุณภาพและราคาก็แตกต่างกันไป มีเคล็ดลับความงามของคุณพ่อ(ของเพื่อน) ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ท่านใช้ว่านหางจระเข้สดทาบนหน้า(สมัยนั้นไม่มีสกินแคร์) จนถึงเดี๋ยวนี้ยังใช้อยู่... ตอนนี้หน้าหนูจะทันพ่อแล้วค่ะ (-__-“) เราเลยลองบ้าง หยิบว่านหางจระเข้มา ปาดๆเอาเปลือกเขียว ๆ ออก ใช้แค่เนื้อใส ๆ ข้างใน..ผลคือ “คันค่ะ” เลิก! ในเปลือกว่านหางจระเข้จะมียางอยู่ ถ้าปาดสีเขียวออกแล้วทิ้งไว้สักพักจะเห็นยางสีเหลืองๆ อันนั้นต้องล้างออกให้หมดค่ะ ไม่งั้นคัน และแพ้แน่นอน!
คุณสมบัติ : จริง ๆ ไม่ต้องพูดเยอะ เพราะออกแดดมา After sun ต้องโบกว่านหางจระเข้แบบรัวๆ เพราะว่านหางจระเข้รักษาอาการปวด แสบร้อน สมานแผลและป้องกันการเกิดแผลเป็น (แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกให้ใช้ว่านหางจระเข้สดประคบตลอด 2 วันแรก แผลจะหายเร็ว) ถ้าใช้ก่อนออกแดดจะช่วยป้องกันแสงแดดได้ ถ้านำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกจะช่วยบรรเทาผิวแสบร้อนและลดอาการแห้งตึงของผิวได้ดี
ความรู้สึกขณะใช้ : เนื้อเซรั่มเป็นเจลสีขาว สีเหมือนเนื้อของว่านหางจระเข้จริงๆ ถ้าใครเคยใช้ว่านหางจระเข้สดๆ จะเห็นว่าเนื้อจะมีสีขาวๆ ใส ๆ กลิ่นก็เป็นกลิ่นของว่านหางจระเข้ ไม่ได้ใส่น้ำหอมแต่งสีแต่งกลิ่นเลย เนื้อเซรั่มมีความข้นและคงรูปได้มากกว่าเจลทั่วไป ที่สำคัญคือซึมเร็วมาก! ผิวชุ่มชื่น ไม่แห้งตึง
ผลลัพธ์ที่ได้ :เพราะเป็นเซรั่มเลยเห็นผลเร็วและชัดเจนกว่าเจลธรรมดา รู้สึกได้เลยว่าหน้ามันน้อยลง แผลเป็น รอยสิวหายไว ที่สำคัญคือ รอยไหม้จากแดดจางไวมาก ไม่แสบร้อน เจอแดดจัดๆ มา โบกตัวนี้ไปได้เลย ไม่แสบผิว ผิวเย็นขึ้นเร็ว เห็นผลไวกว่า สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย หรือผิวบางมาก ใช้ได้ไม่แพ้ (ความเห็นจากเพื่อนที่แพ้ครีมมาหลายสถาบัน) แผลไฟไหม้ก็ใช้ได้นะ ลองมาแล้ว แผลหายไวมาก
ปล.ควรใช้ให้หมดก่อนหมดอายุนะจ๊ะ เค้าบูดได้นะเธอ
4. ผงทานาคา วูดส์เฮิร์บ
เจ้าเดียวกับเซรั่มทานาคา เปิดกระปุกมาตกใจมาก! ของเขาอัดมาเต็มกระปุกเลย ใครเคยใช้แป้งพม่าอาจจะเคยเจ็บใจเหมือนเรา กระปุกใหญ่มาก แต่แป้งจริงๆมีไม่ถึงครึ่งกระปุก (TT^TT) มาเจออันนี้แบบดีใจมากอัดมาแน่นกระปุกเลย (5555 หัวเราะแบบผู้ชนะ)
คุณสมบัติ : ควบคุมความมัน ป้องกันแสงแดด ใช้แทนแป้งได้ ใช้พอกหน้าหรือสครับก็ได้
ความรู้สึกขณะใช้ : จากความรู้สึกเราว่าของเขาเป็นผงทานาคา100% ตัวผงเนียนละเอียดคล้ายแป้ง แต่แป้งเนียนกว่า ถ้าใช้ทาไปเลยเหมือนแป้งจะไม่เห็นความต่าง แต่ถ้าผสมน้ำจะเห็นความต่างได้ชัดเจน
เลย ผงทานาคาจะซับน้ำได้ดีกว่าแป้งและเนื้อจะหยาบขึ้นต่างจากแป้ง เพราะเป็นเนื้อไม้ล้วน ๆ ไม่ผสมแป้ง อันนี้อาจจะต้องลองเองถึงจะเห็นความต่าง
วิธีใช้ผงทานาคามี 3 วิธี
1.ใช้กับพัฟเหมือนลงแป้ง แล้วหลังจากนั้นใช้น้ำแร่ฉีดทับ ไม่ต้องฉีดเยอะเดี๋ยวจะเป็นคราบ ทิ้งไว้สักครู่แล้วค่อยใช้ทิชชูซับส่วนเกินออก ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำแร่ก็ได้ แต่ถ้าต้องการเมตตามหานิยมใช้น้ำมนต์เลยค่ะ
2.ใช้ผงทานาคาผสมน้ำ แล้วทาลงบนหน้า วิธีนี้ผงทานาคาจะติดหน้าได้ดีกว่าวิธีแรก แต่ข้อเสียคือคราบอื้อเลยจ้า วิธีนี้เราใช้พอกหน้าตอนเป็นสิวเยอะๆ หรือพอกก่อนนอนก็เวิร์กนะ
3.ใช้ผสมกับโยเกิร์ตและมะนาวสำหรับพอกหรือขัดหน้า ผิวจะเนียนนุ่มขึ้น ใสขึ้น แต่ไม่แนะนำให้ผสมกับมะนาวเพียวๆ เพราะจะแสบหน้ามาก!! คนเป็นสิวงดใช้เป็นสครับนะจ๊ะ(ยังมีสูตรอีกเยอะลองหาดูเน้อ)
2.ใช้ผงทานาคาผสมน้ำ แล้วทาลงบนหน้า วิธีนี้ผงทานาคาจะติดหน้าได้ดีกว่าวิธีแรก แต่ข้อเสียคือคราบอื้อเลยจ้า วิธีนี้เราใช้พอกหน้าตอนเป็นสิวเยอะๆ หรือพอกก่อนนอนก็เวิร์กนะ
3.ใช้ผสมกับโยเกิร์ตและมะนาวสำหรับพอกหรือขัดหน้า ผิวจะเนียนนุ่มขึ้น ใสขึ้น แต่ไม่แนะนำให้ผสมกับมะนาวเพียวๆ เพราะจะแสบหน้ามาก!! คนเป็นสิวงดใช้เป็นสครับนะจ๊ะ(ยังมีสูตรอีกเยอะลองหาดูเน้อ)
ผลลัพธ์ที่ได้ : โห~ อันนี้ชอบมาก ไม่ต้องเสี่ยงกับแร่ใยหินด้วย ใช้แทนฝุ่นได้เลยคุมมันได้มีมาก ดีกว่าแป้งฝุ่นที่เคยใช้เลย เรามีผิวผสมจะมันเยอะช่วงทีโซน แต่ผงทานาคาเอาอยู่ เหลือส่วนที่มันแค่จมูกเท่านั้นที่เหลือนางคุมไว้หมดแล้ว แต่เราไม่แนะนำว่าให้ใช้กับรองพื้นหรือบีบีนะ เพราะว่าผงทานาคามีสีออกเหลือง ทาทับรองพื้นสีอาจจะเพี้ยนได้ หรือหน้าจะเหลืองจนเกินไป(ความเห็นส่วนตัวอีกนั่นแหละจ้า) ใช้พอกหน้าสิวยุบเร็วขึ้น ใช้เป็นสครับได้ไม่บาดผิวจ้า
5. โรส คัพเค้ก ลิปทรีทเมนต์ Lovella Organics
ไอเทมติดตัวที่เราขาดไม่ได้เลยคือลิปบาล์ม เพราะเราปากแห้งมาก ยิ่งทาลิปแมทจากจะยิ่งแห้งและลอก ต้องทาบาล์มเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนนะ
คุณสมบัติ : ลิปตัวนี้ได้รับการแนะนำมาอีกที เขาบอกว่าเป็นออแกนิกแท้(มีสัญลักษณ์ออกแกนิกรับรอง) ใช้แล้วไม่แพ้แน่นอน ที่สำคัญคือลิปอยู่ที่ปากเรา เรากินลิปตลอดทั้งวันแน่ๆ อย่างน้อยๆ เลือกที่ปลอดภัยไว้จะดีกว่า หลังจากออกแดดมาปากเราต้องมีคล้ำเสียบ้าง แห้งบ้าง ลิปบาล์มเป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ
ความรู้สึกขณะใช้ : กลิ่นหอมมาก หอมหวานๆ กลิ่นกุหลาบชัดเจนมาก เนื้อลิปเหมือนลิปมันปกติ ไม่รู้สึกหนักๆ หรือเหนอะหนะ
ผลลัพธ์ที่ได้ : ไม่แพ้ ปากเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ใช้ไปสักพักจะรู้สึกได้ว่าปากชุ่มชื้นยาวนานขึ้น แม้ว่าเราจะกินบ้าง ลิปหลุดไปบ้างแต่ปากไม่แห้ง ไม่ตึง ปากคล้ำๆ ก็จางลง ชมพูขึ้น ใช้ต่อเนื่อ
จะรู้สึกว่าปากชุ่มชิ้นขึ้น
ปล.ควรใช้ให้หมดก่อนหมดอายุนะจ๊ะ เค้าบูดได้นะเธอ
6. สบู่เหลวขมิ้นผสมมะขาม เรือนไม้หอม
สูตรนี้สำหรับผิวมันและคล้ำเสีย จริงๆ เราผิวแห้ง (-__-*) และไม่ควรใช้สูตรนี้ แต่อยากได้มะขาม เพราะมะขามขึ้นชื่อเรื่องผิวใส เลยจัดสูตรนี้มา สำหรับผิวแห้งแนะนำสูตรขมิ้นผสมทองพันชั่งจะดีกว่า ส่วนตัวได้ลองใช้ทั้ง 2 สูตรแล้ว ชอบทั้งคู่ แต่ที่เอามารีวิวเป็นสูตรมะขามนะจ๊ะ
คุณสมบัติ : ทำความสะอาดผิว คราบเหงื่อไคลได้หมดจด มีส่วนผสมของขมิ้นชันและมะขามสด
มะขาม : มีกรด AHA และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าเผยผิวใหม่กระจ่างใสกว่าเดิม ป้องกันผิวจากมลภาวะ ช่วยให้ผิวเรียบเนียนใส ลดจุดด่างดำ (ตอนนี้ไม่ทำเป็นจุดแต่ดำเป็นแถบเลย)
ขมิ้นชัน : ฆ่าเชื้อ ลดการเกิดสิว ลดรอยดำรอยแดงจากสิว ลดการอักเสบ ลดผดผื่น สมานผิว ให้ผิวเรียบเนียน ลดความมัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ในสมัยก่อนนิยมนำมาขัดผิวให้ผิวขาวเนียน(ตอนแรกจะเหลืองๆ ก่อน แล้วจะค่อยๆกระจ่างใสขึ้นแต่ใช้เวลา 2-3 วัน ลองกับขมิ้นสดมาแล้ว)
ความรู้สึกขณะใช้ : เนื้อสบู่ค่อนข้างเหลวไม่หนืดข้น เนื้อสบู่เป็นสีน้ำตาลใสๆ กลิ่นหอม กลิ่นคล้ายๆ กลิ่นมะขาม ฟองเยอะสะใจ อาบสะอาดมาก ไม่เหลือคราบเหงื่อไคล ไม่เหลือกลิ่นตัว แต่แอบตึงๆ ผิว เพราะสูตรนี้เป็นสูตรนี้สำหรับผิวมัน
ผลลัพธ์ที่ได้ : อาบสะอาด กลิ่นหอมดี ชอบ ผิวเนียนนุ่ม ถ้าใครผิวแห้ง ชอบอาบน้ำอุ่นแล้วยังชอบนอนห้องแอร์อีกไม่แนะนำ ถ้าใช้แล้วรู้สึกตึงผิวหลังอาบน้ำให้โบกมอยซ์เจอร์ทับทันที หรือจะทาน้ำมันมะพร้าว,baby oil,โลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้น เพราะผิวจะแห้งเกินไป เรื่องความขาว(ซื้อมาเพราะเหตุผลนี้แหละ) ส่วนตัวขาวขึ้นจริงแต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานผิวบุคคล เพราะของเพื่อนเราใช้ไม่ถึงอาทิตย์ก็เห็นผลแล้วแต่ของเราเป็นอาทิตย์เลยถึงจะเห็นผล แต่ไม่ถึงขนาดขาวมาก ขาวผิดหูผิดตา ขาวแบบกินกลูต้านะ ผิวก็จะใสๆ แล้วค่อยๆ ขาวขึ้น
ปล.มีวันหมดอายุข้างขวดนะจ๊ะ
7.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น(ต้องสกัดเย็นเท่านั้นนะคะ)
ไปต่อกันที่น้ำมันมะพร้าวเป็นไอเทมที่อยากให้สาว ๆ มีติดบ้าน ติดห้องน้ำ ติดโต๊ะเครื่องแป้งไว้เลยค่ะ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารพัดประโยชน์จริงๆ สามารถใช้ได้ทั้งผม ผิว และเล็บ
คุณสมบัติ : ในน้ำมันมีวิตามินมากมาย โดยเฉพาะ วิตามินอี มีสารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจน
- น้ำมันมะพร้าวช่วยคงความชุ่มชื่นของผิว และป้องกันอาการอักเสบ/ผิวแสบไหม้หลังจากเจอแดดเป็นเวลานาน แถมยังรักษาฝ้า กระ ปรับสีผิวให้ขาวใส และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติอีก(เราเจอแดดมาแดดทำร้ายคอลลาเจนในผิวเราไปเยอะ ทั้งเสียทั้งแก่ T_T)
- น้ำมันมะพร้าวกันแดดได้จริง อันนี้จากข้อมูลที่หามาเขาบอกว่าสามารถกันแดดได้ถึง SPF25 ถือว่าไม่น้อยเลยนะคะ (จริง ๆ ในน้ำมันจากพืชอื่น ๆ ก็มีสารกันแดดอยู่นะคะ) และยังเป็นสารกันแดดจากธรรมชาติ 100% เป็นมิตรกับผิวและสิ่งแวดล้อมด้วย
คราวนี้มาพูดถึงการใช้น้ำมันมะพร้าวกันบ้างค่ะ ส่วนตัวเราใช้น้ำมันมะพร้าว 3 วิธีหลักๆ
1. ใช้ทาผิวหลังอาบน้ำ ใช้ทั้งผิวหน้าและผิวตัวเลยค่ะ วิธีใช้คือ
1.1 หลังอาบน้ำก่อนจะเช็ดตัวให้ทาน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วตัวก่อน แล้วค่อยเช็ดตัว ทาโลชั่นหรือทาครีมกันแดดได้ตามปกติเลย ไม่เหนียวเหนอะหนะ
1.2 ถ้าใครกลัวตัวเหนียวให้ทาน้ำมันมะพร้าวทิ้งไว้สักพัก หรือจะนวดวนๆ คล้ายทาโลชั่นก่อนแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
1.3 สำหรับหน้าทำคล้าย ๆ กันค่ะ คือ หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว หยดน้ำมันมะพร้าวลงบนสำลีแล้วเช็ดให้ทั่วหน้า(อาจจะทำให้สำลียุ่ย เบาๆมือ ไว้นะคะ) หรือจะหยดลงบนฝ่ามือแล้วนวดเบาๆ ทั่วหน้าก็ได้ค่ะ หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
1.4 ใช้เป็นมาส์กก็ให้นวดเบาๆแล้วทิ้งไว้สัก 30 นาทีแล้วค่อยล้าง วิธีนี้ทำให้ฝ้า กระ จางลง ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น แต่งหน้าติดมากขึ้น ถ้าไม่รู้สึกเหนียว ทิ้งไว้ค้ามคืนเลยก็ได้ค่ะ
1.1 หลังอาบน้ำก่อนจะเช็ดตัวให้ทาน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วตัวก่อน แล้วค่อยเช็ดตัว ทาโลชั่นหรือทาครีมกันแดดได้ตามปกติเลย ไม่เหนียวเหนอะหนะ
1.2 ถ้าใครกลัวตัวเหนียวให้ทาน้ำมันมะพร้าวทิ้งไว้สักพัก หรือจะนวดวนๆ คล้ายทาโลชั่นก่อนแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
1.3 สำหรับหน้าทำคล้าย ๆ กันค่ะ คือ หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้ว หยดน้ำมันมะพร้าวลงบนสำลีแล้วเช็ดให้ทั่วหน้า(อาจจะทำให้สำลียุ่ย เบาๆมือ ไว้นะคะ) หรือจะหยดลงบนฝ่ามือแล้วนวดเบาๆ ทั่วหน้าก็ได้ค่ะ หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
1.4 ใช้เป็นมาส์กก็ให้นวดเบาๆแล้วทิ้งไว้สัก 30 นาทีแล้วค่อยล้าง วิธีนี้ทำให้ฝ้า กระ จางลง ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น แต่งหน้าติดมากขึ้น ถ้าไม่รู้สึกเหนียว ทิ้งไว้ค้ามคืนเลยก็ได้ค่ะ
2.ใช้หมักผมก่อนสระ วิธีนี้ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผมเสียทั้งจากการทำเคมี ผมเสียจากความร้อน/แสงแดด ลดรังแค ลดผมร่วง และทำให้ผมยาวเร็วด้วย (ความลับอีกอย่างคือ น้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงขนตาให้หนา ดำ ยาวด้วย)
3.สครับปากอิ่มเอิบ โดยใช้น้ำตาลทรายแดง(ที่โรยบนเฉาก๊วย) + น้ำมันมะพร้าว สัดส่วนไม่มีนะ เอาที่พอใจเลย ผสมกันแล้วถูบนปากเบาๆ สัก 1-3 นาทีก็พอ จากนั้นล้างออก สครับจะขัดเอาเซลล์ผิวเก่าออก ปากจะเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น อิ่มฟู และสครับอร่อยด้วย
ความรู้สึกขณะใช้ : กลิ่นไม่ฉุน มีกลิ่นน้ำมันมะพร้าวอ่อนๆ ขนาดหมักไว้บนผมหรือทาบนตัวแล้วยังไม่ได้กลิ่นเลย แต่อาจจะมีบ้างที่ติดผ้าเช็ดตัว แต่ไม่ติดเสื้อผ้าหรือที่นอนเลยค่ะ ตัวน้ำมันมะพร้าวค่อนข้างเหลว ซึมเข้าผิวได้ดี ไม่เหนียวเหนอะหนะค่ะ
ปล.เราเลือกขวดเล็กค่ะ พอดีกับการใช้ เคยซื้อขวดใหญ่มาเห็นว่าคุ้มดี แต่ใช้หมดช้า น้ำมันเริ่มหนืดและกลิ่นเริ่มเปลี่ยน (ความเห็นส่วนตัวค่ะ)
8.น้ำมันบำรุงผม Coconut oil Silky Hair Coat
อันนี้เป็นเจ้าเดียวกับน้ำมันมะพร้าวที่เราใช้ค่ะ ซื้อมาพร้อมกัน เพราะเราเป็นคนผมยาวเลยต้องใช้ น้ำมันบำรุงผมส่วนปลายผม เคยใช้มาหลายยี่ห้อนะแต่ชอบอันนี้ที่น้ำมันไม่เหนียว
คุณสมบัติ : ทำให้ผมแข็งแรง มีน้ำหนัก ไม่แตกปลาย นุ่มลื่น เงางาม ลดผมขาดหลุดร่วง ปกป้องผมจากความร้อน
ความรู้สึกขณะใช้ : น้ำมันของเขาค่อนข้างเหลวกว่ายี่ห้ออื่น ทาบนผมแล้วไม่เหนียว ผมลื่นในทันที ถึงจะแห้งแล้วก็ยังลื่นไม่พันกัน ใช้ขณะผมแห้งก็ได้ค่ะ ไม่เหนียวติดมือ ชอบมากเลยค่ะ
ผลลัพธ์ที่ได้ : เส้นผมเรียงตัวสวย มีน้ำหนัก ผมเงามาก แต่ผมไม่มัน เราลงแค่ปลายผม ถ้านำตัวแฮร์โค้ทกับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาเทียบ ตัวแฮร์โค้ทจะข้นกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ แต่เหลวกว่าแฮร์โค้ทยี่ห้ออื่นที่เคยใช้ และไม่เหลือน้ำมันติดมือด้วย
จริงๆ มีอีกหลายตัวเลยนะคะ ที่เป็นแบรนด์ไทยและผลิตจากสมุนไพรไทยเรานี่แหละ ช่วงที่อยากพักหน้าหรือผิวติดสารเราจะใช้สมุนไพรหรือสกินแคร์จากธรรมชาติค่ะ สารเคมีบางตัวทำให้ผิวดีแค่ชั่วขณะ แต่ผิวเสียระยะยาว จากประสบการณ์ส่วนตัวธรรมชาติ สมุนไพรเห็นผลช้าหน่อยแต่ทำร้ายเราน้อยที่สุด ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบุคคล จะเห็นผลช้าเร็วไม่เหมือนกันนะคะ วันนี้ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ขอบคุณค่ะ