[My 5 Essential Blushers] ปัดแก้ม 5 ชิ้นที่สาวออฟฟิตทุกคนควรมี
King of Eugenie 47 12ฮายยยย ซิสสสสส
รู้สึกว่าโพสแต่ละวันนี่ก็จะได้มาจากการสิงบ้านจีบันล้วนๆเลย
คิสเพิ่งตอบเกี่ยวกับการปัดแก้มของตัวเองแล้วก็นึกได้ว่า จริงๆมีของที่หยิบใช้ซ้ำๆอยู่แค่ไม่กี่ตัวสำหรับลุคสุภาพเหมาะกับการไปทำงาน ที่สภาพอากาศผีเข้าผีออกตลอดวัน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวเหงื่อ แต่ก็ติดทนแบบไร้กังวล ไร้รอยต่อ ทอเต็มผืนกันได้
บอกตามตรงว่าที่ปัดแก้มคิสเยอะมากนะคะ ถึงจะไม่ได้ซื้อของใหม่มาเข้ากรุ เอาแค่เท่าที่มีก็ไม่รู้จะปัดไปถึงชาติไหนแล้ว แถมปีที่ผ่านมาก็ได้พาเลทแก้มมาถึง 2 พาเลทเป็นทั้งของขวัญและทั้งซื้อตอน Sephora ลดราคาอีก*
*Palette 2 ตัวนี้คิสอยากจะเอามารีวิวก่อนที่มันจะเลิกจำหน่ายค่ะ เพราะไม่ใช่รีวิวเสร็จ คนไปตามหาซื้อไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ป๊ะ 55 ติดไว้ก่อนนะ เป็นของ benefit และ Kat Von D ค่ะ ใครเป็นสาวกคงเดาได้ว่า Palette ตัวไหน
เอาละ เกริ่นยาวตลอด มาดูกันดีกว่าค่ะว่าปัดแก้มตัวไหนที่ชาว OL สาวออฟฟิตไม่ควรพลาด!!
1. Foolproof Blusher
Model: Dior Rosy Glow Blush (#001 Petal)
Finish: Transparent pinkish blush
Size: 7.2 g.
Life time after opened: 12 months
Made in France
Where you can get it: any Dior Counter
Price: 2000 thb
ดียังไง??
ตัวนี้เป็นบลัชที่เดบิวออกมานานมากๆแล้ว(เข้าใจว่าต้องมีอย่างน้อย 3-4 ปี แต่คิสเพิ่งซื้อได้ราวๆปีนึง) ซึ่งคิสก็เห็นมาตลอดแต่ไม่ซื้อเพราะกลัวสีในแพน คิสเคยซื้อสีแบบนี้ของ Keyvn Aucoin และผลคือแทบจะไม่ได้ใช้งานเลย สีมันแรว๊งงงง จนไม่กล้าใช้
แต่รุ่นพี่คิสเป็นคนกล่อมประสาทคิสใหม่ว่า เฮ้ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดนะจ้ะ ตัวนี้ปัดแล้วสีไม่น่ากลัวเลย มันจะปรับตามอุณหภูมิของร่างกายเรา ประมาณว่าเป็น Dior Lip Glow นั่นละ ใครมีลิปบาล์มเค้าอยู่ในมือ ขอรับประกันว่าคุณควรจะ pairing ชีวิตด้วยบลัชตัวนี้เลยค่ะ สีเดียวเท่านั้น universal มาก เหมาะกับผิวเรา ผิวคนข้างบ้าน ใช้งานด้วยกันได้หมด
เนื้อของบลัชค่อนข้าง Transparent คือเป็นบลัชที่ปัดแล้วไม่ออกฝุ่นๆผงๆ เนื้อไม่หนา แต่โทนสีค่อนข้างชัดเจนว่าออกไปทางชมพู-ชมพูแดง ขึ้นอยู่กับอันเดอร์โทนสีผิวของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
อันนี้คิสจะหยิบมาใช้งานได้ทั้ง Weekday, Weekend เป็น everyday blush ที่ปัดโอกาสไหนก็สวย ดูน่ารักน่าหยิก คือสีมันสวยกำลังดีจริงๆและปัดง่าย มือใหม่หัดปัดแก้มก็ใช้ได้ เด็กมัธยมที่อยากจะหลบฝ่ายปกครองก็ใช้ดี
ส่วนแพคเกจไม่ต้องพูดถึง ฮัลโหลลล นี่เรากำลังคุยกันถึงแบรนด์ Dior ที่จินตนาการว่าคุณนั่งเก้าอี้หวาย cannage จิบชาร้อนๆ มองภาพศิลปะบนข้างฝา(ถึงแม้ว่าความจริงเมื่อเราหันไปข้างๆคือสังกะสีที่มีแต่ป้ายโฆษณายาฆ่าปลวกก็ตาม) งานเค้าดีงามค่ะ กระจกมา แปรงก็มี แล้วแพนนั่น อัดเพรสมาด้วยลายโมโนแกรมสุดหรู ซื้อมาบูชากันเถอะค่ะ คิสวางนิ่งๆไว้อยู่เกือบครึ่งปี เหมือนบลัช Jill Stuart ที่ซื้อมาต้องวางตั้งไว้เป็นสิริมงคลต่อโต๊ะเครื่องแป้งไว้ก่อน บ่มไว้จนรู้สึกธรรมะเข้าถึงจิตใจ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในวัตถุแล้วค่อยทำใจเอาออกมาใช้
ส่วนข้อเสีย?? บลัชทุกตัวที่เอามาโพสในนี้ แทบไม่มีข้อเสียสำหรับคิสเลยค่ะ 55 และดิออร์ตัวนี้ คิสจะหาข้อเสียได้แค่ข้อเดียว คือมันไม่ได้เก่งในระดับ AI ที่วิเคราะห์ได้ว่าควรออกโทนไปทาพีชบ้าง ส้มบ้าง แดงบ้าง มันจะไปได้ทางเดียวเท่านั้นคือชมพู แค่ชมพูแค่ไหนเท่านั้นเอง ใครไม่ถูกกับสีชมพู สีนี้เป็นกาลกีณีชีวิตก็อาจจะไม่เหมาะ แค่นั้น
2. Powder Blusher I
Model: Illamasqua Powder Blusher (#tremble)
Type: Pressed Powder
Finish: Matte
Size: 4.5 g.
Life time after opened: 18 months
Made in Germany
Where you can get it: any illamasqua Counter
Price: 12xx thb
มาถึงบลัชที่เป็นบลัชยืนพื้น ถ้าใครสักคนอยากมีบลัชแค่ตัวเดียวจริงๆ คิสก็จะแนะนำตัวนี้เลย คือเป็นบลัชสีๆที่ไว้ปัดบริเวณที่ต้องการ(คิสไม่ได้ปัดแค่โหนกแก้ม ด้วยเทคนิคโลกสวย ยิ้มแก้มนูนๆแล้วปัดนะคะ คิสปัดแบบ abstract คือปัดทุกตรงที่อยากปัด 5555555 ใต้ตา, กลมๆแบบปิกาจู คือปัดอยากปัดแบบไหนก็จะปัด ไม่แคร์สื่อค่ะ เพราะแค่คนข้างบ้านก็ยังไม่รู้จักคิสเลย 55)
ตัวนี้คิสเชื่อว่าใครที่รักการปัดแก้มจะต้องมีติดกรุเอาไว้แน่ๆละคนละสี สองสี ถ้าไม่ตัวนี้ก็จะต้องเป็น Nars หรือ Mac ซึ่งคิสก็ชอบหมดทั้ง 3 แบรนด์นะ ดีกันไปคนละแบบ
ถ้าถามว่าทำไมเลือกอิหล้า จะตอบงี้ค่ะ
- MAC สีให้เลือกเยอะ หลายเนื้อ และคุณภาพดีมาก แต่แพคเกจทั้งใหม่และเก่าไม่ถูกใจคิสเฉยๆ และเนื้อค่อนข้าง powdery ปัดง่าย แต่ติดไม่ทนเท่าอิหล้า
- Nars สีมีให้เลือกเยอะสะใจ หลายเนื้อเหมือนกัน และคุณภาพเอาจริงๆดีกว่าของอิหล้าอีก คือเทพสุดแล้วละในขอบเขตราคาประมาณนี้ แต่!! คิสเกลียดแพคเกจของมันค่ะ สาบส่งมากจริงๆ ใครรับได้ก็รับไป คิสรับไม่ได้ค่ะ หลังๆพาเลทจะใช้เนื้ออื่นมาทำ package แล้วก็รอวันที่เจ้าของแบรนด์คิดได้ว่ามีกระบอกเสียงสังคมอยู่ทางนี้หนึ่งคนว่าจะไม่ซื้อจนกว่าคุณจะเปลี่ยนแพคเกจ/ ข้อเสียอีกข้อคือ Nars เป็นเครื่องสำอางระดับโปร pigment จะชัด และแก้ไขงานยาก มองในแง่ดีคือคุณภาพเค้าดีมาก แต่อาจจะไม่ practical สำหรับบางคน
ของที่ดีคือของที่เหมาะกับเรา คิสว่าของดีบางอย่าง มาเจอนิสัยปัดแก้มแบบคิสเข้าไปก็พัง บลัชที่ pigment ดีมากๆ ถ้าไม่ตั้งสติ ค่อยๆแทป ค่อยๆบิ้ว ใช้แปรงที่เหมาะกับเนื้อบลัช บอกเลยว่าหายนะเหมือนทำร้ายตัวเองทางอ้อม ปัดพลาดทีแทบต้องล้างหน้าแต่งใหม่หมด คิสเลยขอให้อิหล้าเป็นบลัชที่เหมาะกับคนสไตล์ใช้ประจำวันมากกว่า
ข้อเสียของตัวนี้?? ขอให้แพคเกจอีกเหมือนกัน คิสดูเอาใจยากเนอะ 55 ตัวนี้ไม่มีกระจก ไม่มีแปรงมาให้ ยังไม่เท่ากับพลาสติกที่เหมือนใช้พลาสติกเกรดเดียวกับปัดแก้มของ daiso 60 บาทมาทำ คือมันแลดูเปราะบางและดูราคาถูก แต่ใช้มาก็ยังไม่แค่แตก ฝายังไม่หักนะ แค่ฟิลลิ่งเฉยๆค่ะว่ามันไม่ sturdy สมราคาเอาซะเลย
About "Tremble"
มาพูดถึงเฉดสีกันเล็กน้อยสำหรับใครที่อยากได้บลัชของอิลามาสก้า สำหรับเฉดนี้เป็นเฉดชมพูติดคอรัลมาหน่อยๆ นิ๊ดดดดเดียวเท่านั้น และอาจจะไปออกชมพูแดงสำหรับบางพื้นสีผิว
ถ้าอยากได้แบบชมพูแก้มใส ชมพูแบบ powder pink, baby pink ต้องไปสีอื่นค่ะ อันนี้เป็นชมพูแบบใช้งานได้ทั่วๆไป ไม่ดูเป็นเด็กน้อย แล้วก็ไม่ใช่เฉดสีตุ่นๆ สุภาพเป็นการเป็นงานเข้าสภาซะทีเดียว เหมาะกับสาวออฟฟิตทำงานทั่วๆไป
Illamasqua มีเฉดสีให้เลือกเยอะมากๆเหมือนแบรนด์อื่นๆ แนะนำให้ไปเลือกไปลองปัดกันเอาเอง ความดีงามอย่างนึงคือสีไม่เพี้ยน ไม่หลุดระหว่างวันและติดทน ซึ่งจากที่อ่านรีวิวมา ต่อให้เป็นเฉดสีอื่นๆ คุณงามความดีเค้าไม่ค่อยต่างกันค่ะ บางแบรนด์แต่ละเฉดก็ไม่ดีเท่ากันก็มี
3. Powder Blusher II
Model: Tarte Amazonian clay 12 hour blush (#exposed)
Type: Pressed Powder (baked-like)
Finish: Matte
Size: 5.6 g.
Life time after opened: 12 months
Made in USA
Where you can get it: Sephora
Price: 1200 thb
มาพูดกันถึงบลัชที่เป็นลักษณะแป้งอัดอีกแบบ คือเนื้อจะแห้งกว่าเหมือนเนื้อเบค(ซึ่งสำหรับ Tarte นี่ไม่ใช่เบคบลัช แต่เนื้อมันแห้งเหมือนกันเลย) ซึ่งความต่างกันของตัวบนกับตัวแบบนี้ คิสว่าคือตัวแปรงที่จะใช้เป็นหลัก
สำหรับใครที่ใช้ปัดแก้มแบบที่เป็นเนื้อแข็ง เหมือนของ Chanel ที่เราต้องอุทานในใจกันเลยว่า คุณพระ นี่มันหินบ่ะซอลหรือไร ทำไมมันถึงได้แข็งเยี่ยงนี้ ถูเท่าไหร่ก็ไม่ออก และใช้งานยากเหลือเกิน แพงแล้วยังสร้างปัญหาชีวิต
ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการใช้แปรงที่เหมาะสมค่ะทุกท่าน แปรงปัดแก้มคิสจะมีทั้ง 2 แบบ(และก็มีทั่งแปรงปรกติกับแปรง retractable สำหรับพกพา) แปรงขนสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นขนแพะ, ขนม้า พวกนี้จะจิกเนื้อสีได้ดีกว่า
*ใครมีแปรงพกพาที่ได้แถมมากับที่ปัดแก้ม Jill Stuart ใช้อันนั้นก็ได้ค่ะ อันนั้นเป็น Goat hair ถ้าคิสเดาไม่ผิดนะ จับๆแล้วสัมผัสมันคือแบบนั้นค่ะ
About "Exposed"
นอกจากที่ต้องแยกประเภทด้วยเนื้อของบลัชและแปรงที่ใช้งานคู่บารมีแล้ว เฉดสีก็เป็นอีกเหตุผลที่คิสแนะนำว่าทำไมต้องมีบลัช Tarte Exposed ตัวนี้
เพราะมันเป็นบลัชที่เหมาะมากๆกับการใช้งานแบบ Topping กับทุกๆสีผิว เพื่อเบลนด์ให้เนื้อปัดแก้มสีมงคลประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นสีชมพู, คอรัล, แดง, เบอรี่ ทุกเฉดมันนัวกลมกลืนเข้ากับบริเวณ cheekbone ของเราได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ข้อดีของปัดแก้ม Tarte คิสเชื่อว่าทั่วทั้งจักรวาลก็คงรับรู้ดีว่าเป็นแบรนด์ที่ทำปัดแก้มออกมาได้ดีมากๆ คิสขอชมแบบ single color มากเป็นพิเศษ เพราะมีแบบพาเลทแล้วมันไม่เหมือนกัน แบบ single เนื้อแห้งกว่า pigment ดีกว่า แต่ใช้งานยากกว่า งงมั๊ย 55 เพราะเนื้อบลัชมันแห้งค่ะ ถ้าใครไม่มีแปรงขนสัตว์ในกรุก็จะแนะนำให้ซื้อพาเลท เพราะราคาถูกด้วย
*สำหรับใครที่มองหาบลัชสีแบบ exposed ราคาย่อมเยา คิสแนะนำ Cute Press - Honeymoon ค่ะ คิสเองก็ใช้เหมือนกัน ราคาร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง
4. Cream Blusher
Model: Make Up For Ever HD Second Skin Cream Blush (#210 cool pink)
Type: Creamy Pot
Finish: Cream to powder
Size: 2.8 g.
Life time after opened:
Made in Italy
Where you can get it: Sephora, Makeup forever counter
Price: 1250 thb
มาถึงไอเท็มสุดโปรดที่คิสมีเยอะมากๆอีกประเภทคือพวก cream blush, gel blush, liquid blush, cushion blush ที่คิสมักจะหยิบมาใช้คู่กันกับที่ปัดแก้มแบบฝุ่น เพื่อให้สีติดทนสวยทั้งวัน
ถามว่าจำเป็นที่จะต้องมีเลยมั๊ย ก็ไม่เชิงซะทีเดียว แต่ใครชอบแต่งหน้าแบบลุคธรรมชาติ การใช้ครีมบลัชอย่างเดียวจะดูเป็นผิวมากกว่า และการใช้แบบคู่กับบลัชฝุ่นก็ยิ่งทวีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดนจับกดน้ำ เราก็จะยังดูแก้มบ่มแดดอยู่เสมอ
และตัวนี้นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆของคิส เพราะด้วยความที่ใช้มาหลากหลายยี่ห้อ ทำให้เจอข้อดีข้อเสียมาหมดแล้วทุกตัว ชอบคิสคงต้องบอกว่าชอบราวๆ 10 ตัวได้ ที่ดีมากๆ แต่...เลือก MUFE อันนี้ก็มีเหตุผลค่ะ
ข้อดีที่ตัวนี้มีมากกว่าตัวอื่นคือความเป็นธรรมชาติ และ finish ที่ ideal จริงๆ ไม่เหนอะหนะ เบลนด์ง่าย ไม่มัน ติดทน ไม่ต้องลงต่อด้วยปัดแก้มแบบฝุ่นก็สวย เนื้อ build สีได้ตามอัธยาศัย แต่ก็คือ pigment กำลังดี คือมันดีมากอะแกกก
ข้อเสีย?? ให้ตายสิ แพคเกจมาอีกแล้วจ้า คือมันเปิดลำบากอะ ต้องใช้ 2 มือในการประคับประคองเปิดฝา หลายคนคงมองว่าธรรมดา จะคนจะลิงปรกติก็ใช้ 2 มือดำรงชีวิตกันหมด แต่คิสชอบใช้มือที่ทำความสะอาดดีแล้วในการปัด เลยจะเช็ดๆล้างๆก่อนให้เรียบร้อย ใช้มือเดียวเปิดตลับ แล้วตัวนี้เปิดยากมากจริงๆ
ส่วนอื่นดีหมด แพคเกจดูดี สวยงาม เรียบหรู แข็งแรง พกง่าย มีกระจก สีถึงจะมีให้เลือกน้อย แต่สีเลือกมาแล้วชอบคือโอเค 55/ หาซื้อยากไปหน่อย ขนาดจะซื้อ sephora ก็ต้องดูว่าสาขาไหน ไม่ใช่จะมีทุกสาขา แต่ใครชอบสั่งแต่ออนไลน์ก็แล้วไปค่ะ
About "210 cool pink"
สำหรับเฉดสีชมพู๊ชมพูอันนี้คิสแนะนำอะไรมากไม่ได้ 5555 เพราะก็ไม่เคยมีสีอื่นๆของรุ่นนี้มาก่อนเลย ให้บีเอช่วยเลือกให้ล้วนๆ คิสให้โจทย์ว่า "อยากได้สีที่ใช้งานง่าย ใช้ได้ทุกวัน จากสีผิว อยากได้แบบที่ทาแล้วไม่โดด แต่สีไม่แก่ ดูไม่ดุ ปัดง่ายๆ"
และตัวนี้ก็โดนหยิบออกมาจากแถวแบบทันทีทันใด เชื่อว่าพนักงานน่าจะเก็บตัวอย่างลูกค้าไว้มากพอสมควรว่าถ้าเอาตัวนี้ต้องตอบโจทย์ที่ว่าแน่ๆ ไม่โดนคิสกลับมาด่าทีหลัง(คิสมักจะเดิน sephora อยู่ไม่กี่สาขา แถมไปบ่อยอีกตั้งหาก พนง.จำคิสได้อยู่แล้วละ เดานะ เดาว่าเค้าจะจำได้ และพนักงานของ MUF น่ารักมากกกก ไปกี่ทีก็ทักทาย ยิ้มแย้ม เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลย)
คิสว่าสีนี้เหมาะกับคนที่ชอบลุคดูผู้หญิ๊งผู้หญิง ดูเรียบร้อย น่ารักใสๆ คือไม่ใช่แนว no makeup makeup ไม่นู๊ดเลย และไม่ใช่แนวเฟียซ ชั้นจิกวัวควายตายให้หมดทั้งสวนแบบนั้น เหมาะกับลุคประจำวันและสุภาพค่ะ
5. Multiple-Blusher
Brand: Nudestix Nudies all over face color (Naughty N' Spice)
Type: Multiple stick
Finish: Cream, Semi-Matte
Size: 7 g.
Life time after opened: 12 months
Made in Korea
Where you can get it: Sephora
Price: 1300 thb
มาถึงตัวที่คิสก็อยากจะแนะนำมากๆอีกตัว(สรุปคือชั้นเชียร์ทุกตัว ไม่มีแตะเบรคเลยว่างั้น 55) ตัวนี้เป็น multiple ที่คิสดีใจมากๆที่ซื้อมา อ่านรีวิวมาแล้วจนตาแทบเป็นต้อ พอสบโอกาส Sephora ลด 20% ปุ๊บเลยกดมาอย่างรวดเร็ว
ในไลน์นี้มีออก finish น้องใหม่มาด้วยนะคะเป็นแบบ Dewy ซึ่งคิสก็ยังไม่ได้ลองเล่นเลย แต่ก็คิดว่าตัว matte น่าจะเหมาะกับสภาพผิวคนไทยที่เจออากาศ humid แบบนี้เกือบตลอดทั้งปี เนื้อถึงจะบอกว่า matte แต่กลับเบลนด์ได้ง่ายมากๆ ไม่ถึง matte แบบสีชอร์คอะไรแบบนั้น เนื้อเค้าสมกับที่เกิดมาเป็น multiple เพราะมันใช้งานได้ทั้งตา แก้ม ปาก แบบที่เคลมจริงๆ
มีหลายยี่ห้อที่บอกว่าใช้ได้ทั้งหน้า ทาปากก็ได้ แต่พอทาแล้วปากมีชิ้นส่วนอะไหล่หลุดเป็นชิ้นๆเหมือนคอนเฟลกซ์ แบบนี้ไม่น่าจะใช่ แต่ตัวนี้ไม่เป็นนะ คือทาได้หมดเลย สำหรับการใช้งาน แบบปาดโดยตรง ใช้แปรง(ตรงส่วนปลายแท่งจะมีแปรงมาให้ แต่ไม่ retractable นะคะ แปรงจะเนื้อคล้ายๆพวก stipping brush) หรือใช้นิ้วเกลี่ย ได้หมด
คิสใช้ส่วนใหญ่จะใช้นิ้ว เอามาวอร์มคู่กับ Cream blush อื่นๆที่จะใช้ อันนี้จะเปลี่ยนสีของบลัชไปด้วย จะได้สีตุ่นขึ้น เพราะสี naughty n spice จะเป็นสีแดงตุ่นๆอมน้ำตาล ที่ทำให้สีทุกสี ดูสุภาพเรียบร้อยขึ้นได้
หรือคิสก็จะใช้นิ้วนี่ละปาดๆ เอามาวอร์มแล้วค่อยๆ แท๊ปลงผิว กับอีกแบบคือฟองน้ำ แตะแล้วแทปลงผิว สีไม่หนักไม่บางจนเกินไป ติดทนทั้งวัน
ของแบรนด์ nudestix คิสมีของๆเค้าค่อนข้างหลากหลายอยู่ หลากฟินิชด้วย ก็ยอมรับว่าทำของออกมาได้ดี น่าใช้ แต่บางตัวก็ไม่ชอบตรงที่ต้องเหลานี่ละ 55
About "Naughty N' Spice"
สีนี้จริงๆชื่อกับสีจริงไม่ได้เข้ากันเลยให้ตายสิ 55 จากชื่อนี่นึกถึงสีแรงๆแบบ exhibit A ของ Nars อะไรแบบนั้นเลย
ของจริงจะเป็นสีแบบที่อธิบายไว้ข้างบนว่าเป็นสีแดงอมน้ำตาล เป็นสีอิฐอมแดง ที่ใช้ได้ทุกๆสีผิว และก็เหมาะกับคุณสมบัติที่เป็น multiple ที่ทาได้ทั้งตา แก้ม ปาก เหมาะกับเวลาที่เราต้องรีบหนีตามผู้ชายมากๆ หยิบแล้วก็นำพาให้เราสวยรอดได้ในทุกสถานการณ์
ถามว่าแล้วแนะนำแต่สีนี้เลยมั๊ย?? คิดว่าคงเหมาะกับคนที่เน้นใช้งานได้บ่อยๆ ใช้งานทุกวัน เพราะสีไม่ได้จัดจ้าน แซ่บพริก 10 เม็ดอะไรเลย เน้นความ practical เป็นหลักค่ะ