comment สุดฉาวของ Celeb
candy 42 4T.I. พาลูกสาวไปตรวจเยื่อพรหมจารีเพื่อเช็คความบริสุทธิ์
งานนี้เรายืนยันเลยว่าชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแร็พเพอร์ชื่อดังคนนี้ต้องเข้าสู่ mode หายนะ เรื่องราวเริ่มต้นที่การสัมภาษณ์ที่ทำให้สังคมต้องตกตะลึง เมื่อเขาพูดถึง Deyjah ลูกสาวที่เติบโตเป็นสาวแล้วว่า
" ผมขอยืนยันเนื่องในโอกาสที่ลูกสาวผมอายุครบ 18 ปีว่า เยื่อพรหมจารีของเธอยังอยู่ดีไม่หายไปไหน เรามีข้อตกลงกัน (ไม่ให้มี sex) เรายังนัดเจอสูตินรีแพทย์ทุกปีเพื่อตรวจสอบเยื่อพรหมจารีของเธออีกด้วย"
เท่านั้นแหละค่ะ เหมือนหย่อนระเบิดใส่ social media !
"พวกหมอบอกว่า มันเยื่อพรหมจรรย์จะฉีกขาดได้ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่sex อย่างการขี่จักรยาน ขี่ม้า หรือการเล่นกีฬาที่ออกแรงแบบอื่นๆ ผมเลยบอกไปเลยว่า ฟังนะหมอ ลูกผมไม่ได้ขี่ม้า ไม่ได้ขี่จักรยาน ไม่ได้เล่นกีฬาอะไรเลย ตรวจเยื่อพรหมจรรย์ของเธอซะแล้วก็เอาผลมาให้ผมดูเร็วๆ"
แม้ว่าเรื่องตรวจความบริสุทธิ์จากเยื่อพรหมจรรย์ของหญิงสาวจะยังมีอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา หรือเหตุผลใดก็ตาม แต่การประกาศเรื่อระบบสืบพันธุ์ของลูกสาวตัวเองทำให้ T.I ถูกถล่มหนัก แฟนบางคนถึงกับเสื่อมศรัทธาและไม่อยากสนับสนุนผลงานเขาอีกต่อไป เหตุผลก็คือ
- หลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า พฤติกรรมนี้คือการ abuse ลูกสาวทั้งทางร่างกายและจิตใจ เขาบังคับให้เธอตรวจภายในและยังเอามาโพนทะนาให้ได้รับความอับอาย ไม่แน่ว่าเธออาจจะต้องกลัดกลุ้มเพราะถูกคนอื่นล้อเลียน หรือสร้างรอยแผลในใจไปอีกนานก็เป็นได้
- พ่อแม่ที่คาดหวังให้ลูกรักษาความบริสุทธิ์ไว้จนวันที่พร้อมจริงๆไม่ใช่เรื่องแปลกแหวกแนวแต่อย่างใด แต่การบีบบังคับเด็กวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านด้วยการจับเช็คเยื่อพรหมจารีในวันเกิดทุกๆปีนั้นฟังดูแรงเกินเบอร์ไปมาก ทังๆที่ผู้ใหญ่สามารถชี้นำย้ำเตือนไม่ให้ลูกรีบชิงสุกก่อนห่ามได้หลายวิธี มีการตั้งคำถามว่า หากหมอแจ้งว่าลูกสาวของT.I ไม่มีเยื่อดังกล่าวเหลือแล้ว เขาจะลงโทษเธอหรือด่าว่าให้เจ็บใจหรือไม่
- T.I ยังถูกกล่าวหาว่าเหยียดเพศ และตีคุณค่าความเป็นหญิงจากความบริสุทธิ์ ทั้งๆที่ลูกสาวของเขาไม่ใช่ผู้เยาว์อีกต่อไป แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้อาณัติของพ่อราวกับว่าไม่ได้เป็นเจ้าของร่างกายของตัวเอง
เจอสังคมตีกลับมากขนาดนี้ แร็พเพอร์วัย 39 ก็อยู่เฉยต่อไปไม่ได้ เขาจึงต้องออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อชี้แจงต้นสายปลายเหตุ
เขาอ้างว่ามันเป็นการเบี่ยงประเด็นผิดๆ
" อย่างแรกเลยนะ ผมมาที่นี่เพื่อแก้ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นไปทั่ว ผู้คนได้บิดเบือนเจตนาจริงของผมไปแล้วปล่อยข่าวผิดๆจนไปกันใหญ่ เรื่องมันเกิดเพียงเพราะผมกำลังเล่นมุกตอนที่ได้รับคำถามเรื่องมีวิธีรับมือกับการเลี้ยงดูลูกยังไง พูดจริงๆนะ ผมก็แค่แต่งเสริมเติมแต่งแล้วพูดเกินจริงไปนิดหน่อยแล้วคนฟังดันทำเป็นจริงเป็นจังไปเอง จากชื่อเสียงที่ผมสั่งมาในแง่ความเป็นพ่อและตัวตนที่ผ่านมา ผมคิดว่าผู้คนจะเข้าใจผมมากกว่านี้ซะอีก
เขาไม่เก็ทมาก่อนว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นประเด็นที่เปราะบางมากแค่ไหน
"ผมไม่ได้พูดสักหน่อยว่าเข้าไปในห้องตรวจด้วย คนอื่นทึกทักกันไปเอง เรื่องมั่วขึ้นมาทั้งนั้น ผมไม่ได้บอกว่าผมพาเธอไปตรวจเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด และผมก็ไม่ได้บอกว่าแม่ของเธอไม่ได้กับพวกเราด้วย"
(แม่ของลูกสาว T.I ไม่ใช่ภรรยาคนปัจจุบัน แต่เป็นคู่ควงสมัยยังหนุ่ม)
เขาบอกว่าลูกสาวไม่ได้ต่อต้านการตรวจ แต่ไม่โอเคที่เขาประกาศให้โลกได้รู้
"เธอรู้สึกไม่ดีที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง ผมก็เข้าใจความรู้สึกเธอนะ ผมต้องขอโทษลูกยกใหญ่ แต่คำขอโทษมีไว้สำหรับลูกเท่านั้นนะ Deyjah.ลูกรัก แต่ผมไม่ขอโทษพวกแปลกหน้าจิตไม่ปกติที่ส่งต่อเรื่องราวโกหกเอามันส์"
เขายืนยันว่าเขาแค่เป็นพ่อที่ปกป้องลูกสาวเท่านั้น
" การหวงลูกเกินไปมันไม่มีจริงครับ ผมพร้อมที่ปกป้องลูกๆจนกว่าพวกเค้ามีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจในสิ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเค้าได้เอง ตอนนี้เธออายุ 18 แล้ว ผมควบคุมเธอทุกเรื่องไม่ได้หรอก"
เขาไม่ห่วงลูกชายเรื่องเสียความบริสุทธิ์มากเท่าลูกสาว
"ถ้าลูกชายผมไปทำผู้หญิงท้อง สถานการณ์ในบ้านตลอดเก้าเดือนก็คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ถ้าลูกสาวผมกลับบ้านมาบอกว่าตั้งท้อง ทุกอย่างในครอบครัวก็จะเปลี่ยนแปลงไปทันที เป็นผู้หญิงมันเสียหายกว่า มันเกี่ยวกับร่างกายเพศหญิง พ่อและแม่มีบทบาทการรับมือเรื่องนี้ต่างกัน ประเด็นลูกชายเสียความบริสุทธิ์กับลูกสาวเสียความบริสุทธิ์ก็เหมือนหน้าที่ของพ่อและแม่ที่ต่างกัน แม่มีหน้าที่ห้ามไม่ให้ลูกตัดผม ดัดผม ทำสีผม หรือเจาะตามร่างกาย แต่เธอสามารถมอบร่างกายให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้เชยชมได้โดยที่พ่อห้ามอะไรไม่ได้รึไง "
(ค่ะๆ แม่มีหน้าที่แค่นี้ มองบนแรงจนเห็นแต่ลูกตาขาว - ผู้เขียน)
แน่นอนว่า น้องDeyjah ไม่ OK แม้ว่าเธอไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกต่อเรื่องนี้ แต่ก็ไปกด like ให้กับชาวเน็ทที่comment พ่อของเธอว่าเป็นจอมบงการ ถือสิทธิ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของร่างกายลูกสาวจนบังคับให้เธอตรวจภายใน ส่วนแม่แท้ๆของเธอก็post จิกกัดใครบางคนลอยๆว่า "ช่างหลงตัวเองซะจริงนะ"
DJ Khaled ประกาศว่าไม่มีทางทำoral sex ให้กับผู้หญิง เพราะหญิง-ชายมี "หน้าที่"ที่ต่างกัน
"ไม่อะ ไม่มีวันซะหรอก" นี่คือคำตอบของนักดนตรีชื่อดัง หลังจากที่ได้รับคำถามว่าจะยอม "ลงสู่เบื้องล่าง" เพื่อปรนเปรอความสุขให้กับฝ่ายหญิงหรือเปล่า
" มันมีบางสิ่งที่ผมจะไม่ยอมทำเด็ดขาด ผมเชื่อว่าผู้หญิงจะต้องยกให้ผู้ชายเป็นราชา ถ้าคุณดูแลพวกผู้หญิงของคุณดีๆ เธอก็ต้องยกย่องชื่นชมเธอในฐานะราชินี การชื่นชมของผมคือ ดินเนอร์เราอร่อยมากมั้ย คุณชอบบ้านที่คุณอาศัยอยู่รึเปล่า แล้วเสื้อผ้าของคุณล่ะ ผมคือคนหาเลี้ยงครอบครัว รู้ใช่มั้ย มันคือหน้าที่ผม"
เข้าใจไม่ผิดหรอกค่ะ สำหรับผู้ชายคนนี้ การย้ำเตือนว่าเขา "เปย์" ผู้หญิงมากแค่ไหนก็ไม่ต่างจากการปฏิบัติเหมือนกับเธอเป็นราชินี
"สำหรับผู้ชายแล้วมันไม่เหมือนกัน คุณต้องเข้าใจนะ พวกเราคือราชา มีบางสิ่งที่คุณไม่อยากจะทำ แต่ก็ต้องฝืนใจทำลงไป แต่ผมทำในสิ่งที่คุณคาดหวังไม่ได้ ไม่ไหวหรอก"
ประเด็นที่ DJ Khaled แสดงท่าทางที่รับไม่ได้กับการเล้าโลมผู้หญิงด้วยปากนั้นอาจจะเป็นที่เข้าใจได้ว่า มันเป็นเรื่องของรสนิยมทางเพศ หรือความเชื่อ แต่การเอามาพูดปาวๆในที่แจ้ง และยกเหตุผลด้วยคำว่า "ผู้ชายคือราชา" จึงไม่จำเป็นทำ oral sex ให้กับหญิงคนรักก็ไม่ได้ปิดบังแนวคิดชายเป็นใหญ่แม้แต่น้อย หลายคนตีความคำพูดของ DJ Khaled อย่างมั่นใจว่า ในทางกลับกัน ความเป็นไปได้ที่เขาจะไม่คาดหวังให้ผู้หญิงทำสิ่งนั้นเพื่อแสดงความ "ชื่นชม" ราชาสายเปย์คงมีอยู่น้อยมาก
Liam Neeson
เคยเดินตระเวนหาคนร้ายชายผิวดำด้วยความแค้นถึงขนาดลงมือฆ่าได้!!
ภาพคุณพ่อสุดโหดจาก Taken อาจทำให้ Liam Neeson กลายเป็นนักแสดงที่แฟนๆมากมายชื่นชม แต่พวกเค้าอาจจะไม่คาดคิดว่า ในความจริง เขาเคยมีด้านมีโหดเหี้ยมถึงขนาดออกตามล่าฆ่าคนเหมือนในหนังด้วย
เรื่องรางได้เกิดขึ้นตอนที่ Liam ยังเป็นหนุ่ม เมื่อเพื่อนหญิงของเขาได้เล่าว่าถูกชายคนหนึ่งข่มขืน เขาก็เกิดโทสะอย่างรุนแรง คำถามแรกๆที่พุ่งขึ้นมาในหัวคือ "เธอรู้มั้ยว่ามันเป็นใคร" เมื่อเธอตอบว่าไม่ เขาก็ถามต่อไปว่า " มันผิวสีอะไร"
"เธอบอกว่ามันเป็นคนผิวดำ ผมจึงไปทั่วละแวกนั้นพร้อมกับไม้กระบองเพื่อจะจับใครให้ได้สักคน มันน่าอายที่จะพูดออกมา แต่ผมเที่ยวตามหาคนๆนั้นเป็นอาทิตย์ เฝ้ารอว่าไอ้ชั่วผิวดำนั้นจะออกมาจับผับแล้วหาเรื่องทะเลาะกับผม ผมจะได้ฆ่ามันซะเลย"
แม้ว่าเขาจะอธิบายเพิ่มเติมว่า ตอนนี้รู้สึกเสียใจมากที่เคยคิดอาฆาตขนาดนั้น แต่ social media ก็แทบลุกฮือ
ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่นี่ค่ะ
Liam ไม่ได้ถามว่า คนร้ายมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เขาถามว่า "ผิวสีอะไร" คำถามนี้สร้างความไม่พอใจและเกิดข้อกล่าวหาว่าเขาเหยียดผิวตามมาเป็นระลอกใหญ่
ชาวเน็ทหลายคนเชื่อว่า สิ่งที่แฝงอยู่ภายใต้คำถามของ Liam คืออคติจากการแบ่งแยกเชื้อชาติอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะแสดงความเสียใจที่ตัวเองเคยคิดแบบนั้น แต่ถ้ามองในมุมที่ว่า หากเขาตามไปเจอคนผิวดำในละแวกดังกล่าวพบ และลงมือทำร้ายคนๆนั้น ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนร้ายล่ะ ?
เจอกับกระแสกดดันค่อนข้างหนัก เขาจึงต้องออกมาเคลียร์ให้สังคมได้ตีความคำพูดใหม่อีกครั้ง
"ผมไม่ได้เหยียดผิว ผมเติบโตมาในไอร์แลนด์เหนือในช่วงที่มีปัญหาความขัดแย้ง จากช่วง 60s - ต้นๆ 80s มันมีการต่อสู้กัน ผมรู้จักกับคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางศาสนา วันหนึง คนที่นับถือCatholic ถูกฆ่า อีกวันคนที่นับถือ Protestant ก็ตายไปเช่นกัน ผมถูกแวดล้อมด้วยเรื่องแบบนั้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้องเกี่ยว"
อย่างไรก็ดี ที่ไอร์แลนด์เหนือมีคนผิวดำเชื้อสายแอฟริกันอาศัยอยู่เป็นส่วนน้อย ไม่ถึง1% ของประชากรด้วยซ้ำ Liam อาจจะไม่ได้ระบุว่า นี่เป็นประสบการณ์ตอนอยู่ที่ไอร์แลนด์เหนือหรือภูมิภาคอื่นของสหราชอาณาจักรที่อาจจะมีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากกว่า แต่ก็มีคำถามต่อไปว่า หากเพื่อนของเขาตอบว่า ผู้ร้ายเป็นคนเชื้อชาติออื่น อย่างฝรั่งผิวขาวล่ะ เขาจะเกิดความแค้นถึงขั้นคิดฆ่าให้ตายเหมือนกันหรือไม่
"แน่นอนครับ ถ้าเธอบอกว่าเป็นคนไอริช สก็อท อังกฤษ ลิธัวเนียน ผมก็จะยังรู้สึกเหมือนเดิม ผมพยายามปกป้องเกียรติของเพื่อนอันเป็นที่รักด้วยการแสดงออกแบบโบราณ มันทำให้ผมช็อคไปเลย แต่โชคยังดีที่ไม่ได้เกิดเหตุรุนแรงตามมา ต้องขอขอบคุณพระเจ้า"
อย่างไรก็ตาม การบอกเล่าเรื่องราวในอดีตในครั้งนี้ก็ทำให้ผู้คนเปลี่ยนมุมมองต่อพระเอกรุ่นใหญ่ไปเลยล่ะ