พาทัวร์อิตาลีเหนือ เก็บหมดครบทุกที่ : Scale Gail

43 18

กลับมาแล้ววววว พร้อมรีวิวอิตาลีที่ทุคนต้องไปสัมผัส

บอกเลยว่าเลิฟมากกก อยากรู้ว่าเที่ยวที่ไหนบ้าง มีอะไรน่าสนใจไปตามกันเลยจ้า

ก่อนจะเข้าสู่การรีวิวแต่ละท่องเที่ยวนั้น

มีสิ่งที่ต้องรู้เมื่อมาประเทศนี้กันก่อน


1. เดือนที่น่าท่องเที่ยวอากาศหนาว แบบไม่หนาวมากจะเป็นช่วง เดือน 11 และ 12

2. เงินสกุลที่นี่ใช้เงินสกุล Euro

3. อิตาลีสามารถเที่ยวได้ทั้งประเทศ แต่ส่วนมากที่ท่องเที่ยวหลากหลายจะอยู่ที่อิตาลีตอนกลางถึงตอนเหนือขึ้นไป

4. ภาษาท้องถิ่นก็จะเป็นภาษาอิตาลีเลย แต่ร้านค้าต่างๆก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับเราได้เป็นอย่างดี

5. ผู้คน ที่นี่เป็นประเทศที่อยู่ภายใต้สหภาพยุโรป ดังนั้นก็จะมีหลายเชื้อชาติโซนๆนั้นเข้ามา

6. เมื่อมีหลายเชื้อชาติ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องระวังคือขโมย ฉก ชิง วิ่ง ราว ทุบกระจกรถเพื่อขโมยของมีอยู่จริง คนที่อาศัยประเทศนี้เลยไม่ติดฟิล์มกระจกรถใดๆจ้า ปล่อยให้เห็นทั้งหมดเลย จะได้ไม่ต้องทุบให้เสียหาย เสียเวลา อันนี้คูลมาก 5555

7. ห้องน้ำไม่มีที่ฉีดค่ะ ผ่านไปเลย

8. ในห้องน้ำจะมีเหมือนโถข้างๆ โถส้วมอีกอัน รูปจะอยู่สุดท้ายเลยของการรีวิวนี้ เรียกว่าปิเด้ ตอนแรกก็งงว่าคืออะไร มันคือที่ไว้ล้างหลังเรา ทำธุระในห้องทำเสร็จ แทนที่ฉีดนั้นแหละเจ้า


จุดแรกที่จะไปคือ  เวนิส (Venice) หรือ เวเน็ตเซีย  (Venezia)

ที่นี่มีหลายวิธีที่จะเข้าเกาะเวนิสมากๆ 

เช่น เรือ รถบัส หรือเดิน ซึ่งเกลมากับทัวร์

แน่นอนว่าเค้าจะพามารถบัสจอดตรงท่าเรือก่อน และโดยสารต่อด้วยเรือค่า

วิวระหว่างนั่งเรือเข้าเกาะ ก็จะได้บรรยากาศประมานนี้ 

อากาศประมาน 10 องษา แต่ว่ามีลมด้วย โอ้โห หนาวจับใจ 

บ้านเมือง และอาคารจะออกแบบสวยงามตามรูปเลยจ้า

มุมบนสะพานที่ต้องถ่ายจริงๆ อิอิ

พอขึ้นมาที่เกาะ มีสถานที่ทางประวัติศาติ มากมาย เช่น

คลองเวนิสที่ทะลุกันทุกตรอก และเป็น Signature ของที่นี่

 จตุรัสซานมาร์โค (Saint Mark’s Square)  เป็นจุตรัสที่ใหญ่ที่สุดในเวนิส และเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่จะต้องไปเยือนให้ได้

บริเวณรอบๆจตุรัสซานมาร์โค มีโบสถ์สำคัญที่ชื่อว่า โบสถ์ซานมาร์โค (Saint Mark’s Basilica) หรือ Basilica di San Marco

 ตัวตึกนั้นถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์

 จุดเด่นของที่นี่คือด้านหลังของแท่นบูชาชื่อ ปาลา โดโร ที่เป็นมาสเตอร์พีสของศิลปะแบบไบแซนไทน์ ทำจากไข่มุก ไพลิน มรกต และโกเมน ด้านหน้าของโบสถ์เป็นหอระฆังที่สูงถึง 98 เมตร ด้านข้างเป็นรูปปั้นหินอ่อนแกะสลักรูปสิงโต 

ถัดมาเป็นหอนาฬิกาที่เป็นทางเดินไปยังถนนช้อปปิ้งและสะพานริอัลโต้ (Rialto)

มาจ้า เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง ถ้าไม่ได้นั่งเรือ กอนโดล่า 

นี่ยังคุยกับคุณแม่ขำๆ อยู่ว่า ไม่ต้องไปนั่งที่มาเก๊าแล้วนะแม่ ได้นั่งของจริงแล้ว ฮ่าๆ

เห็นเรือแบบนี้ สามารถนั่งได้ 4-6 คน

โดยคนที่พายเรือจะบอกว่าใครจะนั่งตรงไหน ให้เรือคงตัวได้ ไม่เอนไม่ข้างใดข้างนึง

ค่าขึ้นก็เอาเรื่องอยู่ค่า 120 Euro ต่อ 45 นาที (120x35บาท = 4000-4200 บาท)

อันนี้หาร 6 คนเลยเอ้ออ ค่อยยังชั่ว ปาดเหงื่อไปเบาๆ

อันนี้ชอบมาก คนบังคับเรือเค้าจะ มีท่าทางการบังคับหัวเรือ ให้หันไปตามทิศทางต่างๆ ถีบกำแพงบ้างล่ะ ดันพื้นบ้างล่ะ บอกเลยว่า ระหว่างที่เกลนั่งไปนั้น

ก็ลุ้นไปด้วยค่า ว่าจะล่มมั้ย 555


ซึ่งเค้าจะพาเราทะลุซฮยนั้น ออกซอยนี้ให้เห็นถึงวิถีชีวิตริมน้ำในเมืองเวนิส

สวยงามมากจริงๆ คือสวยทั้งน้ำ สวยทั้งตึกรามบ้านช่องเลย ชอบบ


อ่อ ตอนแรกเกลก็กังวลว่า ถ้ามารอบนี้น้ำจะท่วมอยู่มั้ย

โชคดีที่ไม่ท่วมแล้วค่ะ เค้ามีระบบจัดการค่อนข้างดี ให้น้ำระบายออกทะเลได้ไว

และไม่มีกลิ่นเหม็นเลยนะ นั่งเรือชมเกาะได้เพลินๆ

อันนี้เค้าพาออกมาทะเล ก่อนจะวนกลับเข้าไปค่า

เกลเลือกที่นั่งหัวเรือ เพื่อที่จะได้มุมนี้คนเดียวเลยนะ อ่ะแช้ะรูปหน่อยย ><

จุดที่สอง เที่ยวเวโรนา เมืองสุดโรแมนติก ตามรอยโรมิโอจูเลียต

เวโรนา (Verona) เมืองทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี 

อันเป็นจุดกำเนิดตำนานรักโรมิโอและจูเลียต 

ดินแดนแห่งอารยธรรมและศิลปะสไตล์โรมันที่สวยงาม

 จนยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก 

แม้จะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยคุ้นหูกันสักเท่าไร แต่เค้ามีอะไรมากมายให้คอยชม 

อย่างเช่น เวโรน่า อารีน่า รูปทรงจะคล้ายกับโคลอสเซียมที่กรุงโรมเลยค่ะ

แต่ว่ามีขนาดย่อส่วนลงมา

ส่วนนี้เมื่อก่อนจะใช้จัดแสดงงานรื่นเริงต่างๆ ของเมืองเวโรน่าเองด้วย

เมื่อหันหลังให้เวโรน่า อารีน่าเอง ก็จะได้ภาพย้อนแสงแบบนี้จ้า

ฝั่งตรงข้ามกับอารีย่าจะมีแหล่งช็อปปิ้ง ทั้งของแบรนด์เนมและของพื้นเมืองต่างๆ

ก็แนะนำเลยว่า ซื้อได้ ซื้อ 5555

มาถึง Hilight สำคัญของเวโรน่า อีกจุดนึงก็คือ บ้านของจูเลียต

ตามนวนิยาย โรมิโอ กับ จูเลียต

จากรูปจะเป็นฉากที่จูเลียต พร่ำเพ้อ ถึงชายหนุ่มอยู่ที่ระเบียง

และก็มีโรมิโอปรากฎตัวขึ้น ก็คือจุดของระเบียงแห่งนี้

ซึ่งถ้าเราอยากจะลองเป็นจูเลียตไปยืนตรงระเเบียงก็ มีค่าเข้าไปยืนถ่ายรูป ประมาน 6 Euro ค่า


และภายในรูปจะเห็นเป็นรูปปั้น หญิงสาวอยู่ ก็คือจูเลียตนั่นเอง

นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ ก็จะเดินทางมาจับนมของนาง

ค่ะ อ่านไม่ผิด ถือว่าเป็นเคล็ดให้ความรักสมหวัง ต้องเอามือขวาเรา

ไปคลำๆหน้าอกของรูปปั้นจูเลียตด้านซ้าย เพื่อให้ได้รักดีๆกลับไปนั่นเอง

จุดที่สาม มิลาน สวรรค์ของนักช็อป

มหาวิหารแห่งมิลาน(Milan Cathedral) เป็นมหาวิหารที่มีสถาปัตยกรรมแบบกอธิค อันได้ชื่อว่าเป็นวิหารแบบกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่ที่จัตุรัสกลางเมืองมิลาน เป็นแลนด์มาร์คสำคัญ ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อมาเยือนมิลาน

 เป็นที่รู้จักกันในภาษาอิตาลีว่า Duomo di Milano

 เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในอิตาลีรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่นครรัฐวาติกันเท่านั้นเองค่า


มาดู ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดของอิตาลี Galleria Vittorio Emanuele II

กันค่า ที่ี่บอกเลยว่าใหญ่และสวยมากกก แบบมีร้านรวงเต็มไปหมด

ทั้งแบรนด์ Local เองหรือ แบรนด์หรู คือครบสุด

และวันนี้เกลมาในช่วงของวัน Black Friday ลดกันสุดๆไปเลยจ้าา

ถ้าซื้อกระเป๋าที่นี่จะได้ ปั้มคำว่า Made in Milano ด้วยนะ อันนี้ชอบ

จุดที่สี่  Santa Margherita Ligure

จุดนี้เป็นชายฝั่งด้านตะวันตกทางตอนเหนือของอิตาลี  

เป็นเมืองที่สามารถเดินทางไป Portofino ได้โดยการนั่งเรือไป

อาคารและสีของเมือง น่ารักตามสไตล์เค้าเลยแหละ

ด้านหลังได้ฉากเป็นเรือที่จอดเทียบท่า ก็สวยไปอีกแบบค่า

แต่เมื่อเอียงตัวมาอีกหน่อย ด้านหลังก็จะเป็นเมืองท่าเรือ 

มีอาคารและ บ้าน เรียงตัวขึ้นไปเป็นขั้นๆ สวยงามแบบนี้เลย

ก่อนจะไปอีก หมู่บ้าน เกลโดยสารโดยรถไปค่ะ

ข้างในก็โปร่งโล่งสบาย ที่นั่งดี สะอาดตาเชียว

จุดที่ห้า หนึ่งในห้าหมู่บ้านบนผางาม Monterosso al Mare

หมู่บ้านมอนเตรอสโซ อัล มาเร หนึ่งในห้าหมู่บ้านสุดท้ายของแนวฝั่งชินเกว แตร์เร ที่มีผู้คนแวะเยี่ยมเยือนมากที่สุดด้วยหาดทรายขนาดพอประมาณ ทำให้ในหน้าร้อนจะมีนักท่องเที่ยวมานอนอาบแดดกันเต็พื้นทรายค่า

 แต่ตอนนี้หนาวแล้วเน้ออ เราเลยได้เห็นอีกมุมสงบของเมือง

มีร้านค้าต่างๆ ริมหาด ทั้งร้านขายของ และร้านอาหาร

ราคาอาหารที่นี่ก็ไม่แพงเลย

มีทั้ง พาสต้า พิซซ่า เจลาโต้ เครื่องดื่ม ก็มีให้เลือกสีี

ขอเก็บภาพสีตึกสวยๆก่อนขึ้นรถไฟกันนิดนึง

ชอบความละมุนของตึกมาก

ถัดจากหาดออกไปจะเป็น ผาหิน น้ำทะเลซัดแบบนี้ค่ะ

จุดที่ห้า จุดห้า สถานี Corniglia

เป็นสถานีระหว่าง จุดที่5และ 6 เป็นสถานที่รอรถไฟ คือมุมนี้ดีมากกก

วิวทะเลสวย อยากให้มาแชะภาพกันค่า

อ่ะรูปก็เริศอยู่เด้อออ ฮ่าๆ

จุดที่หก หนึ่งในห้าหมู่บ้านบนผางาม เวอเนสซ่า (Vernazza)

หมู่บ้านนี้น่ารักมากกก ตึกสีชมพู สลับกับเหลือง ส้ม

ถ่ายรูปมาจะเป็นเมืองหวานๆเลยทีเดียว

ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการทำประมง และเป็นแหล่งท่องเที่ยว

มีร้านรวงต่างๆมากมายให้เลือกซื้อของฝากกันเลยค่า

สถานที่และตึกนั้นนน คลาสสิคสุดๆ

เกลใช้เวลาอยู่นี่ค่อนข้างหลายชั่วโมง เดินไปเดินมา ถ่ายรูปบ้างอะไรบ้าง ฟิน


เพิ่มเติมนะคะ ใครมีโอกาสได้หปอยากให้ลองพิซซ่าร้านตรงกลางหมู่บ้าน อร่อยและถูก คนเยอะแต่ทำไว

จะยืนถ่ายตรงท่าเรือ หรือกลางซอยตึกก็เก๋เด้ออ

จุดที่เจ็ด หอเอนปิซ่า (Leaning tower of Pisa)

ว้ายยตายแล้วแกร๊ ได้มาซะที

เห็นของจริงๆคือ เอ้ออ ตึกอะไรทำไมน่ารักอย่างงี้อ่ะ

เอนแบบคิ้วท์ๆ ชอบที่ทุกคนจะมีท่าทางของตัวเอง ในการถ่ายรูป ตีลังกาเอยย จูบตึก เลียตึก และอีกมากมาย

แต่เกลก็ไม่พลาดได้รูปสวยๆมาประมาน 6 รูป จาก100 โถ้ววว ก็คนมันเยอะแล้วทุกคนต่างอยากได้มุมส่วนตัวไม่ติดคนทั้งนั้นอ่าเจ้าา ไม่เชื่อดูข้างล่าง ฮี่ๆ

จุดที่เจ็ด จุด ห้า สังเกตุ ต้นไม้และใบไม้

ต้นไม้ที่นี่มีความสมบูรณ์อยู่มาก

ต้นไม้สูงใหญ่จะอยู่รอบเมือง

และรต้นไม้เล็กๆ ก็จึ้นตามฤดู จะเห็นว่าส้มนี่ดกทั้งต้นเต็มถนน อยากจะเด็ดกินแต่พอได้ชิมส้มตามร้านแล้วบอกเลยว่า ไม่ได้หวานแบบที่คิดน้า ฮ่าๆ

จุดที่แปด โคลอสเซียม (Colosseum)

ที่นี่จัดได้เป็นลายอัศจรรย์ต้นแบบของทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ที่เห็นๆอยู่มีอายุมากกว่าสองพันปี บางทีก็สงสัยว่าคนกรุงโรมสร้างกันได้ยังไงให้แข็งแรงเหลือไว้จนถึงรุ่นเราขนาดนี้ เมื่อก่อนเป็นสถานที่จัดการแสดงต่างๆ ทั้งการต่อสู้ งานรื่นเริง ทางเรือและทางน้ำ ที่นี่ก็จัดได้ทั้งสิ้นจ้า

ข้างๆโคลอสเซียมก็จะมี ประตูชัย ที่เป็นต้นแบบของประตูชัยที่ฝรั่งเศส อ่ะถ่ายนี่ไปก่อน ไว้ไปฝรั่งเศสน้องจะมารีวิวใหม่ ><

จุดที่เก้า มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครวาติกัน

มาถึงนี่ คือบอกเลยว่าขนาดชาวพุทธแบบเกลบังร้องโอ้โห สวยมากก ใหญ่มากก เวอร์วังอลังการเห็นแล้วขนลุก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นจุดเดียวกับที่พระสันตะปาปา ประมุขนั้นมายืนให้พรทุกวันพุธ และทุกเทศกาลต่างๆเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ที่นี่ค่า

ภายในวิหารมีจิตกรรม รูปปั้น ภาพวาดฝาผนังมากมาย คือสร้างได้เหมือนมีชีวิต รูปปั้นที่เป็นเสื้อผ้าของเทพต่างๆยังมีความพริ้วไสว สวยงาม 

เดินนานมากในนี้ ชอบค่า

ส่วนนี้จะเป็น ทหารสวิส

อ่าา ทหารเหล่านี้มีเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์

ประวัติของเค้ามีมาเนิ่นนานแล้วว่า เป็นทหารที่ดูแลผู้ว่าจ้าง ซึ่งสมัยนั้นเป็นเหล่าราชวงศ์ ตราบชีวิตจะหาไม่ คือคุ้มกันจนตัวตาย ที่สำคัญมีความว่องไวและปราดเปรียว แข็งแรงที่สุด

ดังนั้น ทหารสวิสเลยได้มารับใช้พระสันตะปาปาและสถานที่ศักดิสิทธิ์แห่งนี้ด้วยค่า

จุดที่สิบ น้ำพุเทรวี่ (Travi Fountain)

โอ้ยยย บอกเลยว่าที่ไกด์เนี่ย จะพาเกลมาน้ำพุๆๆ

มาโยนเหรียญเพื่อจะได้กลับมาอิตาลีอีก จะได้มียศฐา อะไรพวกนี้ เกลคิดว่าเอ้ออ น้ำพุเล็กๆ

เลยเดินตามทางบันไดสเปนมาเรื่อยๆ แบบเห้ยยย

น้ำพุเล็กๆทำไมเสียงดังจังอ่ะ


เลี้ยวมาเจอคือ โอ้โหหห ใหญ่มากแม่ เรียกน้ำตกเถอะ งามจริงๆค่า นักท่องเที่ยวก็จะเอาเหรียญอะไรก็ได้ เหรียญบาทก็ได้นะ ถือไว้มือขวา และโยนข้ามไหล่ซ้ายให้ลงน้ำพุ ความร่ำรวยและมั่งคั่งจะสำเร็จแก่คนที่โยนได้ลงบ่อ อ่ะไปค่ะ เริ่มโยนได้!

จุดที่ 11 บันไดสเปน (Spanish Step)

บันไดสเปนอันลือชื่อเรื่องช้อปปิ้ง มีที่มาจากอยู่ข้างหน้าทางขึ้นบันไดไปสถานฑูตสเปน เค้าก็เลยเรียกแหล่งช้อปปิ้งนี้ว่า บันไดสเปนนั่นเอง 


ร้านค้าต่างๆเยอะแยะหนักมากกกก

ยิ่งช่วง Black Friday แบบนี้ คือลดแล้วลดอีก

โอ้ยย อินี่จะเป็นลม เดินถือถุงสองข้าง เยอะแยะ มีหมื่นหมดหมื่นอะบอกแค่นี้55555

มาอีกวันที่บันไดสเปน ก็ขอเก็บรูปไว้1แชะ

อ่ะจบไปแล้วกับแหล่งท่องเที่ยวมากมายของเกล

มาถึงขนมที่ต้องกินทุกวันคือเจลาโต้จ้าา

อร่อยทุกเมือง นี่ก็ไล่กินมาเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ซะที แฮ่ๆ

ส่วนรูปสุดท้ายจะเป็น ปิเด้ ตามที่เกลบอกด้านบนนู้น 

เค้ามีทุกโรงแรม ทุกบ้านจริงๆนะยู ตอนแรกก็แปลกๆ แต่ลองใช้แล้วเอ้ออ มันดีจริงๆ ของดีอิตาลีเค้าเลยแหละ

สเกลเกล in อิตาลี ก็จบลงไปแล้วนะค้า

ไว้รีวิวหน้าจะมาบอกต่อใช้ครีมอะไรท้าลมหนาวที่นี่

และของฝากที่ต้องซื้อกลับมาคืออะไรบ้าง อย่าลืมติดตามน้า อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนเลยค่าา ร้ากก❤️


Punnapa Kevanon

Punnapa Kevanon

สวัสดีค่า เราเป็นสาวชอบการรีวิวเป็นชีวิต
ทั้งของใช้ ของกิน ที่เที่ยว ชอบไปหมดเล้ยย
เรียกได้ว่าขยันรีวิวเก่ง (: ฮี่ๆ

มาดูความบ้าบอรีวิวของเราได้ที่ปุ่ม Social ด้านล่างเย้ย
หรือมาคุยกันได้น้า ที่ Line : Scalegail_

FULL PROFILE