Review : เลเซอร์กระเนื้อโดยแพทย์ผิวหนังโดยตรงค่า^^

38 13
สวัสดีค่า~ วันนี้เราจะมารีวิวการทำเลเซอร์กระเนื้อกับคุณหมอผิวหนังที่โรงพยาบาลเปาโลพหลโยธินค่ะ
เราว่าคงมีสาวๆหลายคนที่เป็นกระเนื้อก่อนวัยอันควรแบบเราใช่มั้ยล่ะคะ ซึ่งถึงแม้น้องกระเนื้อจะไม่สร้างความเจ็บปวดให้หน้าเรา แต่เวลาส่องกระจกไม่ว่าจะตอนหน้าสดหรือหน้าเต็มน้องก็จะมา Say Hi! เราตลอด แถมน้องยังทำให้หน้าเราไม่เรียบเนียนด้วย ซึ่งส่วนตัวเราเองก็อยากจะมีบ้างบางวันที่อยากจะแต่งหน้าโชว์งานผิวแบบสายเกาหรืออยากจะฟาดไฮไลท์ปังๆแบบสายฝ.บ้าง

แต่เพราะน้องกระเนื้อนี่แหละค่ะทำให้เราต้องพับงานไฮไลท์ งานโชว์ผิวไปแล้วฉาบปูนอยู่ทุกวัน เฮ้อ! กระก็ไม่มีท่าทีว่าจะหายแถมเสี่ยงสิวขึ้นเพราะโบกรองพื้นไปอีก

เราเจอกับน้องตลอดเวลาและทนมาตลอด จนถึงจุดแตกหักที่ว่าน้องเริ่มโตขึ้น! แถมมีสีเข้มขึ้น!! จนเราน้องไปปรึกษาป้าที่เป็นพยาบาลที่เปาโลพอดี แถมรู้จักกับคุณหมอด้วย! ทุกอย่างดูโป๊ะเช๊ะเหมือนโรยกลีบกุหลาบมาให้เราเดินใช่มั้ยล่ะคะ

แต่!! ฟามนิสัยชะนีขี้งกของเราอ่ะค่ะ อยากสวยนะ แต่งกอ่ะ เพราะคิดว่าโรง'บาลเอกชน ยังง๊ายยยังไงก็ต้องแพง! เลยไปซุ่มถามตามคลีนิกความงามต่างๆ ซึ่งราคาก็สตาร์ทที่ 5000 บาทไปแล้ว และราคาที่ตามคลีนิกประเมินหน้าเรามานั้นคือ 7000-15000 บาท (ช็อค..)

สุดท้ายเลยไปปรับทุกข์กับป้าอีกรอบค่ะ ซึ่งป้าน่าจะรำคาญจัดเพราะเราบ่นทุกวัน555 เลยจูงเราไปที่แผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลเลยค่ะ และถือว่าเป็นโชคดีของเราที่วันนั้นคุณหมอเข้าพอดี (คุณหมอไม่ได้เข้าโรงพยาบาลทุกวันนะคะ)

คุณหมอก็ดูหน้าเราแล้วบอกว่า 'โห! เยอะมากเลยอ่ะ' ซึ่งเราแอบน้ำตาไหลพรากในใจเพราะตอนนั้นยังมีรองพื้นบนหน้าอยู่เลย ขนาดแต่งหน้าอยู่หมอยังบอกว่าเยอะ ไม่อยากจะนึกถึงตอนลบหน้า TT

มาดูความสามารถของน้องในการเฉิดฉายทะลุรองพื้นกันค่ะ


ซึ่งหมอก็ประเมินราคามาเสร็จสรรพซึ่งราคาอยู่ที่ 10,000 บาทถ้วนจ้า ซึ่งแรงมั้ย.. แรงนะ แต่ก็ถูกกว่าคลีนิกความงามบางที่ที่ประเมินหน้าเราอ่ะ55 แถมอันนี้เป็นคุณหมอทำให้เองด้วย ก็เลยตกลงทำ พอตกลงทำปุ๊บคุณหมอก็ให้ไปคลีนหน้าค่ะ ซึ่งคลีนซิ่งก็แบรนด์ชื่อดังที่เวลาโฆษณาจะเป็นภาพสีขาวดำอ่ะค่ะ แล้วก็ให้ใช้โฟมล้างหน้าซึ่งก็ของแบรนด์เหมือนกัน ไอ้ตัวเราก็เลยประทับใจไปละหนึ่งดอก! ซึ่งการล้างหน้านี่ต้องล้างให้สะอาดสุดๆเลยนะ เพราะหน้าเราจะไม่สามารถโดนน้ำได้ 24 ชั่วโมงหลังทำเลเซอร์ค่ะ พอล้างหน้าเสร็จปุ๊บ ก็มาถึงการทายาชาค่ะ บอกเลยว่าก่อนจะมาทำกับที่นี่ก็ดูรีวิวมาเยอะนะคะ แต่ไม่มีที่ไหนโปะยาชาเยอะเท่าที่นี่เลยค่ะ555 พยาบาลโปะให้หนามากกก เสมือนยาชานั่นคือที่มาร์กหน้าค่ะ ถ้าถามว่าหนาแค่ไหน เชิญดูรูปค่ะ...
หลังจากทายาชาเสร็จก็ไปนั่งรอในห้องรับรองสวยๆ 50 นาทีค่ะ บอกเลยว่าชามากๆ ชาจนยิ้มไม่เป็น5555

พอครบ 50 นาที ก็ถึงเวลาขึ้นเขียงค่ะ ซึ่งตัวเครื่องเลเซอร์ก็เป็นเครื่อง CO2 ค่ะ เราก็นอนลงบนเตียงแล้วก็จะมีไฟสีส้มดวงใหญ่เหมือนไฟในห้องผ่าตัดส่องหน้าเรา ซึ่งพี่พยาบาลผู้ช่วยคุณหมอก็จะเอาผ้าสก็อตมาปิดตาเราค่ะ เพราะกันแสงไฟด้วยและกันแสงจสกเลเซอร์ด้วย

ซึ่งคุณหมอก็ค่อยๆเช็คยาชาไปทีละจุดนะคะ เช่น จะทำตรงแก้มขวาก็เช็ดออกแค่ตรงแก้มก่อน ซึ่งพอเช็ดปุ๊บคุณหมอก็ยิงปั๊บเลยค่ะ แล้วก็จะมีพี่พยาบาลถือไอ้เครื่องเป่าลมเย็นๆช่วยไม่ให้มันร้อน

ซึ่งบอกเลยว่า ไม่เจ็บเลย!! ไม่ใช่ไม่เจ็บสิ.. ไม่รู้สึกเลยดีกว่า คือเรามารู้ว่าหมอยิงแล้วก็คือตอนได้กลิ่นไหม้บนหน้าอ่ะ5555 แต่ถามว่ามีจุดที่เจ็บมั้ยก็มีนะ อย่างตรงไรผมที่น้องซ่อนอยู่แล้วพี่พยาบาลไม่เห็นเลยไม่ได้ทายาชาให้บอกเลยว่าตอนหมอจี้ไปปุ๊บคือร้อนจนขนลุกวาบไปทั้งตัว55 ขนมีกี่เส้นคือพร้อมใจกัน Stand up มากๆ แต่ก็แค่ 2 วิแหละ มันร้อนแบบมีไปโดนหม้อข้าวแหละแต่ร้อนลึกไปถึงชั้นใต้ผิวแค่นั้นเอง555 แล้วก็อีกจุดที่เจ็บคือเปลือกตาแต่ก็จิ๊ดเดียว เหมือนมีคนเอาเข็มมาสะกิด

เราเจ็บแค่สองจุด และที่เหลือก็ชิลแล้วค่า เราใช้เวลาจี้เกือบๆ 20 นาที เพราะเยอะมาก จนคุณหมอถามว่าอายุ 22 จริงๆหรอเนี่ย

พอจี้เสร็จก็ลุกมาดูกระจกจ้า แทบทรุด..คือรู้ตัวแหละว่าเยอะ แต่ไม่นึกว่าจะเยอะขนาดนี้ คือหน้าเรามีแผลจุดๆเป็นร้อยเลย!
พอทำเสร็จคุณหมอก็บอกวิธีดูแลซึ่งมีแค่ 2 อย่างคือ
1. ห้ามโดนน้ำ 24 ชั่วโมง
2. ห้ามโดนแดด 2 อาทิตย์

แล้วก็ให้ยามาทาค่ะ ซึ่งก็คือตัวนี้
ตัวยาตัวนี้เป็นยาช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ทำให้แผลเราไม่ติดเชื้อนั่นเองค่ะ เราก็ทาทุกเช้า-ก่อนนอน ซึ่งพอหลังทำเลเซอร์มา 2 วัน หน้าเราแห้งมากๆค่ะ แห้งจนตึงหน้าไปหมด แถมหน้าสากมากๆ แต่โชคดีที่ยังไม่มีอาการแสบร้อน ซึ่งบางคนอาจจะเป็นนะคะ ถ้ามีอาการแสบร้อนก็สามารถใช้ว่านหางจระเข้ช่วยบรรเทาได้ค่ะ

แล้วก็เรางดทาครีมที่ใช้ปกติ แต่งหน้า ทาแป้ง คือแค่ทากันแดดอย่างเดียว เพราะถึงแม้จะไม่ได้ออกจากบ้านแต่เราก็ทาค่ะ

ซึ่งกันแดดที่เราใช้ก็คือเจ้าตัวนี้ค่ะ
ที่ใช้ตัวนี้เป็นเพราะในเมื่อเราไม่ได้แต่งหน้าทาแป้ง แถมล้างหน้ามากก็ไม่ได้ ทำให้หน้าเราเมือกมากๆนั่นเองค่ะ และกันแดดปกติที่เราใช้มันเป็นเนื้อน้ำนม ซึ่งทำให้หน้าเยิ้มกว่าเดิมไปอีก เราเลยใช้ตัวนี้แทนเพราะทาปุ๊บแห้งเลย ไม่ทิ้งความมันไว้บนหน้า แต่ก็ไม่ได้แห้งจนถึงกับว่าเหมือนไม่ได้ทานะ คือมันจะรู้สึกมีอะไรมาเคลือบๆลื่นๆบนหน้า แต่มันทำให้เบาสบายหน้ามากๆ

และที่สำคัญคือกันแดดตัวนี้มีส่วนผสมของ 'ว่านหางจระเข้' ซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีประโยชน์กับหน้าเราตอนนี้มากๆเลยค่า

ช่วง 3-4 วันแรกเราใช้แค่ตัว Fucidin กับ กันแดดเลยค่ะ ไม่กล้าใช้เยอะเพราะกลัว ถึงแม้หมอจะไม่ได้ห้ามก็ตาม..
ช่วงนี้สะเก็ดจะเริ่มหลุดแล้ว และในวันที่ 4 เราเริ่มคันหน้าค่ะ และรู้สึกร้อนวาบๆบนหน้า เราเลยใช้สบู่ล้างหน้าของพี่โอปอล์ (ใช้เป็นปกติอยู่แล้วนะ) และเจลว่านหางจระเข้ที่เป็นแบบออแกนิค 100%
ซึ่งพอใช้สบู่พี่โอปอล์ล้างหน้าปรากฏว่าแผลสะเก็ดติดมากับฟองสบู่เลยค่ะ โดยเฉพาะตรงหน้าแก้มคือหายไปหมดเลย เราเลยซับหน้าให้แห้งแล้วเอาตัวว่านหางจระเข้ทา แล้วโบกด้วยเจลลดรอยสิว รอบแผลเป็นโบะไปอีก คือคิดไปเองว่ามันจะเป็นรอย ทั้งที่ความจริงแล้วมันหลุดออกมาเป็นผิวปกติเราเลย คือไม่แดง ไม่ด่าง น้องออกมาสวยงามใสกๆ แต่เจ้าของหน้าคือกังวลไปเอง

ซึ่งตัวแต้มเราก็ใช้ตัวนี้ค่ะ
หลังจากนั้นสะเก็ดก็เริ่มหลุดเยอะขึ้นเรื่อยๆค่ะ เพราะเวลาเรานอนแล้วหน้าสีกับหมอน แล้วหลุดออกมาเวลาล้างหน้าค่ะ ซึ่งสะเก็ดเราหลุดหมดภายใน 3 วันเท่านั้นค่ะ
พอสะเก็ดหลุดหมดเราก็เปลี่ยนกันแดดมาใช้ตัวนี้ค่ะ
ที่เปลี่ยนมาใช้เพราะคุณหมอแนะนำให้ใช้กันแดดที่มีค่า PA+ เยอะๆค่ะ ยิ่งบวกเยอะยิ่งดี เพราะจะช่วยป้องกันการเกิดฝ้ากระมากๆ
เอาล่ะ.. มาสรุปกันอีกที



Q: สาเหตุของการเกิดกระเนื้อ

A: กรรมพันธุ์, เวลาออกแดดไม่ทาครีมกันแดด, การเสียดสี (ถูหน้าแรงเกินไปหรือเวลาแต่งหน้าใช้ฟองน้ำหรือแปรงถูหน้าแรงไป)



Q: ราคารวมเท่าไร?

A : จ่ายไปทั้งหมด 11,000 บาท คุณหมอขอเพิ่ม 1000 ค่ะ เพราะมันเยอะกว่าที่หมอประเมิน เพราะตอนแรกประเมินตอนเราแต่งหน้า



Q: ทำแล้วจะกลับมาอีกมั้ย? และจะกลับมาเยอะรึเปล่า?

A: มันกลับมาค่ะ แต่ก็นานค่ะ คุณหมอเราแจ้งว่าเร็วสุดเลยก็คือ 2 ปีค่ะ ส่วนจะเยอะจะน้อยก็ขึ้นอยู่อยู่กับบุคคลค่ะ ถ้ากรรมพันธุ์แรงก็อาจจะเยอะน้า






ส่วนตัวเราพอใจกับผลลัพธ์มากๆเลย ถึงมันจะไม่ได้ได้ผลแบบนี้ตลอดชีวิต แต่ถ้ามันเทียบกับการที่เราไม่ต้องแต่งหน้าหนาทุกวัน ไม่เสี่ยงกับการเป็นสิว เราก็ว่ามันคุ้มนะ คือรู้สึกได้ว่าชีวิตง่ายขึ้น แต่งหน้าง่ายขึ้น เลือกซื้อรองพื้นบางเบาได้ เอาง่ายๆคือมันดีกับใจเรานั่นแหละ



หวังว่าบล็อกนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่หาข้อมูลอยู่ไม่มากก็น้อยนะคะ^^

ส่วนสถานีทำสวยต่อไปคือเลเซอร์กระชับรูขุมขนค่ะ และทำที่เดียวที่เดิม แหะๆ ใครสนใจให้รอติดตามกันด้วยนะคะ


ปล. การเขียนบล็อกนี้เป็นเพียงการบอกเล่าประสบการณ์ดีๆของตัวเองเท่านั้น ทั้งค่ารักษา ค่าสกินแคร์ที่ใช้คือเงินตัวเองทั้งสิ้นจ้า
สถานีต่อไปคือการทำเลเซอร์กระชับรูขุมขน ซึ่งทำที่เปาโลเหมือนเดิม คุณหมอคนเดิม แต่ไม่รู้ว่าจะชิลเหมือนเดิมมั้ย เพราะบางคนบอกว่าเจ็บมาก..TT ใครสนใจทำรอติดตามไว้เลยค่า


GGonstyle

GGonstyle

จะมาแชร์ประสบการณ์ทำสวยให้ฟังก็ต่อเมื่อมีตังค์ไปทำสวยได้อีกทีนึงค่า

FULL PROFILE