Chiang Mai Kiang Lai Trip ✈️ พากันไปเชียงใหม่และเคียงไหล่กันเที่ยว 💚
Triam Chit
54
13
สวัสดีคะเพื่อนๆจีบันทุกคน วันนี้เจมาพร้อมการบอกต่อความประทับใจของทริป
" เชียงใหม่เคียงไหล่ " ของเจในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แน่นอนคะว่าในช่วงเดือนมกราคมนั้น จะเห็นเพื่อนๆหลายคน จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก และแพ็คกระเป๋าเดินทางมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่กันอย่างมากมาย เพื่อไปสัมผัสอากาศหนาว ชมความสวยงามของเมฑหมอก ขึ้นเขาชมดอย ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่นั้นก็มีสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พัก สถานที่ให้ทำกิจกรรมหลากหลายที่น่าสนใจ ในครั้งนี้เจไปทั้งหมด 4 วัน 3 คืนคะ และไปพร้อมกับตากล้องคู่ใจที่เกาะติดกันไปด้วยทุกทริป ^^
เจอาจจะไม่ได้เรียงว่าในแต่ละวันเจไปไหนอะไรยังไงบ้าง เพราะเราแวะกันเยอะมากจริงๆ 55 55 5 เอาเป็นว่าเจจะมาบอกต่อสถานที่หลักๆที่เจเลือกมาแล้วว่าใช่ ไปแล้วมาว่าโดนใจแล้วกันนะคะ
" ถ้าพร้อมกันแล้วตามเจไปเที่ยวกันได้เลย Let's goooooo !! "
1. ประตูท่าแพ ( Tha Pae Gate )
ตั้งอยู่ที่ ถนนมูลเมือง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ประตูท่าแพ เป็นประตูทางทิศตะวันออกและเป็น 1 ใน 5 ประตูเมืองชั้นในของเวียงเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นประตูเมืองเพียงแห่งเดียวที่มีบานประตูและเป็นจุดตั้งต้นของถนนคนเดินท่าแพในวันอาทิตย์ อีกทั้งยังเป็นลานจัดกิจกรรมประเพณีต่างๆ ของเมืองเชียงใหม่อีกด้วยคะ
ถือเป็นจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมแวะมา เพราะอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ส่วนมากก็จะชอบมาถ่ายรูปกับประตูท่าแพและมาถ่ายรูปกับฝูงนกนกพิราบจำนวนมากที่อาศัยอยู่บริเวณนี้คะ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี้ไปแล้วที่เรามักจะเห็นรูปถ่ายของนักท่องเที่ยวที่ถ่ายกับบริเวณประตูท่าแพพร้อมกับจังหวะการบินของนกพิราบ แต่เจเองไม่ได้รูปกับนกพิราบนะคะ เพราะใช้เวลารอคิวนานในการให้อาหารแก่นกพิราบก่อนถ่ายรูป มีแค่รูปกับประตูท่าแพมาฝากเพื่อนๆแทนคะ
2. วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ( Phra That Doi Suthep Temple )
ตั้งอยู่ที่ ถนนศรีวิชัย ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
เดินทางตามถนนห้วยแก้ว ผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ไปตามทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ระหว่างทางจะมองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่อยู่เบื้องล่าง ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
วัดพระธาตุดอยสุเทพตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ ผู้ที่เดินทางมาสักการะที่วัดแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ ได้อย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดนาคไป 300 ขั้น เพื่อไปยังวัด หรือใช้บริการรถกระเช้าขึ้น-ลงดอยสุเทพได้ ระหว่างเวลา 05.30-19.30 น. โดยค่าบริการขึ้น-ลง คนละ 20 บาท (สำหรับคนไทย) และ 50 บาท (สำหรับชาวต่างชาติ)
ตามประวัติแห่งดอยสุเทพนั้นเชื่อกันว่า เดิมภูเขาแห่งนี้เป็นที่อยู่ของฤาษีนามว่า "สุเทวะ" ซึ่งตรงกับคำว่าสุเทพอันเป็นที่มาของชื่อดอยสูงแห่งนี้ โดยวัดพระธาตุดอยสุเทพนี้สร้างขึ้นเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 6 เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้ทรงอัญเชิญมาจากเมืองศรีสัชนาลัย
และที่วัดพระธาตุดอยสุเทพนี้จะมีงานประเพณีสำคัญเตียวขึ้นดอยเพื่อสักการะพระธาตุดอยสุเทพจัดเป็นประจำทุกปี โดยมีขึ้นก่อนหน้าวันวิสาขบูชา 1 คืน ในงานจะมีขบวนแห่น้ำสำหรับสรงพระธาตุโดยมีพระสงฆ์ สามเณร และพุทธศาสนิกชนจากชุมชนต่าง ๆ มาเข้าร่วมขบวนแห่ขึ้นดอยนี้เป็นจำนวนมาก
เชื่อกันว่าหากมาสักการะและอธิษฐานขอพรพระธาตุดอยสุเทพ จะมีแต่ความสำเร็จสมหวังดังปรารถนา แคล้วคลาด ผ่านอุปสรรคนานาไปได้ ในการสักการะพระธาตุนั้น ควรเตรียมข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียนแล้วเดินเวียนขวา 3 รอบ พร้อมกล่าวคำนมัสการพระธาตุ โดยตั้งจิตอธิษฐานขอให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา และควรไหว้พระธาตุให้ครบทั้ง 4 ทิศ ซึ่งให้อานิสงส์ที่ต่างกัน คือ ทิศเหนือขอให้มีปัญญาดุจพระจัทร์เพ็ญ ทิศใต้ ขอให้ได้เป็นพระภิกษุสงฆ์ได้บวชในบวรพุทธศาสนา ทิศตะวันออกขอให้ได้ขึ้นสวรรค์ ทิศตะวันตกเป็นการเคารพบูชาสูงสุดต่อพระธาตุ สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มานมัสการพระธาตุดอยสุเทพแล้ว ควรมากราบอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ที่ประดิษฐานอยู่ตรงเชิงดอยสุเทพเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
3. I Love Flower Farm
ตั้งอยู่ที่ ตำบลเหมืองแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางไม่นานมากจากตัวเมืองเชียงใหม่
เป็นสวนดอกไม้ขนาด 8 ไร่ บานสะพรั่งไปด้วยหมู่มวลดอกไม้หลากหลายชนิด ทั้งดอกคัตเตอร์สีขาวละมุน ดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดใส และดอกมาร์กาเร็ต สีม่วงอ่อน
เวลาเปิดทำการ : เปิดทุกวัน 09.00 – 18.00
และการเข้าไปชมสวนดอกไม้นั้นจะต้องมีการจองผ่านทาง Inbox Facebook : I love flower Farm หรือโทรสอบถาม ก่อนเข้าชม 1 อาทิตย์ ที่เบอร์ 082-897-2679, 088-266-7885 เพราะเขาจำกัดจำนวนคนเข้าต่อวันไม่เกิน 200 คน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมถึงป้องกันไม่ให้แปลงดอกไม้เสียหายคะ
การเข้าไปถึงในสวนดอกไม้ เข้าไม่อนุญาติให้นำรถยนต์เข้าไปเองนะคะ จะมีลานจอดรถให้พร้อมรถรับส่งของทางชาวบ้านคอยอำนวยความสะดวกแทนคะ
4. Lan Na Wild
ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านป๊อก ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ จากในตัวเมืองเชียงใหม่ไปที่พัก แนะนำสำหรับผู้ที่ขับรถยนต์ไปเองแบบเจ ให้เผื่อเวลาเข้าที่พักก่อนจะมืดนะคะ เพราะทางที่เข้าไปค่อนข้างคดเคี้ยวและชันมาก ในบางช่วงนั้นไม่มีแสงไฟตามบริเวณไหล่ทาง ต้องอาศัยเพียงแสงไฟหน้ารถเท่านั้น อีกทั้งต้องคอยระวังรถที่วิ่งสวนทางลงมาอีก ค่อนข้างอันตรายคะหากเดินทางในช่วงมืดแล้ว ซึ่งเจกับแฟนก็มัวแต่พากันตะลอนกิน กว่าจะไปถึงก็ประมาณทุ่มหนึ่งคะ ซึ่งก็ค่อนข้างมืดแล้ว ^^"
มาถึงในส่วนของบริการ Room Rate กันบ้างดีกว่า ที่นี้จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคะ คือ Summer Season และ Rainy Season รายละเอียดเพิ่มเติม เจลงไว้ให้ในรูปภาพด้านล่างแล้วนะคะ
เราสามารถเริ่ม Check in เวลา 15.00 น. และ Check out เวลา13.00 น. คะ และที่พักที่นี้ให้งดเสียงดังในโซนที่พักหลัง 21.00 น. เพื่อให้ผู้ที่เข้าพัก ได้รับการพักผ่อนอย่างแท้จริงคะ
ในส่วนของห้องอาการเปิดตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. มีตั้งอาหารตามสั่ง ชุดหมูกะทะ เครื่องดื่มหลากหลายคะ และที่นี้เพื่อนๆจะได้ทานมื้อเย็นที่เสิร์ฟพร้อมบรรยากาศพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า และน่าเสียดายเจไปไม่ทันในช่วงนั้น อย่างที่บอกคะว่ามันแต่ตะลอนกิน 5 55 55 แต่ในช่วงที่ไปถึงกันนั้นห้องอาหารยังเปิดอยู่คะ พอมาสัมผัสบรรยากาศและเสียงเพลงของห้องอาหารของที่นี้ทำเอาเจรู้สึกได้เลยคะว่า ที่นี้ Private และ Romantic มากๆ ด้วยเพราะแขกเข้าพักตามจำนวนห้องพักและที่เจเห็นนั้นคือไปเป็นคู่รัก เป็นครอบครัว รู้สึกอบอุ่นตามกันไปเลยคะ
ซึ่งที่นี้มีบริการตักบาตรในตอนเช้า ( เป็นกิจกรรมของทางที่พักที่เจชอบมากๆคะ ) โดยสามารถสามารถสั่งจองชุดอาหารใส่บาตรในช่วงเย็น ก่อนห้องอาหารจะปิด โดยการตักบาตรตอนเช้า พระจะบิณฑบาตรเวลาประมาณ 7.20 น. ( ไม่เดินบิณฑบาตรในวันพระ )
สำหรับอาหารเช้ามีให้บริการเวลา 8.00 - 10.00 น. ซึ่งทางพนักงานจะสอบถามเราไว้แล้วคะว่า เราจะรับเซตอาหารเช้าพร้อมเครื่องดื่มแบบไหน เมนูในแต่ละวันเปลี่ยนแปลงไปนะคะ ^^
คำแนะนำของทางที่พักสำหรับการใช้บ่อ Onsen ดังนี้
ขอความกรุณาในการเตรียมชุดส่วนตัวในการใส่ลงแช่ตัว
งดเว้นการนำ Bubble Bath หรือ สารมีฟองมาใช้ ( แชมพู สบู่ ) ในบ่อแช่ เพราะอาจจะทำให้ระบบบำบัดเสียหายได้
กรุณารักษาความสะอาด : ชำระร่างกายและเช็ดเท้าให้สะอาดก่อนลงแช่ ไม่สวมรองเท้าเข้าบริเวณบ่อแช่ งดเว้นการนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานในบ่อแช่
สำหรับการแช่ Onsen อุณหภูมิน้ำจะอุ่นที่สุดตอนช่วงเช้า ความร้อนจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้เป็นอย่างดี ควรการดื่มน้ำก่อนแช่ Onsen ประมาณ 15 นาทีเพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และไม่ควรแช่นานเกิน 20 นาที เพราะอาจทำให้หน้ามืดได้คะ
5. หมู่บ้านแม่กำปอง
ตั้งอยู่ที่ ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ราวๆ 50 กิโลเมตร
หมู่บ้านแม่กำปอง มีการก่อตั้งมาแล้วราว ๆ 100 ปี โดยชื่อ " แม่กำปอง " มาจากในอดีตนั้นบริเวณใกล้ลำห้วยจะมีดอกกำปอง ดอกไม้ขนาดเล็กสีเหลืองแดงขึ้นอยู่ เมื่อรวมกับคำว่าแม่น้ำ จึงกลายมาเป็น " บ้านแม่กำปอง "
ที่นี้เป็นหมู่บ้านให้ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และยังตั้งอยู่ในหุบเขา โอบล้อมไปด้วยภูเขาและธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,300 เมตรบรรยากาศจะเงียบสงบ ไม่มีความบันเทิงใดๆ นอกจากหมู่บ้านเก่าแก่และป่าเขา ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนจริงๆคะ หนีความวุ่นวาย ใช้ชีวิตสโลไลฟ์เป็นอย่างมากคะ
โดยที่พักของหมู่บ้านแม่กำปองจะเน้นเป็นการพักโฮมสเตย์ของชาวบ้านค่ะ ซึ่งจะแยกออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ
- โฮมสเตย์ของชาวบ้านในพื้นที่ นอนบ้านเดียวกันกับชาวบ้าน
- โฮมสเตย์ของชาวบ้านเช่นกัน แต่มีเป็นแบบบ้านพักแยกออกมาเพื่อความเป็นส่วนตัว
โดยการไปครั้งนี้ของเจ ไม่ได้ไปพักที่หมู่บ้านนี้นะคะ เป็นการแวะไปพักผ่อนชมน้ำตก ทานข้าวซอย และนั่งเล่นชิวๆกับคาเฟ่ชื่อดังของที่นี้คะ ^^
6. บ้านภูหมอก ( Baan Phu MhoK )
ตั้งอยู่ที่ หมู่11 ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 45 กิโลเมตร
ทางเข้าที่พักบ้านภูหมอกค่อนข้างชันมากๆคะ หากรถยนต์ที่ไม่โหลดเตี้ยจนมากๆ ก็สามารถขับขึ้นมาได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากคะ เจเองเกือบร้องไห้เพราะความชันนี้ กลัวรถจะไหลลงเขา 5 55 5 5 แต่หากใครที่ไม่ชำนาญในการขับรถหรือไม่มั่นใจ แนะนำให้จอดรถไว้ที่ลานด้านล่างคะ และติดต่อเจ้าหน้าที่บ้านภูหมอก เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับ-ส่งคะ
ที่นี้ล้อมรอบไปด้วยเขา เมื่อขึ้นมาถึงจากตรงที่พักสามารถมองเห็นเชียงดาวอยู่ไกลๆได้ด้วยคะ
ที่นี้มีห้องพัก แบ่งออกเป็น 4 โซน
- Zone A เป็นบ้านพักวิวทะเลหมอกและภูเขา มีทั้งหมด 4 หลัง
- Zone B เป็นบ้านพักวิวภูเขา พระอาทิตย์ขึ้นและแสงไฟยามค่ำคืน มีทั้งหมด 4 หลัง
- Zone C เป็นบ้านพักวิววิวภูเขา พระอาทิตย์ขึ้นและแสงไฟยามค่ำคืน มีทั้งหมด 6 หลัง
- Zone T เป็นเต็นท์กระโจมวิวภูเขา พระอาทิตย์ขึ้นและแสงไฟยามค่ำคืน ทั้งหมด 10 หลัง
ราคาห้องพักแต่ละ Zone ก็ไม่เท่ากันคะ แต่รวมอาหารเช้าให้เหมือนกันหมด
ส่วนมื้อเย็นจะมีอาหารตามสั่งและชุดหมูกะทะ มีหลากหลายขนาดให้เลือกตามความหิว พร้อมเครื่องดื่มที่มากมายเช่นกัน ^^
7. สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ( Queen Sirikit Botanic Garden )
ตั้งอยู่ที่ กิโลเมตรที่ 12 บนถนนใหญ่สายแม่ริม-สะเมิง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากย่านชุมชนและห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 27 กิโลเมตร
โดยในปี พ.ศ. 2537 องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อ สวนพฤกษศาสตร์สากลแห่งแรกของประเทศไทยในภาคเหนือ
เป็นสถานที่ อนุรักษ์และรวบรวมพรรณไม้เป็นหมวดหมู่ตามวงศ์สกุลต่างๆ ซึ่งจัดปลูกให้สอดคล้องกับธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มอาคารเรือนกระจกบนยอดเขาที่มีทั้งความสวยงามและความรู้ ทำให้สวนแห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ศึกษาธรรมชาติด้านพืช
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ คือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีให้เลือกชมสวนได้หลายเส้นทาง และกลุ่มอาคารเรือนกระจกซึ่งรวบรวมชนิดพรรณพืชที่มีความหลากหลายทั้งพรรณไม้พื้นเมืองประจำถิ่นและพรรณไม้จากต่างประเทศ
ไฮไลท์สำคัญคือการ เดินชมธรรมชาติบน “สะพานลอยฟ้า” ที่สูงกว่า 20 เมตรแล้ว ให้นักท่องเที่ยวเดินทอดน่องชมธรรมชาติ และสรรพสิ่งในป่าดิบแล้ง-ป่ามรสุมเขตร้อน ฯลฯ ด้วยความยาวกว่า 400 เมตร และมีแห่งเดียวในประเทศไทย ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินชมธรรมชาติ พืชพรรณไม้ นก และผีเสื้อ เหนือยอดไม้ฟรี โดยเจ้าหน้าที่จะปล่อยให้เข้าเป็นกลุ่มครั้งละ 4-5 คน และจะไม่ให้เกินทั้งหมด 50 คน เพื่อความความปลอดภัย และการเดินชมธรรมชาติที่เงียบสงบ ( ไฮไลท์นี้เจไม่ได้ไปนะคะ ด้วยความว่าเวลามีน้อยและกลัวไปขึ้นเครื่องไม่ทัน แต่ที่เอามาบอกนี้ เพื่อว่าเพื่อๆคนไหนสนใจ เพราะเพื่อนเจเองหลายคนที่ไปมา วิวมันสวยมากๆคะตรงนี้ ซึ่งถ้ามีโอกาสกลับมา รอบหน้าเจไม่พลาดอย่างแน่นอน ^^
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ
มี 4 เส้นทาง ได้แก่
1. เส้นทางสวนรุกชาติ (Arboretum Trail) เส้นทางนี้ผ่านแปลงรวมพันธุ์กล้วย บอน ปาล์ม เฟิน แปลงขิงข่า ปรง และสน ระยะทางประมาณ 600 เมตร
2. เส้นทางพันธุ์ไม้ไทยและพืชสมุนไพร เส้นทางนี้เป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้ไทยไว้กว่า 1,000 ชนิด อาทิ พืชสมุนไพร พันธุ์ไม้หายาก และพันธุ์ไม้ประจำจังหวัด ระหว่างเส้นทางเดินท่านจะพบพันธุ์ไม้ที่น่าสนใจ และป้ายสื่อความหมายที่อธิบายสรรพคุณของพืชสมุนไพร แต่ละชนิดไว้อย่างน่าสนใจ และมีการเสริมภูมิทัศน์ด้วยกล้วยไม้ไทยนานาชนิด ให้ความสวยงามและร่มรื่น เส้นทางเดินจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
3. เส้นทางวลัยชาติ (Climber Trail) ชาติ หรือ ไม้เลื้อย คือ พรรณไม้ที่ต้องการสิ่งที่อาศัยสิ่งยึดเกาะ ( Supporter ) อื่นๆ ในการเลื้อยพันและยึดเกาะเพื่อพยุงลำต้นในการเจริญเติบโต เนื่องจากไม่สามารถพยุงตัวไว้เองได้ นักพฤกษศาสตร์คาดว่าในประเทศไทยมีวัลยชาติอยู่ประมาณ 60 วงศ์ 160 สกุล รวมประมาณได้กว่า 2000 ชนิด และกว่าครึ่งของพืชจำนวนนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่ส่วนใหญ่จะมีคุณค่าทางโภชนาการหรือสมุนไพรมีความสวยงาม สามารถนำมาพัฒนาเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ดี สำหรับเส้นทางวัลยชาติสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์นั้น เป็นเส้นทางทอดยาวไปตามสันเขา บางตอนค่อนข้างชัน มีการจัดปลูกพืชไม้เลื้อยไว้ตลอดทั้งสองข้างทาง รวมมากกว่า 250 ชนิด ระยะทางประมาณ 800 เมตร
4. เส้นทางน้ำตกแม่สาน้อย-สวนหิน-เรือนรวมพันธุ์กล้วยไม้ไทย (Waterfall Trail) เป็นเส้นทางเดินเท้าเรียบไปตามห้วยแม่สาน้อยท่านจะพบกับพืชเฉพาะถิ่น และพรรณไม้แปลกตา ผ่านไปทางสวนหินซึ่งเป็นที่ รวบรวมพืชแล้งนานาชนิดผสมกับการนำหินลักษณะต่างๆ มาตกแต่งบริเวณดังกล่าวทำให้รู้สึกกลมกลืน และเส้นทางจะสิ้นสุดที่เรือนรวมพรรณกล้วยไม้ไทยซึ่งมีกล้วยไม้ไทยรวมไว้กว่า 350 ชนิด รวมระยะทางประมาณ 300 เมตร
เป็นไงกันบ้างคะเพื่อนๆ สำหรับเชียงใหม่เคียงไหล่ทริปของเจ หวังว่าทริปนี้จะเป็นข้อมูลหรือทางเลือกประกอบการตัดสินใจสำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พักของจังหวัดเชียงใหม่อยู่ไม่มากก็น้อย สำหรับเจมองว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่เราสามารถท่อวเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะที่นี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย รสชาติอาหารท้องถิ่นที่คงแบบฉบับดั้งเดิมที่มากมาย สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เจเองหากมีโอกาสแน่นอนเลยว่าต้องกลับมาอีกครั้งคะ ^^
สุดท้ายเช่นเคย ขอบคุณจีบันที่มีพื้นที่ดีดีแบบนี้เสมอ ให้พวกเราได้แชร์ บอกต่อ เรื่องราวดีดีแก่กัน เป็นพื้นที่ที่อบอุ่น และน่ารักมากๆคะ สำหรับครั้งหน้าเจจะกลับมาพร้อมกับอะไร หรือเจจะมาแนะนำ บอกต่อ การเดินทางของเจอีกหรือเปล่า ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ^^ สำหรับวันนี้ต้องขอบอกว่า ไว้เจอกันใหม่น๊า บ๊ายยยยบายย :” )