อีกขั้นของการดูแลผิวด้วย Medical Grade Skincare จากแบรนด์ "mesoestetic"
Wanviset 72 13
เราเองเป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชอบ Skincare เป็นชีวิตจิตใจ และได้ลองสกินแคร์มาค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Drugstore ไปจนถึง Counter Brand แต่เพิ่งไม่นานมานี้ที่เราได้ขยับไปลองสกินแคร์ที่เป็นกลุ่ม Medical Grade ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าทั้งแปลกใหม่ น่าสนใจ และทรงประสิทธิภาพ ซึ่งแบรนด์ที่เรากำลังอินในช่วงนี้นั่นคือ "mesoestetic" ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ถูกผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัท mesoestetic Pharma Group ประเทศสเปน ที่มีชื่อเสียงระดับสากล ก่อตั้งขึ้นในปี 1984
จากที่เราเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าทาง mesoestetic มีความเชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนา การผลิตเกี่ยวกับเวชสำอางยา การรักษาทางการแพทย์ด้านความงาม อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหารเสริม และยังเป็นผู้นำในด้านการแพทย์ชะลอวัย ที่มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูงประกอบกับเทคโนโลยีทางการผลิตที่มีประสิทธิภาพและ ได้มาตรฐานทางเภสัชกรรมที่เข้มงวดที่สุด โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี
พอเราได้เห็นแบบนี้แล้วทำให้เรายิ่งสนใจและอยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ของเค้ามากขึ้นไปอีก โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกที่เคยลองเล่น คือ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Ampoule และ Mask ที่เป็นการเปิดโลกการใช้ Skincare ของเราไปอีก 1 Step เลยทีเดียว สุดท้ายเลยงอกไอเทมออกมาอย่างต่อเนื่องรัวๆ และวันนี้หลังจากที่ได้ลองใช้ 3 ไอเทมนี้อย่างต่อเนื่องมาเกือบ 2 เดือน เราเลยขอหยิบมาเล่าความรู้สึก และประสบการณ์หลังการใช้ให้เพื่อนๆ ได้ชมกันฮะ....
จากที่เราเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าทาง mesoestetic มีความเชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนา การผลิตเกี่ยวกับเวชสำอางยา การรักษาทางการแพทย์ด้านความงาม อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหารเสริม และยังเป็นผู้นำในด้านการแพทย์ชะลอวัย ที่มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูงประกอบกับเทคโนโลยีทางการผลิตที่มีประสิทธิภาพและ ได้มาตรฐานทางเภสัชกรรมที่เข้มงวดที่สุด โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี
พอเราได้เห็นแบบนี้แล้วทำให้เรายิ่งสนใจและอยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ของเค้ามากขึ้นไปอีก โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกที่เคยลองเล่น คือ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Ampoule และ Mask ที่เป็นการเปิดโลกการใช้ Skincare ของเราไปอีก 1 Step เลยทีเดียว สุดท้ายเลยงอกไอเทมออกมาอย่างต่อเนื่องรัวๆ และวันนี้หลังจากที่ได้ลองใช้ 3 ไอเทมนี้อย่างต่อเนื่องมาเกือบ 2 เดือน เราเลยขอหยิบมาเล่าความรู้สึก และประสบการณ์หลังการใช้ให้เพื่อนๆ ได้ชมกันฮะ....
mesoestetic purifying mousse (150ml./1,590.-)
ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าในรูปแบบเนื้อมูส ด้วยสูตรเฉพาะที่นอกจากจะมีสารสำคัญที่สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแล้ว ยังจะสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกหรือเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึกและมีประสิทธิภาพ หลังจากใช้จะรู้สึกว่าผิวนุ่มแลดูมีสุขภาพ นอกจากนี้ ด้วยความเป็นด่างอ่อนๆ นั้น จึงเหมาะกับสภาพผิวมันหรือผิวที่เป็นสิวง่ายแล้ว รวมทั้งยังสามารถใช้ได้กับผิวทั่วไปได้ด้วย
Texture / Scent / Packaging
- Texture : จากภาพเพื่อนๆ น่าจะเห็นว่าเนื่อมูสที่ปั๊มออกมานั้นไม่ได้ถึงกับแน่นมาก แต่ที่น่าประหลากใจ คือ ความสมูทเมื่อนวดลงบนผิว ที่ทำออกมาได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ
- Scent : กลิ่นและความรู้สึกของมูสขวดนี้ที่เด่นที่สุดคงจะเป็น "Menthol" ที่ให้ทั้งความรู้สึกสดชื่น และเย็นสบายผิว นับว่าเป็นการปลุกผิวให้ตื่น และคลายความเหนื่อยล้าได้ดีทีเดียว
- Packaging : มูสขวดนี้มาในบรรจุภัณฑ์แบบ Auto-Pump ที่ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องมานั่งตีฟองให้เมื่อยมือ ที่สำคัญคือการกด 1 ปั๊มก็ได้ปริมาณมูสที่เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดทั่วใบหน้าแล้ว
Key Ingredients
Let's Try...
ด้วยความที่วันนี้เราไม่ได้ออกไปไหนดังนั้นเราจะทาแค่ Skincare และ Sunscreen ซึ่งก่อนจะล้างหน้าด้วย mesoestetic purifying mousse เราจะใช้ Makeup Remover ก่อน 1 ครั้งเคลียร์คราบกันแดดออกก่อน จากนั้นก็เริ่มล้างหน้าตามปกติ เราได้เก็บภาพก่อนและหลังล้างมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันด้วย....
จะสังเกตุว่าหลังล้างหน้าด้วย mesoestetic purifying mousse ความมันส่วนเกินถูกชะล้างออกไป ผิวโดยรวมดูกระจ่างใสขึ้น ซึ่งจุดนี้เราเข้าในว่าเกิดจากความมันส่วนเกิน และคราบฝุ่น ควันต่างๆ ที่เกาะอยู่บนผิวได้ถูกชะล้างออก จึงทำให้ผิวดูไบร์ทขึ้นเล็กน้อย
ส่วนในเรื่องความชุ่มชื้นหากสังเกตุบริเวณหน้าแก้ม จะยังเห็นว่ามีการ Reflect กับแสงไฟที่ค่อนข้างดี แสดงว่าความชุ่มชื้นใต้ผิวยังโอเคอยู่ แต่อาจมีบางตำแหน่งที่ดูเหมือนจะแห้งกว่าปกตินั้นคือบริเวณ U-Zone ซึ่งอันนี้เป็นผิวปกติของเราอยู่แล้ว ผนวกกับช่วงนี้เรามีสิวที่ข้างแก้มและใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวจึงทำให้ผิวดูแห้งกว่าปกติเล็กน้อย
ส่วนในเรื่องความชุ่มชื้นหากสังเกตุบริเวณหน้าแก้ม จะยังเห็นว่ามีการ Reflect กับแสงไฟที่ค่อนข้างดี แสดงว่าความชุ่มชื้นใต้ผิวยังโอเคอยู่ แต่อาจมีบางตำแหน่งที่ดูเหมือนจะแห้งกว่าปกตินั้นคือบริเวณ U-Zone ซึ่งอันนี้เป็นผิวปกติของเราอยู่แล้ว ผนวกกับช่วงนี้เรามีสิวที่ข้างแก้มและใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวจึงทำให้ผิวดูแห้งกว่าปกติเล็กน้อย
mesoestetix ha densimatrix (30ml./3,490.-)
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิกเข้มข้น สามารถรักษาระดับไฮยาลูโรนิกในผิวให้สมดุลอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดโดย 3 สูตรพิเศษ ใน 1 ขวด
Texture / Scent / Packaging
- Texture : เนื้อผลิตภัณฑ์มาในรูปแบบ Liquid ที่ไม่ค่อยหนืดมาก สามารถซึมเข้าผิวได้ค่อนข้างไว และไม่ทิ้งความเหนอะหนะเอาไว้บนผิว ต่างจาก Hyaluronic Acid หลายแบรนด์ที่เราเคยลองมาก่อนหน้านี้
- Scent : จากที่เราพลิกดูส่วนผสมรวมถึงลองดมกลิ่นดู ไม่พบว่ามีส่วนผสมของน้ำหอม(Fragrance Component) ทำให้เราหมดกังวลเรื่องอาการแพ้ หรือระคายเคืองจากน้ำหอมไปได้เยอะเลยหละ
- Packaging : เซรั่มขวดนี้มาในรูปแบบขวดแก้วดรอปเปอร์ สีน้ำเงิน ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงเนื้อสัมผัสแล้วถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว อาจจะติดนิดหน่อยในเรื่องการเสี่ยงต่อการปนเปื้อนทุกครั้งที่เปิดใช้เท่านั้นเองฮะ
Key Ingredients
Let's Try....
ต้องบอกว่าปกติแล้วเราจะใช้วิธีการหยดลงบนฝ่ามือ แล้ววอร์มเล็กน้อยจากนั้นใช้วิธีการประคบทั่วใบหน้า แต่เดี๋ยวเพื่อนๆ ไม่เห็นภาพเลยขอดรอปลงบนผิวทั้งแบบนี้เลยแล้วกันฮะ จะเห็นว่าเนื้อสัมผัสของ mesoestetix ha densimatrix ค่อนข้างเหลวเลยทีเดียว ทำให้เวลาทาลงบนผิวแล้วซึมค่อนข้างไว และไม่ทิ้งความเหนอะหนะเอาไว้บนผิวเหมือนกับ Hya อื่นๆ ที่เราเคยลองใช้มา
mesoestetic aox ferulic (30ml./4,690.-)
มาถึงไอเทมสุดท้ายอย่าง aox ferulic กันบ้าง ต้องบอกว่าเป็นอีก 1 ตัวที่เรารอคอยมานานมาก และสุดท้ายก็ได้ลองสมใจอยาก ซึ่งเซรั่มขวดนี้เป็นวิตามินซีเซรั่มเข้มข้นถึง 15% ซึ่งช่วยในการป้องกันการเกิดริ้วรอยที่มีสาเหตุจากอนุมูลอิสระ ป้องกันผิวจากสิ่งเร้าภายนอกที่ทำร้ายผิวในแต่ละวัน ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสขึ้น และช่วยป้องกันผิวจากรังสี UV (visble light) และรังสีอินฟาเรดได้อีกด้วย
Texture / Scent / Packaging
- Texture : เป็นอีกครั้งที่เราขอชื่นชมในการเบลนด์เนื้อผลิตภัณฑ์ของทาง mesoestetic เพราะนอกจากจะทำเนื้อสัมผัสออกมาได้บางเบา ซึมง่าย สบายผิวแล้ว เรายังแอบรู้สึกว่าการ Oxidized ของวิตามินซียังค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับหลายๆ แบรนด์ที่เราเคยลองใช้มา
- Scent : เนื่องจากเซรั่มขวดนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม ดังนั้นกลิ่นที่ได้จะเป็นกลิ่นปกติตามสไตล์ Vitamin C Serum ที่จะมีเหมือนโลหะอะไรบางอย่าง ซึ่งส่วนตัวแล้วเราโอเคกับกลิ่นแบบนี้ แถมยังไม่ต้องมาเสี่ยงเรื่องอาการแพ้/ระคายเคืองจากน้ำหอมอีกต่างหาก
- Packaging : บรรจุภัณฑ์ของเซรั่มขวดนี้มาในรูปแบบขวดแก้วสีชา พร้อมดรอปเปอร์ แม้ว่าขวดแก้วสีชาจะช่วยปกป้องและชะลอความเสื่อมของวิตามินได้ แต่ในขณะเดียวกันขวดที่เป็นแบบดรอปเปอร์นั้นก็ทำให้อากาศแทรกผ่านได้ทุกครั้งที่ใช้เช่นกัน (ซึ่งในจุดนี้เราแนะนำให้ใช้ให้หมดผ่านใน 1-2 เดือนจะดีที่สุด)
Key Ingredients
Let' Try....
หากสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าเนื้อเซรั่มค่อนข้างเหลวมากถึงมากที่สุด ซึ่งส่วนตัวแล้วเราไม่แนะนำให้ดรอปลงใบหน้า แต่แนะนำให้หยดลงบนฝ่ามือ แล้ววอร์มเล็กน้อย จากนั้นใช้การประคบเบาๆ ทั่วใบหน้าและลำคอจะเหมาะสมกว่า และเมื่อพิจารณาถึงเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างบางเบา mesoestetic aox ferulic ขวดนี้จึงไม่ไปรบกวนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่จะใช้ร่วมกัน ไม่ทำให้เกิดการ Ball-up(เป็นขุย) ไม่สร้างความรู้สึกเหนอะหนะผิว
แต่ด้วยความที่ Ascorbic acid ทำงานได้ดีในค่า pH ที่ <= 3.5 ดังนั้นเราแนะนำว่าหลังจากที่ทา mesoestetic aox ferulic แล้วควรรอซัก 5 นาทีเป็นอย่างน้อยเพื่อให้เค้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพก่อน จากนั้นค่อยลงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามไปครับ
แต่ด้วยความที่ Ascorbic acid ทำงานได้ดีในค่า pH ที่ <= 3.5 ดังนั้นเราแนะนำว่าหลังจากที่ทา mesoestetic aox ferulic แล้วควรรอซัก 5 นาทีเป็นอย่างน้อยเพื่อให้เค้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพก่อน จากนั้นค่อยลงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามไปครับ
Result...
ทีนี้ก็มาถึงบทสรุปในแง่ของผลลัพธ์ที่เราเชื่อว่ามีเพื่อนๆ หลายคนรอฟังอยู่ว่าหลังจากผ่านไปเกือบ 2 เดือน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่าไปชมพร้อมๆ กันเลยฮะ....
าพด้านซ้ายคือภาพที่เราถ่ายไว้เมื่อราวๆ 2 เดือนที่แล้ว ตัดมาที่ภาพด้านขวาเป็นภาพล่าสุดที่เราถ่ายเมื่อวาน อาจจะมีเรื่องของมุมและการโพสต์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็พยายามคุมแสงและเงาให้ได้มากที่สุดแล้ว เอาเป็นว่าเราขอมาสรุปทีละประเด็นให้ฟังเลยแล้วกันฮะ...
- ความชุ่มชื้นในชั้นผิว : จะเห็นว่าในภาพ After เมื่อผ่านไปราวๆ 2 เดือนความชุ่มชื้นในชั้นผิวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต่างกับในช่วงแรกที่ผิวเราขาดสมดุลเรื่องความชุ่มชื้นพอสมควรทำให้ไม่ค่อย Reflect กับแสงเมือมีการตกกระทบของแสงไฟ และ Overall ของผิวดูชุ่มชื้นขึ้นแบบแตกต่างเห็นๆ เลยหละ
- ความกระจ่างใส : ในส่วนนี้เราขอพูดในมุม Brightening และ Color Discoloration แล้วกันครับ สำหรับในมุมของ Brightening ส่วนตัวแล้วเรามองว่าผิวด้วยรวมดูเปล่งปลั่งขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น(คาดว่ามาจากการที่ผิวเรียบเนียนและชุ่มชื้นขึ้น ทำให้ผิวสะท้อนกับแสงได้ดีขึ้น) ส่วน Color Discoloration เรายังไม่เห็นความแตกต่างมากเท่าไหร่นัก รอยแดง/รอยดำ ยังคงใกล้เคียงกับของเดิม
- ริ้วรอย : ส่วนนี้เรามองว่ามีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อย เมื่อสังเกตุบริเวณรองแก้ม ระหว่างจมูกและมุมปาก ริ้วรอยดูตื้นขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาการที่ดีทีเดียวหละ แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่าเราดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทากันแดดซ้ำระหว่างวัน ร่วมกับการใช้ Tretinoin ในช่วงที่ผ่านมา
โดยรวมเราค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ทั้งในแง่การเปลี่ยนแปลงของผิว และความรู้สึกขณะทาผลิตภัณฑ์ที่เบาสบายผิว ไม่เหนอะหนะ ไม่รบกวนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ใช้ร่วมกัน รวมกับความเสถียรของ aox ferulicที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว แม้จะผ่านไป 2 เดือนแต่การ Oxidized น้อยมากทีเดียว
หากให้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ควรค่าแก่การเริ่มลองใช้แบรนด์ mesoestetic แล้วหละก็ เราคิดว่า ha densimatrix และ aox ferulic คือ Duo ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง สามารถคาดหวังผลได้จริงในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิว ลดและชะลอการเกิดริ้วรอย และหากใช้ในระยะยาว 3-6 เดือนขึ้นไป ร่วมกับการปกป้องผิวจากรังสี UV เราคาดว่าผลลัพธ์น่าจะดีขึ้นกว่านี้อีกแน่นอนเลยหละครับ
ป.ล. ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น Based-on สภาพผิว, การดูแลตัวเอง, ไลฟ์สไตล์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ร่วมกันเป็นหลัก ดังนั้นผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลอย่างแน่นอนครับ ส่วนคำถามว่า "ใช้แล้วจะแพ้ไหม จะอุดตันไหม สิวจะขึ้นหรือไม่" เป็นคำถามที่เราไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง ของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม สภาพผิว สภาพแวดล้อม ฯลฯ ดังนั้นทุกครั้งที่จะลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควรเทสต์อาการแพ้ที่บริเวณท้องแขนและลำคอก่อนใช้บนใบหน้าทุกครั้งขอรับ
หากให้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ควรค่าแก่การเริ่มลองใช้แบรนด์ mesoestetic แล้วหละก็ เราคิดว่า ha densimatrix และ aox ferulic คือ Duo ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง สามารถคาดหวังผลได้จริงในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิว ลดและชะลอการเกิดริ้วรอย และหากใช้ในระยะยาว 3-6 เดือนขึ้นไป ร่วมกับการปกป้องผิวจากรังสี UV เราคาดว่าผลลัพธ์น่าจะดีขึ้นกว่านี้อีกแน่นอนเลยหละครับ
ป.ล. ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น Based-on สภาพผิว, การดูแลตัวเอง, ไลฟ์สไตล์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ร่วมกันเป็นหลัก ดังนั้นผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลอย่างแน่นอนครับ ส่วนคำถามว่า "ใช้แล้วจะแพ้ไหม จะอุดตันไหม สิวจะขึ้นหรือไม่" เป็นคำถามที่เราไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง ของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม สภาพผิว สภาพแวดล้อม ฯลฯ ดังนั้นทุกครั้งที่จะลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควรเทสต์อาการแพ้ที่บริเวณท้องแขนและลำคอก่อนใช้บนใบหน้าทุกครั้งขอรับ