คนดังที่ได้รับผลร้ายจากการเสพติด Social Media

53 8
อาจจะไม่ต้องบรรยายมากมายว่า social media มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในยุค digital นอกจากการติดต่อสื่อสาร มันยังเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างอาชีพและชื่อเสียงให้กับ user   แต่ในเวลาเดียวกันพื้นที่แห่งนี้ก็ทำให้หลายคนเรียนรู้ว่า  ผลเสียที่ตามมาจากการแชร์เรื่องราวส่วนตัวให้ภายนอกได้รับรู้นั้นหนักหน่วงเพียงใด   แม้แต่เซเลบบางคนก็ต้องยอมรับว่า  social media กลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนและยากที่จะเอาชนะมันได้


ติดตามกันได้เลยค่ะ





Jesy Nelson

เผชิญกับ cyberbullying จนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า


เธอคนนี้เพิ่งประกาศลาออกจาก Little Mix มาสดๆร้อนๆ    และแฟนๆหลายคนเชื่อว่า แรงกดดันจาก cyberbullying  เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่เธอตัดสินใจถอยออกมาทั้งๆที่เพิ่งออกผลงานล่าสุดไปได้ไม่นานนัก


Jesy เปิดเผยว่า ยิ่งเธอติด social media มากเท่าไร ก็ยิ่งกดดันตัวเองจากแนวคิดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก เธอยึดติดมากถึงขนาดที่ต้องส่งข้อความไปขอร้องแฟนๆให้ลบ post ภาพเก่าๆของวง Little Mix ออกไป เพราะไม่อยากให้แฟนหนุ่มเห็นว่า เธอทั้งน่าเกลียดและอ้วนแค่ไหน


"ฉันรู้สึกอับอายและต้อยต่ำ ถ้าเปิดปากพูดเรื่องนี้ต่อไป ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำ และฉันก็ไม่อยากเป็นที่รู้จักในภาพของยายอ้วนอัปลักษณ์จาก Little Mix"


ความกดดันรุนแรงนี้เริ่มตั้งแต่ที่เธอเข้าร่วมแข่งขันรายการ The X Factor แม้เธอจะดูยินดีมากมายแค่ไหนได้ทำความฝันในการเข้าสู่เส้นทางpopstar ชื่อดัง

Jesy ได้บรรยายในสิ่งที่ต้องรับมือหลังจากมีชื่อเสียงกับ documentary ทาง ฺฺBBC ไว้ว่า

" ในคืนที่เราชนะการแข่งขัน ฉัน The X Factorได้ข้อรับ 101 ข้อความทาง Facebook ข้อความแรกที่โผล่ขึ้นมานั้นมาจากผู้ชายแปลกหน้า เขาบอกว่า 'เธอช่างเป็นอะไรที่อัปลักษณ์ที่สุดเท่าที่พบเคยเคยเห็น นี่เธอเข้ามาอยู่ใน girl band ได้ยังไง เธอควรจะตายๆไปซะ' "


"นี่ฉันเพิ่งจะชนะ The X Factor มา แต่มันทำให้ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาๆของตัวเองซะแล้วเหรอ "

" ดูเหมือนทั้งโลกจะออกความเห็นเกี่ยวกับฉัน และมันไม่ใช่ความเห็นดีๆ

ในหัวของฉันเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นพูด"

"ฉันเอาแต่บอกว่า ฉันอยากตาย ฉันอยากจะตาย"





  Jesy เคยถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องว่า  "วอนหาเรื่อง" ด้วยการshare ภาพที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสา และเหมารวมว่า หากเธอโหยหาความสนใจจากคนอื่นมากก็ก็ควรจะสงบปากสงบคำ  เพราะไม่ว่าเซเลบคนไหนก็เจอเรื่องแบบเดียวกันท้ังนั้น   แต่หลังจาก BBC ได้เผยแพร่ documentary  เรื่องการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าของ  Jesy   ออกไป  นอกจากเธอจะได้รับกำลังใจล้นหลามจากแฟนคลับแล้ว   ยังมีคนที่ไม่ได้สนใจหรือปลาบปลื้ม Little Mix  หรรือแม้กระทั่งคนที่มีอคติกับเธอมาก่อนก็ได้หันมารับฟัง และชื่นชมที่เธอได้ออกมาเปิดเผยด้านมืดของ social media   โดยเฉพาะผู้ปกครองที่ร่วมชมกับกับเด็กๆที่ยึดถือ Little Mix เป็นไอดอล
ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก  เปลี่ยนลุคด้วยการแต่งหน้าและฉีดfiller    แต่ Jesy เผยว่า  เธอไม่สามารถหลบเลี่ยงคอมเมนท์ในด้านลบเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของเธอไปได้เลย


"ทุกเช้า ฉันจะไปที่ Twitter เพื่อจะค้นว่ามีใครพูดอะไรแย่ๆเรื่องฉันบ้าง ฉันจะพิมพ์คำว่า Jesy อ้วน Jesy ขี้เหร่ และรอดูว่าจะมีคอมเมนท์อะไรขึ้นมาบ้าง บางครั้งก็ไม่ต้องพิมพ์คำอื่นเลย แค่ Jesy ก็มีคำพูดที่เลวร้ายโผล่ขึ้นมาเพียบ"

"ทุกคนบอกให้ฉันไม่ต้องไปสนใจ และมันเหมือนกับอาการเสพติด " และยิ่งติดมากเท่าไร ก็ยิ่งดิ่งมากๆ เธอเคยไม่แตะอาหารติดต่อกันสี่วัน และคิดว่าตัวเองจะไม่สัมผัสความสุขอีกต่อไป และอยากจะหายไปจากโลกนี้เพราะไม่สามารถรับกับความเจ็บปวดได้อีกต่อไป   และตัดสินใจเข้ารับการรักษา


ทั้งๆที่ความฝันในการเป็นนกร้องดังได้เกลายมาเป็นความจริง Jesy กลับพบว่า ตัวเองพยายามอย่างหนักเพื่อจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอื่นรู้สึกชื่นชม    เธอลดน้ำหนักได้และกลับไปแสดงที่ The X  Factor  โดยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าตัวเองทำหน้าหน้าที่ศิลปินได้ดีแค่ไหน แต่กลับหมกมุ่นกับควมาคิดที่ว่า เธอจะสวยพอในสายตาคนอื่นรึเปล่า   และต้องรุ้สึกเหมือนกับโลกถล่มทลายเมื่อได้พบคอมเมนท์เรื่องรูปร่างหน้าตาไม่ได้ต่างจากตอนที่ยังตัวใหญ่กว่านี้    หลังจากที่รู้สึกเจ็บปวดมานาน คิดถึงตัวตนเก่าๆในวัยเยาว์ที่ไม่ได้ยึดติดกับคำพูดของคนอื่น  และเข้ารับการบำบัดเพื่อดึงตัวตนเดิมที่เคยมีความสุขกลับมา



การประกาศลาออกจาก Little Mix ไม่กี่วันที่ผ่านมานั้นไม่ได้สร้างตกตะลึงให้กับแฟนๆนัก เพราะตั้งแต่ที่เธอเปิดเผยถึงอาการเจ็บป่วยทางจิตใจเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงการพักงานชั่วคราว ก็สอดคล้องกับเหตุผลของการแยกตัวจากวงว่า จะใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับสุขภาพจิตใจ แต่ถึงกระนั้น troll ก็ไม่ได้หยุดพักการทำร้ายจิตใจของเธอแต่อย่างใด


Selena Gomez


เธอเคยเป็นเจ้าของสถิติมีผู้ติดตามมากที่สุดบน Instagram  แต่ไม่ได้ทำให้เติมเต็มจิตใจและพบกับเรื่องราวในด้านลบจนต้องห่างจาก social media

"ตอนที่มีกลายเป็นคนที่มีจำนวนผู้ติดตามมากที่สุดบน Instagram ชั้นก็ตื่นตระหนกไปเหมือนกัน และมันกลายเป็นอะไรที่ทุ่มเทเวลาให้มากมาย ไม่ว่าจะหลับจะตื่ก็คอยดูตลอด ฉันเสพติดมันไปแล้ว"

" ทั้งๆที่ฉันได้พบเห็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากจะรับรู้ เอาเรื่องที่ฉันไม่ได้อยากจะใส่ใจมายัดใส่สมอง ฉันจะรู้สึกแย่เสมอตอนดู Instagram ฉันจึงพยายามห่างๆมันไปบ้าง"



เมื่อปีที่แล้ว Selena เคยทิ้งช่วงจากการใช้ Instagram และเคยลบ app ออกจากโทรศัพท์ตัวเอง

"ฉันเคยใช้ Instagram บ่อยมากๆเลยค่ะ แต่ฉันว่ามันกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เสียสุขภาพจิตโดยเฉพาะกลุ่มหนุ่มสาวรวมถึงตัวฉันด้วย พวกเค้าใช้เวลาเกาะติดกับคอมเมนท์ต่างๆและปล่อยให้เรื่องพวกนี้ครอบงำความคิด มันทำให้ฉันรู้สึกซึมเศร้า รู้สึกแย่กับตัวเอง มองดูตัวเองในภาพที่ย่ำแย่ลงไป"


Selena จึงตัดสินใจลบ app ออกไป และหากจะติดต่อสื่อสารกับแฟนๆ เธอจะใช้โทรศัพท์ของคนอื่น (อาจจะเป็นทีมที่คอยดูแลพื้นที่ออนไลน์) ซึ่งในเวลาที่ผ่านมาที่เธอได้รับการรักษาในสถานบำบัดจิตใจก็น่าจะย้ำให้เห็นว่า การเสพติด social media อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่รู้สึกเปราะบางและต้องรับมือกับปัญหาอื่นๆอยู่แล้ว ยิ่งรับสิ่งที่ "เป็นพิษ" จากความคิดของชาวเน็ทตามมาอีก  อาการป่วยก็อาจจะทรุดลงก็เป็นได้  


"ฉันเข้าใจค่ะว่าการใช้พื้นที่แห่งนี้ให้เป็นประโยชน์มันเป็นเรื่องดีงาม แต่มันก็ทำให้ฉันกลัวเมื่อได้พบว่าเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายได้เปิดเผยมากมายแค่ไหน แน่นอนว่ามันอันตราย"


"ฉันได้เจอเด็กสาวมากมายจากงาน meet-and-greet พวกเธอต่างรู้สึกโศกเศร้าเมื่อถูก bully และไม่สามารถมีปากมีเสียง ชั้นว่าควรจะระวมัดระวัง ใช้เวลากับ social media โดยมีข้อจำกัดที่เหมาะสม"





Ed Sheeran


การแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงใจคนบางกลุ่มที่ทำให้ถึงกับเข็ดขยาด social media


นักร้องหนุ่มได้แสดงความหวาดกลัวเมื่อถูกคุกคามเพราะพูดพาดพิงคนดังที่มีฐานแฟนคลับที่ขึ้นชื่อลือชาถึง "ความแรง" 

หลังจากนักร้องหนุ่มหัวแดงได้ให้สัมภาษณ์ว่าไม่อยากจะกลายมาเป็นศิลปินที่สร้างความสำเร็จได้เพียงสองอัลบั้มและค่อยๆเงียบหายไป และไม่อยากจะได้รับการเชื้อเชิญไปแสดงช่วงพักการแข่งขัน Super Bowl เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่ายังโด่งดังในระดับ top ทั้งๆที่กระแสไม่ได้ดีเหมือนเดิม"


แม้ว่า Ed จะไม่ได้เอ่ยชื่อในการพาดพิงว่าเป็นใครออกมาตรงๆ แต่ปีนั้น ศิลปินที่ได้ขึ้นแสดงในโชว์อลังการของ Super Bowl คือ Lady Gaga แฟนๆจำนวนมากของเธอจึงปักใจว่า เขากำลังจิกกัดว่าเธอไม่lสามารถสร้างความฮ็อทฮิทเหมือนเดิม และปรี๊ดจนตามไปไล่ล่าเขาที่ social media  และยังปล่อย fake news เพื่อทำลายชื่อเสียง

"ผมตัดขาดจาก Twitter ไปเลยครับ" Ed ให้สัมภาษณ์กับสื่อ " ผมทนอ่านมันไม่ได้เลย มันมีแต่คำพ๔ดร้ายกาจ Twitter เป็นแหล่งรวมของเรื่องพวกนี้ อ่านแค่คอมเมนท์เดียวก็ทำลายวันดีๆไปได้หมด ผมจึงต้องเลิกอ่านพวกมัน มันทำให้ผมปวดประสาทตอนที่พยายามหาเหตุผลว่าเพราะอะไรคนเหล่านี้จึงเกลียดผมนัก"

Lady Gaga ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ เธอ post ภาพเพื่อแสดงให้แฟนๆเห็นว่าไม่ได้มีปัญหาใดๆกับ Ed และขอร้องให้แฟนๆยุติการกระทำเพื่อจ้องทำร้ายศิลปินที่กำลังรุ่งโรจน์ในวงการ


แม้จะเป็นศิลปินชายที่ไม่ได้มียุ่งเกี่ยวกับ scandal มากนัก แต่ Ed มักจะถูกลากเข้าสู่ดราม่าในโลกออนไลน์เสมอ อย่างการปราฏฏตัวเป็นนักแสดงรับเชิญใน Game Of Thrones ก็ได้รับเสียงต่อต้านมากถึงขั้นที่ผู้กำกับต้องออกมาชี้แจง หรือแม้แต่ตอนที่ Taylor Swift เปิดศึกกับผู้จัดการชื่อดัง Scooter Braun ก็ได้รับคำถามกดดันจากแฟนๆของ Taylor ว่า เหตุใดจึงไม่ใช้สถานะคนดังออกมาปกป้องเธอให้ชัดเจน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ Ed ส่งผลงานเพลงฮิทติดอันดับ 1ในชาร์ท จะมีช่วงที่ประกาศขอเบรคจาก social media   เขาเปิดเผยว่าใช้ชีวิตด้วยการไถหน้าจอจนรู้สึกว่ากำลังพลาดสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงไป  เขาจะพักเพื่อค้นหาความสร้างสรรค์ใหม่ๆจากการท่องเที่ยว และใช้เวลากับคนรอบข้าง และกลับมาพร้อมกับอัลบั้มยอดนิยม



Paris Hilton 


รู้สึกหนักใจที่เหมือนตัวเองมีเป็นุดเริ่มต้นที่ผลักดันห้คนรุ่นใหม่หมกมุ่นกับsocial media

Paris มักจะยืนยันสถานะของ Influencer ยุคบุกเบิกด้วยความภาคภูมิใจ  เธอประกาศว่าเป็นคนริเริ่ม selfie   และเคยมีกองทัพพาพาราซซี่คอยไล่ตามถ่ายภาพไม่แตกต่างกับครอบครัว Kardashian  แต่อีกด้านหนึ่ง เธอก็มองผู้คนที่หมกมุ่นกับ social media ด้วยสายตาที่เศร้าๆ


Paris ในยุค 2000s ถูกยกเป็นต้นแบบสาวแซ่บที่หลายคนใฝ่ฝันอยากดำเนินรอยตาม ภาพของคุณหนูตระกูลไฮโซที่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงและแฟชั่นตระการตาดึงดูดทุกความสนใจจนทำให้เธอติดอันดับเซเลบที่ถูกค้นหาชื่อมากที่สุด แม้ทุกวันนี้จะไม่ได้มีกระแสล้นหลามเหมือนดังเดิม แต่ก็ยังมีงานชุกสร้างสีสันให้กับวงการ  ไม่ fade กับวันเวลา  เธอโดดเด่นในการใช้ social media สร้างแบรนด์  ถึงขนาดว่า Kim K ได้ยกเครดิตให้ด้วยซ้ำว่า Paris เป็นผู้จุดประกายความสำเร็จของเธอ


แต่แม้ว่าแบรนด์ของเธอจะเข้มแข็งสักเพียงใด Paris ก็มองความเปลี่ยนแปลงของsocial media อย่างไม่สบายใจ


"ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนรับผิดชอบ ตอนที่ได้ดูว่าใช้เวลาไปกับ social ไปแล้วกี่ชั่วโมง นำมารวมกันแล้วก็เหมือนกับว่าต้องเราเอาแต่ดูโทรศัพท์เป็นปีๆ มันเยอะเหลือเชื่อ ทุกวันนี้ฉันเห็นเด็กหญิงวัยแค่ 9-10ขวบ พยายามถ่าย selfie ใป้เป๊ะที่สุด แต่งด้วย filter ต่างๆ เด็กเหล่านั้นไม่อยากมองรูปตัวเองที่ไม่ได้ใช้ filter ด้วยซ้ำ ฉันนึกไม่ออกเลยว่า ชีวิตเด็กอายุ 13 ปีในทุกวันนี้มันไปไกลขนาดไหน ทุกคนบอกว่าฉันคือแบบฉบับของ influencer ตัวแม่  แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าเป็นคนให้กำเนิดปีศาจขึ้นมา"






Lili Reinhart

strong แค่ไหน ก็เคยปิด Twitter หนี bully

เธอเป็นนางเอกที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงออกความคิดเห็นทาง social media อย่างเปิดเผยจริงใจ และไม่ลังเลที่จะโจมตีสิ่งที่เธอเชื่อว่าเป็นความอยุติธรรม เธอเคยตอบโต้ cyberbully ด้วยความเด็ดขาดว่า

"ฉันไม่เคยมีความเห็นใจให้กับพวกคนที่คอยตามจิกกัดคนอื่นในโลกออนไลน์โดยไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากเรียกร้องความสนใจ หรือพวกที่ระดมพลกันถล่มเซเลบ ไปหาอะไรที่มันดีกว่านี้ทำกันเถอะค่ะ ถ้าคุณเกลียดฉันนัก ก็เลิกพูดเรื่องของฉันสักทีสิ"





ดูเหมือนว่าที่ผ่านมา เธอรับมือกับบรรดา troll ที่คอยบั่นทอนจิตใจด้วยคำพูดรุนแรงได้อย่างเข้มแข็ง  แต่แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดก็ทำให้เธอรับไม่ไหว ต้องเบรคจาก social media ไปรวบรวมพลังมาใหม่เลยทีเดียว
ไม่ต่างจากคนทั่วไป Lili ยอมรับว่า ตัวเองต้องเกาะติด social media เสมอ   แต่เธอมักจะถูกนำไปพัวพันกับดราม่าต่างๆ และไม่ยอมเป็นเป้านิ่งให้ถูกโจมตีฝ่ายเดียว  แต่มันก็เหมือนการต่อสู้กับมือมืดที่คว้าไม่ถึง และไม่จบสิ้นสักที

"หากว่าคุณไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน คุณไม่มีทางเข้าใจเลยว่าจะรู้สึกเช่นไรเมื่อมีคนเป็นพันๆส่งข้อความเกลียดชังมาให้ ฉันไม่ได้เบรคจาก Twitter เพราะทนความเห็นใครบางคนไม่ได้ แต่ที่แห่งนั้นทำให้สุขภาพจิตของฉันแย่ มันไม่สร้างประโยชน์ใดๆให้
"และก่อนที่จะมาพูดอะไรโง่ๆอย่าง ' เธอรับมือกับคำวิจารณ์ไม่ไหว' ลองจินตนาการว่ามีข้อความร้ายกาจจากคนเป็นพันๆส่งถึงคุณในแต่ล่ะวัน อย่างกับว่าการแสดงความเห็นเรื่องชีวิตของคนอื่นมันสำคัญอะไรนักหนา ลองถามตัวเองสิว่า ถ้ายังใช้ Twitter ต่อแล้วมันยังเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพจิตรึเปล่า ต้องมาอธิบายเรื่องแค่นี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกงี่เง่าแล้ว แต่ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยความไม่รู้จริงและอคติมากเกินไปจนนิ่งเงียบเฉยๆไม่ได้ ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ "

Lili ไม่ได้ตัดจาก Twitter อย่างเด็ดขาด เมื่อพร้อมแล้วเธอก็กลับมาเชิ่อมต่อกับผู้คนในโลกออนไลน์อีกครั้ง แต่เธอก็ย้ำอีกหลายครั้งว่า พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังงานด้านลบที่กัดกร่อนจิตใจ




ความสัมพันธ์แบบรักๆเลิกๆของ Lili และ Cole Sprouse ทำให้พวกเค้าถูกจับตามองไปพร้อมกับการปล่อยข่าวลือ และแม้จะมีข่าวออกมาว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงทางตันเพราะฝ่ายชายนอกใจไปกับ Kaia Gerber ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระเอกหนุ่มเธอก็ออกมาเตือนให้ ชาวเน็ทหยุดโจมตีคนอื่นอย่างไร้เหตุผล

" Twitter เป็นศูนย์รวมความ toxic ที่สุดจากทุกแห่งบน social media คนทำตัวแย่ๆแบบไร้ที่มาที่ไป คุณรู้จักเรื่องกฎแห่งกรรมกันบ้างรึเปล่า ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไรนะ วันหนึ่งถ้ามันกลับมาเล่นคุณมั่งแล้วคุณจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยล่ะ"

Lili ยังกล่าวถึงวัฒนธรรม cancel เมื่อแฟนหนุ่มต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไว้อย่างยืดยาว

" Twitter นั้นเลวร้ายมาก การพูดแย่ๆถึงคนอื่นผ่านหน้าจอโทรศัพท์เป็นเรื่องที่ง่ายดายซะเหลือเกิน นี่อธิบายได้ว่าเหตุใดจึงมีคนที่เก็บเรื่องความสัมพันธ์ไว้กับตัวเอง เหตุใดบางคนจึงไม่ใช้ social media มันเป็นเพราะเรื่อง bully นี่เอง"

" การวิจารณ์และพ่นเอาความเกลียดชังใส่คนอื่นดูเป็นเรื่องง่ายเพราะมันทำให้คุณรู้สึกว่ามีอำนาจอยู่เหนือพวกเค้า แต่ความจริงคือ คุณไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย คำพูดที่ว่าคุณเกลียดชังคนๆหนึ่งมากแค่ไหนไม่ได้ทำให้คุณอยู่เหนือใคร "

"ที่คุณต้องมา tweet เกี่ยวกับคนที่ไม่รู้จักกันสักนิดเพียงเพราะตัวเองจะได้รู้สึกว่ามีอะไทำรในชีวิตขึ้นมาบ้าง มันเป็นสิ่งที่น่าสมเพชสุดๆ"

"ถ้าคุณอยากจะมีตัวตนเป็นที่ยอมรับหรืออยากมีความสำคัญ การโจมตีคนอื่นในโลกออนไลน์ไม่ได้ช่วยหรอก หันมาใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ พัฒณาตัวเองให้เป็นคนดีกว่าเดิมสิ"

"ฉันจะไม่ยอมปิดปากเงียบกับเรื่องพวกนี้ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่ามันสามารถทำลายใครสักคนได้ร้ายแรงขนาดไหน มันเป็นความรุนแรงและไม่อาจจะหาข้อแก้ตัวมากลบเกลื่อน หากคุณเข้าร่วมวัฒนธรรมการ cancel คุณจะต้องเปิดรับพระเจ้าเข้าสู่ชีวิตและต้องขอความช่วยเหลืออะไรบางอย่างแล้วล่ะ"


Lili และ Cole เลิกรากันในที่สุด และยังคบหากันเป็นเพื่อนต่อไป


บางคนอาจจะคิดสงสัยว่า แม้ social media จะทำให้คนดังทั้งหลายใช้เป็น platform ในการสร้างชื่อเสียงเงินทอง แค่ post เดียวอาจจะทำเงินให้เป็นล้าน หรือไม่ก็ดึงดูดให้นักลงทุนทาบทามให้าร่วม project ทำกำไรสูง ไปจนถึงการใช้ชื่อเสียงต่อยอดสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่ยังมีคนดังที่ยืนกรานว่าจะไม่ share อะไรผ่าน social media

เพราะอะไรกันนะ ?


Daniel Radcliffe

ไม่อยากทะเลาะกับคนอื่น 


เขาเป็นชายหนุ่มที่คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับ Twitter เลย

"ผมก็เคยคิดจะใช้ Twitter เหมือนกัน แต่เชื่อได้ 100% ว่าถ้าผมใช้มันเมื่อไร คุณจะต้องพบกับหัวข้อข้อข่าวว่า Dan Radcliffe เปิดศึกกับคนแปลกหน้าบน Twitter"

"ตอนที่ยังอายุน้อยกว่านี้ ผมชอบจะหาคอมเมนท์เกี่ยวกับตัวเองในเน็ทแล้ว มันเป็นเรื่องบ้าบอและห่วยมากครับ Twitter นี่ยิ่งทำให้ไปกันใหญ่ "




Emma Stone

ไม่ต่างจากเพื่อนซี้อย่าง Jennifer Lawrence นางเอกสาว A List คนนี้ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแชร์เรื่องส่วนตัวให้คนนอกได้รับรู้ผ่านsocial media



"ฉันไม่คิดว่าsocial media จะดีต่อตัวเอง หากคนอื่นสามารถรับมือกับการป้อนข้อมูลและผลลัพธ์ของมันก็ดีไปค่ะ "

"แต่มันทำให้ฉันเหวอเวลาเห็นคนในsocial media ประกาศว่ามีความสุขหาใดเปรียบ นี่เป็นชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วมันก็ทำให้เราคิดว่า เงียบไปเลย นั่นไม่จริงสักหน่อย ไม่มีอะไรที่ยอดเยี่ยมไปหมดทุกๆวันไม่เว้น ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่าง มันไม่ใช่วิถีของโลกแห่งความเป็นจริง"





Benedict Cumberbatch
ขอเลือกทำอะไรอย่างอื่นแทนที่จะเสพ social media
"ผมไปยุ่งเกี่ยวกับ social media ไม่ได้เพราะมันคงนำมาซึ่งความพังพินาศครับ   ผมไม่สามารถ tweet เพื่อแก้ไขอะไรได้   คงทำอะไรไม่ถูกและพูดเหลวไหลไปหมด     มันจะครอบงำและผมยังคิดว่าเรื่องอะไรพวกนี้มัน toxic สิ้นดี  ผมขอใช้พลังงานไปกับสิ่งที่ทำให้ผมได้รับความสนใจมาตั้งแต่เริ่มต้น  นั่นคือผลงานของผมนั่นเองครับ"





คุณไม่จำเป็นต้องลบ app หรือตัดขาดไม่แตะต้อง social media แต่ใช้มันอย่างมีสติไม่ปล่อยให้ความเห็นของคนอื่นมีอิทธิพลเหนือการกระทำ เพราะเราต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ดงตัวอักษรตัวเล็กๆหน้าจอ การเชื่อมต่อกับโลกภายนอกยังมีประโยชน์อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้มันเช่นไร



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE