บรอนเซอร์ จาก La Bouche Rouge แบรนด์สุดลักซูกับเคสหนังจากโรงงานเดียวกับ Hermes
Jayskennedy
22 พ.ค. 64
48
20
วันนี้เรามารีวิวบรอนเซอร์จากแบรนด์ La Bouche Rouge กับเคสหนังที่เค้าว่าใช้หนังแบบเดียวกับ Hermes Birkin!!! ไหนมันเป็นยังไงงงง
ขอเล่าประวัติแบรนด์คร่าว ๆ หน่อยนะครับเผื่อใครสนใจ เนื่องจากแบรนด์ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมาก แบรนด์ La Bouche Rouge นี่ถูกก่อตั้งโดยคุณ Nicolas Gerlier โดยหลัก ๆ ที่เค้าสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา คือเค้าอยากสร้าง luxury brand ที่มุ้นเน้นเรื่อง “sustainable” และ “environment” ซึ่งเค้าบอกว่าทุกๆ ปี มีปลอกลิปสติกที่เป็นขยะถึง “1 พันล้านชิ้น” เค้าเลยเริ่มที่จะทำผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนรีฟิลได้ขึ้นมา และที่สำคัญพึ่งเป็นประเด็นร้อนในโลกบิวตี้กันไปคือเค้าเป็นแบรนด์ Vegan และเป็น Non-animal testing ด้วย โดยผลิตภัณฑ์ที่เค้า launch ออกมาอย่างแรกคือ ลิปสติกครับ(บอกเลยว่าแพ็คเกจลักซู สมราคามาก) และที่ launch ออกมาเพิ่มคือ อายชาโดว์ บรอนเซอร์ และไฮไลท์ ซึ่งเราสั่งไปทั้งบรอนเซอร์และไฮไลท์ แต่บรอนเซอร์มาถึงก่อน ก็เลยหยิบมารีวิวก่อน
นอกเหนือจากการเป็น refillable แล้วนะ ตัวเคสยังเป็นแบบ “plastic-free” โดยตัวแพ็คเกจจะไม่มีไมโครพลาสติกเป็นส่วนประกอบเลย โดยเค้าใช้เป็น metal alloy แทน ซึ่งมีความคงทนมาก ถือแล้วมันให้ความรู้สึกที่หนักแบบคงทน ซึ่งเราชอบมาก น้ำหนักไม่เกี่ยงแต่แพ็คเกจที่ทนทานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา เวลาเราเลือกของนี่ก็เป็นอย่างนึงที่เราดูด้วย แต่...อย่างนึงนะ ด้วยความที่เค้าเป็น metal alloy ทั้งชิ้น ตรงส่วนกระจกจะไม่ได้เป็นกระจกแบบในตลับแป้งทั่วไปมันดันเป็น alloy ด้วย ซึ่ง ภาพที่สะท้อนออกมามันบิดเบี้ยว เราติตรงนี้อย่างเดียวเลย เราแอบงงว่าทำไมไม่ใช้กระจก อันนี้ไม่แน่ใจจริง ๆ ครับ “ซองหนัง” ของเค้าทำมาจากหนังที่เหลือจากโรงงานทำหนังอย่าง Tanneries du Puy ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็น supplier ให้ Hermes เช่นกัน โดยหลาย ๆ คนที่มี Hermes Birkin แล้วเค้ารีวิวสัมผัสของซองหนังนี้เค้าก็ว่าให้สัมผัสที่คล้ายคลึงกันม้ากกกก คือเราก็ยังไม่เคยสัมผัสหรอกนะ 🤣 แต่ถ้าให้พูดถึงความรู้สึกตอนสัมผัสซองมันให้ความรู้สึกเออหนัง Hermes มันเป็นอย่างนี้เองหรอ คือมันละมุนมากกกกกก สีของซองอะไรดู classy มาก หยิบมาแล้วไม่อายอ่ะ ตอนนี้เค้าเพิ่มสีแล้วด้วยตอนเราสั่งมีแค่ไม่กี่สี ตอนนี้เริ่มมีสีฟ้า สีครีมๆ เพิ่มมา อีกสวยทุกสี
มาพูดถึงตัวบรอนเซอร์กันบ้าง อย่างที่บอกไปว่า formula เค้าเป็น vegan ไม่มี silicone และ talc
โดยเค้าใช้ rice powder แทน silicone ซึ่งเป็นแหล่งของ vitamin B ช่วยเรื่อง cell regenerate ให้ผิวเรียบเนียน และมี hyarulonic acid และเค้าก็ใช้ mica จากแหล่งที่ได้รับการการันตีว่าเป็น Reposible Mica Initiative หรือ RMI (คือตรงนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงงานเด็กต้องทำงานแทนการเรียนในการให้ได้ mica มา ซึ่งมีเด็กหลายชีวิตที่ถูกดินถล่มเสียชีวิตและบาดเจ็บบ่อยระหว่างการทำงานในเหมือง)
ส่วนตัวบรอนเซอร์นั้น เนื้อดีมาก คือมันไม่เหมือน traditional บรอนเซอร์แบบแป้งทั่วไปในมาร์เก็ตนะ คือมันเนียน มันเบา สัมผัสแล้วมันฟิน เค้าไม่ได้ให้สัมผัสแบบ buttery เหมือนตัวอื่น ๆ และเค้าอัดมาแน่น โดนแปรงแล้วไม่ค่อยฟอลเอ้าท์ ด้วยความที่เค้าใช้ mica ทำให้เนื้อของบรอนเซอร์มีความชีนนิด ๆ ไม่โป๊ะแน่นอน ในเรื่องสี เค้ามีทั้งหมด 3 สี ส่วนตัวเรา nc25 ใช้สี Blonde ซึ่งเป็นสีที่สว่างที่สุดของเค้าและ โทนสีจะออกน้ำตาลวอร์ม ๆ ที่มีความติดส้มหน่อย แอบบอกว่าใครที่ไม่ค่อยชอบสีบรอนเซอร์ติดส้มแนะนำให้ข้ามนะครับ ตัวนี้ด้วยความที่พิกเม้นเค้าโปร่งมันให้ลุคที่ดูเป็น sun-washed แล้วนวลละมุนมากบนผิว สบายผิวมาก ไม่ดูเป็นชั้น ๆ ผิวดูตัน ๆ สำหรับผิวขาวมาก ๆ ใช้แทนบลัชได้เลย ในวันที่อยากได้ลุคบ่มแดด อาบแดดที่ทะเลไม่ได้ ก็อาบแดดริมพูลหลังบ้านไปก่อนช่วงนี้
*สิ่งนี้สนนราคาไทยที่ซื้อมาอยู่ที่ 3700 thb
สำหรับราคา usd อยู่ที่ รีฟิล 35 usd เคสและซองหนัง 65 usd (ตอนนี้ราคาซองกับเคสเป็น 75 usd แล้วนะครับ) รวมแล้ว 100 usd ต่อชิ้น คือเคสและซองเค้าไม่ได้บังคับซื้อนะครับ สามารถซื้อแค่ตัวรีฟิลมาใช้ก็ได้
**อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากจะบอกว่า ถ้าใครไม่ได้เงินเหลือหรือเป็นสายชอบสะสมจริง ๆ เราขอบอกว่า “ไม่จำเป็นต้องมี” ก็ได้นะครับ หรือถ้าเราเป็นสายรักษ์โลกเราก็แนะนำว่ายังมีอีกหลายวิธีในการช่วยโลกน้าาา ถ้าเทียบกับราคาที่ค่อนข้างสูงเรารู้สึกว่ายังอ่ะ อย่าเพิ่งก็ได้ แต่ถ้าใครชอบสะสมจริง ๆ อยากมี จัดไปครับไม่ห้าม มันมีคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งเราว่าคนกรุ๊ปนี้ก็น่าจะเลือดนักสู้กัน ใครสายลิปสติกนะ สนุกสนานแน่นอน