วิเคราะห์ดราม่าความขัดแย้งราชวงศ์อังกฤษจากTwo-generation

51 9
บทสัมภาษณ์ของดยุคและดัชเชสแห่ง Sussex ที่โลกออนไลน์ถูกถาโถมด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย     ในบาง platform นั้นบรรยากาศของความโต้แย้งประเด็นดราม่าราชวงศ์อาจจะดุเดือดเลือดพล่าน      เราขอชักชวนชาว Jeban  ให้ได้ลองวิเคราะห์ด้วยมุมมองจากเหตุการณ์ในอดีตกันบ้าง  ลองมาติดตามกันได้เลยค่ะ


นักเสพดราม่าอาจจะพอทราบกันแล้ววว่า รายการสัมภาษณ์คู่สามีภรรยาผู้โด่งดังที่ได้ก้าวออกจากราชวงศ์อังกฤษนั้นได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และดึงดูดผู้ชมหลายสิบล้านคน แม้แต่ในอังกฤษที่ผู้คนมักจะยักไหล่บอกกับคุณว่า " ไม่ใส่ใจเรื่องราชวงศ์" หรือ "ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่อง scandal" ก็ยังมีผู้เปิดชมรายการเกิน 11 ล้านคน และได้กลายเป็นหัวข้อข่าวที่ร้อนแรงที่สุด เรียกได้ว่ากดเปลี่ยนไปที่ช่องใดก็เลี่ยงไม่พ้น !

ขอรวบรวมประเด็นข้อกล่าวหาอื้อฉาวที่ H&M  ทิ้งระเบิดไว้ในรายการไว้อย่างย่อๆ ดังนี้



ข้อกล่าวหาสุดซีเรียสต่อราชวงศ์และสำนักราชวัง



(นี่คือการให้ข้อมูลจากฝั่ง Sussex ด้านเดียว ไม่ใช่การยืนยันว่านี่คือ fact ที่พิสูจน์ได้ทุกประการ)



  •  ใครบางคนในราชวงศ์ออกความเห็นแสดงความกังขาต่อ Archie ที่ยังเป็นทารกในท้องว่า เมื่อเกิดมาแล้วสีผิวจะเข้มสักเพียงใด
เจ้าชาย Harry ยืนยัน ไม่ใช่สมเด็จพระราชินี Elizabeth และเจ้าชาย Philip


  • สำนักราชวังปฏิเสธที่จะสนับสนุนการรักษาปลอดภัยให้ Archie


  • Meghanโต้ข่าวลือ  ไม่ได้เป็นผู้ที่ทำให้ Kate ร้องไห้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้าม

ยังจำข่าวจาก tabloid ที่กล่าวหาว่า  Meghan ใช้อารมณ์กดดััน Kate ในเรื่องชุดเพื่อนเจ้าสาวตัวน้อยผู้ถือดอกไม้จน Kate ร่ำไห้กันได้ใช่มั้ยคะ     เธอบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันกลับกัน   และ Kate ก็รู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุจึงนำดอกไม้และเขียนโน้ตมามอบให้เธอเพื่อเป็นการขอโทษ
" ฉันคิดว่าส่วนใหญ่แล้วสื่อเป็นตัวการปล่อยข่าว  ฉันก็หวังให้เธอแก้ไขความเข้าใจผิดแต่ในขณะเดียวกัน สำนักราชวังก็ไม่ต้องการให้มีการปฏิเสธเรื่องนี้ พวกเค้าไม่ยอมให้เธอแก้ข่าว  เพราะเธอเป็นคนดี "  ( หมายถึงว่า สำนักราชวังไม่ต้องการให้ภาพลักษณ์คนดีของ Kate เสียหาย)


"เรื่องที่ยากจะทำใจก็คือ การที่ถูกโทษในสิ่งที่ไม่ได้ทำ และมันยังเป็นเรื่องเกิดขึ้นกับตัวฉันเองด้วยซ้ำ คนที่ร่วมงานเพื่อจัดพิธีเสกสมรสได้เข้ามายังทีมงานสื่อสารของฉันและบอกนี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนในสำนักราชวังรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงค่ะ"




The Times อ้างแหล่งข่าววงในโต้คำพูดของ Meghan ว่า Kate อาจจะนำดอกไม้ไปมอบให้เธอเพื่อยุติความบาดหมางจริงๆ แต่ Kate คือฝ่ายถูกกดดันจนหลั่งน้ำตาในช่วงลองชุด และยังต้องพบกับปฏิกิริยาตอบรับที่ร้ายกาจของ Meghan เมื่อนำดอกไม้ไปมอบให้ที่บ้านกลับถูกปืดประตูใส่หน้า และโยนดอกไม้ทิ้ง






  • ความคิดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ของ Meghan ในขณะที่กำลังอุ้มท้องลูกน้อย

"ฉันรู้สึกละอายใจที่จะบอกมันออกมาและยิ่งละอายที่ต้องยอมรับกับ Harry เพราะฉันได้รู้ว่าเขาต้องทุกข์ทรมานจากการสูญเสียมาโดยตลอด แต่ฉันรู้ว่า ถ้าไม่พูด ฉันก็อ่าจจะทำมันลงไป ตอนนั้นฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป"






ภาพที่ Meghan ระบุว่า ได้ตามหลอกหลอนมาถึงทุกวันนี้

"สิ่งหนึ่งที่ยังคอยตามหลอกหลอนฉันอยู่คือภาพที่ใครบางคนส่งมาให้ เป็นภาพที่เราต้องเข้าร่วมงานมางการที่ Royal Albert Hall ค่ะ

"เพื่อนบอกว่า รู้นะว่าเธอไม่ได้ตามดูรูป แต่พระเจ้า พวกเธอสองคนดูดีมากเลย "


" ฉันซูมภาพ และได้พบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น นั่นก็คือ ก่อนที่เราจะออกงานร่วมกัน ฉันได้ปรึกษาหารือกับ Harry ถึง 'เรื่องนั้น' ในตอนเช้า"


Oprah จึงถามต่อว่า หัวข้อของการพูดคุยนั้น คือความรู้สึกที่ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วใช่หรือไม่ Meghan ยอมรับ และบรรยายต่อว่า ความคิดนี้ได้ปรากฏในยามค่ำคืน และมันจริงจังจนเธอรู้สึกหวาดกลัว แม้ว่าสามีจะแนะนำว่า เธอไม่จำเป็นต้องไปร่วมงาน แต่เธอยืนยันว่าต้องไป เพราะ "ไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้"

( นัยว่าหากอยู่ผู้เดียวก็อาจจะมีความคิดที่ dark ขึ้นมา และอาจจะไม่ปลอดภัย)







เธอชี้ให้เห็นว่า เจ้าชาย Harry กุมมือเธอไว้แน่น ข้อนิ้วขาวซีดไปหมด พวกเค้าต้องเก็บกดความรู้สึกเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง แต่เมื่อใดที่แสงสปอทไลท์หันเหออกจากที่นั่ง ของพวกเค้า เธอก็เริ่มหลั่งน้ำตา แต่เมื่อแสงไฟสาดส่องกลับมาที่เดิมก็ต้องปั้นหน้าเป็นปกติ


"คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ชีวิตเบื้องหลังของใครบางคนเป็นเช่นไร คุณไม่รู้จริงๆ "



  • แรงสั่นสะเทือนของการให้สัมภาษณ์เปิดใจ


ปฏิกิริยาจากสื่ออังกฤาแตกต่างกันออกไปแปรผันตามอุดมการณ์     บางเจ้าแสดงท่าทางต่อต้านข้อกล่าวหาของ Meghan เต็มที่  ปละประกาศว่า นี่คือการดูหมิ่นราชวงศ์อย่างร้ายแรง  (ในขณะเดียวกัน แทบลอยด์ก็เป็นสื่อที่สร้างรายได้จากการดูหมิ่นราชวงศ์มาเนิ่นนาน)   สื่อบางเจ้าได้แสดงความเห็นกลางๆ ไปจนถึงการออกตัวปกป้อง H&M อย่างไม่ปิดบัง   เสียงตอบรับที่หลากหลายขัดแย้งกันนี้ก็ไม่ต่่างกับสาธารณชน ที่มีทั้งผู้ทีวิพากษ์วิจารร์คำพูดของทั้งคู่อย่างรุนแรง  ผู้ที่ยังกังขาไม่สามารถเลือกข้างได้เพราะไม่ได้ยึดว่าไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์   และผู้ที่ยืนหยัดปกป้องด้วยความเชื่อถือ H&M ทุกคำพูดของพวกเค้า
ฝ่ายที่ไม่เชื่อถือ  H&M  ประนามคู่นี้ว่า

"หิวเงิน "  "สร้างกระแส"  "จอมปลอม"  " ไร้จิตสำนึก"   


ฝ่ายที่สนับสนุน H&M  โจมตีราชวงศ์รุนแรงไม่แพ้กัน


"เหยียดผิว"  "เลือกปฏิบัติ" "คร่ำครึ"  " bully"    


ข้อกล่าวหาต่างๆที่พุ่งกระจายตามมาหลังจากที่ H&M ให้สัมภาษณ์กับเจ้าแม่สื่อผู้ทรงอิทธิพลแห่งอเมริกานั้นมีอานุภาพรุนแรง ผู้คนที่เกาะติด scandal นี้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ผลกระทบที่ตามมาไม่ได้มีแต่การเสียงวิพากษ์ดุเดือดเท่านั้น แต่นักการเมืองของอังกฤษบางคนก็ยังได้ออกมาเรียกร้องให้สำนักพระราชวังดำเนินการสอบสวนถึงต้นตอของเหตุการณ์ที่ฝ่าย Sussex ได้บอกเล่าในรายการเปิดใจ

และคำเรียกร้องนี้ก็ได้รับการตอบสนองจากสำนักราชวังแล้ว




ราชสารตอบรับสถานการณ์จากสมเด็จพระราชินี


  • เพื่อนสนิท Meghan ยัน  : เก็บหลักฐาน email เป็นหลักฐานคำพูดไว้เพียบ

Janina Gavankar เพื่อนเก่าแก่ที่คบหากับ Meghan มาสิบกว่าปีได้ปรากฏตัวในรายการ This Morning เพื่อตอบข้อข้องใจจากสื่อ TV อังกฤษ และเธอยืนยันว่า H&M ไม่ได้กล่าวหาอีกฝ่ายเพียงลอยๆ แต่มี receipt ...


- จากสารล่าสุดที่สำนักราชวังประกาศว่า จะตรวจสอบเรื่องราวอย่างเป็นส่วนตัว เธอรู้สึกยินดีที่สำนักราชวังแสดงท่าทีตอบรับต่อปัญหานี้

- แต่เธอก็ยังกังขาเรื่องการให้ข้อมูลจากเชื้อพระวงศ์และ staff ที่อาจจะหลากหลายไม่ตรงกัน แต่สำหรับข้อมูลจากฝั่งของพวกเธอนั้นชัดเจน และมีemail เป็นหลักฐาน

- สำหรับข้อกล่าวหาว่า Meghan เป็น bully เธอยืนยันว่า รู้จักกันมา 17 ปีและเห็นวิธีที่เพื่อนปฏิบัติต่อคนรอบข้างมาโดยตลอด เธอไม่ใช่ bully แต่เธอรู้ว่าเพราะอะไรจึงต้องแยกตัวออกมา พวกเค้าถูกกระทำอย่างย่ำแย่ และมีทั้ง email และข้อความยืนยันเรื่องนี้อยู่จำนวนมาก




ไม่กี่วันก่อนที่จะออนแอร์การสัมภาษณ์สะเทือนวัง นักข่าว The Times Of London ได้นำเสนอประเด็น bully เมื่อstaff ที่เคยทำงานให้กับ Meghan ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ย่ำแย่จนต้องร้องเรียนพฤติกรรมของเจ้านาย เพราะ Meghan ได้สร้างความอับอาย ในบางครั้ง staff จะถูกบีบคั้นจนเสียน้ำตาและตัวสั่นงันงก แม้ไม่ได้อธิบายเหตุการณ์อย่างเจาะจง แต่กระแส Meghan จอม bully ก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง

ตัวแทนของคู่ Sussex ออกมาโต้กลับว่า นี่เป็นแผนการที่คิดคำนวณมาทำลายชื่อเสียงของ Meghan และไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สื่อดังจะเล่นข่าวนี้ไม่นานก่อนที่จะมีการเผยแพร่การให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงประสบการณ์ที่พวกเค้าก้าวผ่านในไม่กี่ปีที่ผ่านมา การโจมตีครั้งนี้สร้างความตกตะลึงให้กับเธอที่แท้จริงแล้วเป็นเป้าหมายของการ bullyจนเกิดบาดแผลและความสะเทือนใจ




ข้อมูลที่ The Times เปิดประเด็นจนฮือฮานั้นฟังดูเป็นหนังคนละม้วน จากการเปิดเผยชื่อที่ปรึกษาหนุ่ม Jason Knauf ที่ร้องเรียนกับเลขานุการส่วนของเจ้าชาย William ว่า Meghan คุกคามผู้ช่วยสองคน เธอbully Y (นามแฝง) และทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความมั่นใจ

สำนักราชวังประกาศว่าจะตรวจสอบเรื่องข้อกล่าวหาดังกล่าว และปัจจุบัน Knauf ผู้ร้องเรียนเรื่องนี้ได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการมูลนิธิของเจ้าชาย Williamและดัชเชส Kate










  •  พิธีกรปากกล้าลาออกรายการข่าวเช้าชื่อดังหลังพาดพิงประเด็น mental health
"ผมไม่เชื่อคำพูดที่ออกจากปากเธอแม้แต่คำเดียว"  Piers Morgan   พิธีกรแห่งรายการ Good Morning Britain ผู้สร้างชื่อจากการให้ความเห็นอื้อฉาวออกสื่อ TV และ tabloid ได้ฟาดฟันไปยังประเด็น "ความคิดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่"  ที่ Meghan ได้เปิดใจกับ Oprah  เขาโจมตีคู่สามีภรรยา Sussex มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และต้องแน่ใจว่าคัดสรรคำที่เผ็ดร้อนมาบรรยายความรู้สึกเสมอ  ในคราวนี้ เขาตั้งฉายาให้กับ Meghan ว่าเป็น เจ้าหญิง Pinocchio ที่โกหกเรื่องอยากตายและถูกกีดกันทางสีผิวจากราชวงศ์     เพียงไม่นานจากนั้น  Office Of Communication หรือ Ofcom ต้องรับคำร้องเรียนจนสายโทรศัพท์แทบจะมีไฟลุกพรึ่บ  เพราะมีผู้ที่ไม่พอใจต่อคำพูดของพิธีกรปากกล้าถึง 41,000 ราย  รวมไปถึงการประนามจากสมาชิกรัฐสภาพรรคแรงงานและตัวแทนจากองค์กรเพื่อสุขภาพจิต

สื่อเสรีนิยมอย่าง Independent ได้วิพากษ์ว่า สมควรแก่เวลาแล้วที่เขาจะต้องถูก ITV ไล่ออก หลังจากที่มีพฤติกรรม bully มายาวนาน จากนั้น ผู้บริหารจึง ITV เรียกตัวพิธีกรดังมาเจรจาจนได้รับบทสรุปว่า เขาตัดสินใจลาออกจากรายการข่าวเช้าชื่อดังอันเป็น platform สำคัญในการสร้างกระแสเป็นที่โจษจันมาหลายปี


The Guardian ได้ว่า สาเหตุที่เขาใช้คำพูดรุนแรงวิจารณ์ H&M ( เขาเขียนบทความเป็นสิบๆให้กับ Daily Mail เพื่อด่าคู่นี้โดยเฉพาะ) เพราะ Meghanได้เมินเฉยต่อมิตรภาพที่เคยหยิบยื่นให้กันหลังจากที่เธอได้เริ่มความสัมพันธ์กับเจ้าชาย Harry เมื่อเธอกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจจากสื่อ ก็เมินเฉยไม่ยอมสนใจใน project ที่เคยได้พูดคุยกันไว้ จนทำให้เขาแค้นเคืองจนทุกวันนี้ และได้ให้คำนิยามต่อสถานการณ์นี้่ เป็นการปิดเส้นทางของผู้ชายที่ฉะแหลกไม่รู้จักสถานการณ์ที่ควรจะหยุด







แต่นั่นจะเป็นการปิดเส้นทางของเขาจริงหรือ ? แม้ผู้คนจำนวนมากได้แสดงท่าทีรังเกียจวิธีการขายข่าวแบบ Piers Morgan แต่ที่เขากลายมาเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลได้จนทุกวันนี้ เพราะมีคนอีกมากที่ชื่นชอบสไตล์การนำเสนอข่าวด้วยคำพูดtoxic สร้างกระแส ดังเช่น

- การล้อเลียน Daniel Craig ที่ใช้กระเป๋าอุ้มลูกน้อยว่าเป็น 007 ที่ดูอ่อนแอ
- เหยียด Little Mix ว่าขายเนื้อหนัง ไม่ใช่ความสามารถทางดนตรี
- บอกว่าผู้ชายควรทำตัวเข้มแข็ง แทนที่จะระบายความรู้สึกด้วยคำพูดเมือมีปัญหา mental health และชี้ว่า ดาราหลายคนเสแสร้งว่าป่วยเป็นโรคทางจิตใจเพื่อสร้างกระแส ( Sophie Turner ยัวะหนักและชี้ว่า 1ใน 4ของประชากรอังกฤษมีปัญหา mental health และแดกดันที่เขาพยายามปิดโอกาสไม่ให้พวกเขาขอความช่วยเหลือด้วยการทำตัวให้เข้มแข็ง)
- ก่อนที่จะก้าวมาสร้างชื่อเสียงด้วย controversy ในวงการ TV เขาเคยใช้ตำแหน่งบรรณาธิการ Daily Mirror ตีพิมพ์ภาพภาพทหารอังกฤษทรมานนักโทษในอิรักตีแต่ความจริงเปิดเผยภายหลังว่ามันเป็นรูปปลอมจึงถูกไล่ออก ตอนนี้ นอกจากงาน TV เขาหันมารุ่งกับการด่าคนดังผ่าน Daily Mail แทน

และอีกหลากหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้พื้นที่สร้างความฮือฮาในสังคมอย่างสม่ำเสมอ

เจ้าตัวยืนยันว่าชอบสร้างกระแสด้วยคำพูดแรงๆ ชอบเป็นที่สนใจ แต่บางครั้งนึกย้อนไปยังคำพูดของตัวเองแล้วก็คิดว่าเกินไปเหมือนกัน



เส้นทางในวงการของพิธีกรผู้อื้อฉาวไม่ได้จบลงแค่นี้แน่ๆ  เพราะมีผู้ที่ยกเหตุผล Freedom Of Speech มาสนับสนุนและเรียกร้องให้เขากลับมาได้งานนี้หบายหมื่นรายชื่อ  พวกเค้าต่างเชื่อว่า หากไม่สามารถรับคำพูดเช่นนี้ได้ก็เพียงแค่เปลี่ยนช่องหรือเบิกติดตาม  ยังมีคนอีกมากที่ติดใจในสไตล์การนำเสนอข่าวแบบ Piers   อย่างไรก็ตาม     นอกจากคำพูดที่พาดพิง Meghan ว่าโป้ปดเรื่อง mental health นั้น วีรกรรมต่างๆ ที่เรายกมาเบื้องต้นทำให้ผู้คนออกมาแสดงความสาสมใจที่เขาลาออกจากรายการข่าวเช้าไปได้   แต่เราค่อนข้างมั่นใจว่า เขาน่าจะได้งานใหม่ที่โดดเด่นไม่แพ้กันอีกไม่นานต่อจากนี้



ย้อนอดีตไปยังช่วงเวลาที่เจ้าหญิง Diana ยังมีชีวิต

เธอได้รับการปฏิบัติเช่นไร ?

บทสัมภาษณ์ของ H&Mที่ถูกเปรียบให้เป็นอาวุธทิ่มแทงราชวงศ์อังกฤษที่ยึดมั่นในการแสดงภาพที่สง่าผ่าเผยของชนชั้นสูง ทำให้หลายคนระลึกถึงกับรายการสัมภาษณ์เปิดใจเจ้าหญิง Diana ในปี 1995 แม้เรื่องราวการนอกใจของสวามีตั้งแต่ที่ได้เสกสมรสเข้าสู่ราชวงศ์จะฉาวโฉ่สร้างเสียงกล่าวขวัญมาเป็นเวลานาน แต่การเปิดใจยอมรับว่า มีชีวิตแบบ "เราสามคน" จากปากเจ้าหญิงเอง ทั้งยังยอมรับเรื่องความเจ็บป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและ bulimia รวมไปถึงความรู้สึกที่แสนโศกเศร้าที่ไม่มีใครรับฟัง ก็ไม่ต่างจากนิวเคลียร์ที่พุ่งถล่มเชื้อพระวงศ์ เพราะแทบไม่มีเชื้อพระวงศ์คนใดที่เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวได้ลึกล้ำขนาดนี้มาก่อน


แต่ถ้าพูดถึงกระแสตอบรับจากการเปิดใจของเจ้าหญิงในตอนนั้น แม้เธอจะดูบอบช้ำจากชีวิตคู่ที่พังทลายและถูกสื่อตามขุดคุ้ย แต่ชื่อเสียงในฐานะ "เจ้าหญิงแห่งปวงชน" ทำให้สังคมเทคะแนนความเห็นใจอย่างล้นหลาม แตกต่างจากภรรยาของลูกชายคนเล็กที่ยังมีเสียงครหาอื้ออึงตามมา แม้ว่าเจ้าหญิงจะยอมรับตรงๆว่า มีความรักกับชายอื่นในขณะที่มีสถานะเป็นชายาว่าที่กษัตริย์ แต่เมื่อเธอยืนยันว่า จะไม่ได้เป็นพระราชินี ได้แต่หวังว่าจะทำงานเพื่อให้เข้าไปอยู่ในใจของประชาชนให้ได้ก็ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกเป็นลบต่อราชวงศ์



ส่วนเสียงตอบรับจากสื่อน่ะเหรอ ?


ลองกวาดตามองด้านล่างสิคะ


"เธอเสียสติไปแล้วรึไง"


"Dianaเปิดเผยหมดเปลือกเพื่อแก้แค้น"


"เพื่อนเจ้าชาย Charles โจมตีเจ้าหญิง Diana จัดฉากสัมภาษณ์"



ใช่ค่ะ เมื่อเจ้าหญิงผู้โด่งดังออกมาเปิดเผยว่าเธอเป็นเรื่องซึมเศร้า Mirror ตอกกลับใส่เธอว่า "บ้าไปแล้วรึ" และ Daily Mail จิกกัดเธอว่าจัดฉาก หลอกลวง


นี่เป็น project ลับมากจนบางสื่อออกอาการ "เต้นเป็นเจ้าเข้า" เพราะไม่รู้ระแคะระคายมาก่อน เรตตติ้ของรายการสัมภาษณ์จาก BBC พุ่งสูงไปถึง 22.8 ล้านคน เทียบกับจำนวนประชากรแล้ว กระแสความตื่นตัวเรื่องราชวงศ์ในยุคนั้นสูงมาก เพราะฉาวกันได้รายวัน ในวันหนึ่ง สื่ออาจจะยกให้เชื้อพระวงศ์ดูสูงส่งราวกับชาวสวรรค์ แต่อีกไม่กี่วันอาจจะดึงให้ต่ำลงนรกด้วยการป้ายสีและขุดคุ้ยเอาเรื่องส่วนตัวมาขายโโยไม่เลือกวิธี (แม้จะผิดกฎหมาย)


หลายปีต่อมา นักเสพข่าวราชวงศ์อังกฤษต้องอึ้งกันไปอีก เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่า พิธีกรที่สร้างความสนิทสนมกับเจ้าหญิวได้ใช้ลูกไม้ปลอมแปลงเอกสารเพื่อล่อหลอกให้เจ้าหญิงออกมาเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก เขาทำให้เธอเชื่อว่า staff ที่ทำงานใกล้ชิดมีความประสงค์ร้ายแอบแฝง เพราะถูกใครบางคนสั่งการให้คอย spy เรื่องของเธอไปรายงานทุกความเคลื่อนไหว ด้วยความคับแค้นหวาดระแวงว่าถูกหักหลังทำให้เธอตัดสินใจทิ้งระเบิดสัมภาษณ์ที่สื่อตั้งฉายาว่า Di-namite จนภาพลักษณ์ของราชวงศ์ตกต่ำลงไปกว่าเดิม




ในยุค 80s ที่เธอถูกยกให้เป็นเจ้าสาวผู้เลอโฉมบุคลิกขี้อายของเจ้าชายหนุ่มเนื้อหอมนั้น ทุกอย่างดูดีงามไปหมด ความนิยมของเธอพุ่งสูงเกินกว่าเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆในระดับปรากฏการณ์ความคลั่งไคล้ในหลายประเทศ มิใช่แต่ในอังกฤษเท่านั้น แต่เจ้าหญิงได้ระบุให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มทีกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของสื่อต่างๆ เพราะยิ่งสื่อทุ่มเทความสนใจมาตัวเธอมากเท่าไร ก็สร้าง "ความอิจฉาริษยา"อย่างล้นพ้น แต่มิได้เฉลยว่า ผู้ที่อิจฉาเธอเป็นใคร ได้แต่บอกว่า ความอิจฉานี่เองที่นำไปสู่เรื่องราวยุ่งยากขึ้นมา

แฟนๆ ที่อินกับ The Crown อาจจะมีสัมผัสบางอย่างตรงกันว่า ใครบางคนที่ไม่พอใจในชื่อเสียงความสำเร็จของเจ้าหญิงคือ ... ? "




แต่ในช่วงที่เรื่องราวการนอกใจที่กลายมาเป็นเรื่องความอื้อฉาวระดับชาติ  ทิศทางการทำหน้าที่เชื้อพระวงศ์ระดับอาวุโสของเจ้าหญิงเริ่มขัดเจนขึ้นมาทุกทีว่า  เธอจะไม่ก้าวขึ้นเป็นพระราชินีแห่งอังกฤษ   ในช่วงนั้นเองที่สื่อเริ่มเล่นงานเธอหนักขึ้น  



จากที่ถูกสรรเสริญเยินยอว่าเป็นเจ้าหญิงที่อังกฤษภาคภูมิใจ เริ่มมีผู้ปล่อยข่าวว่าเธอมี มีความขัดแย้งกับ staff อิจฉาริษยา nanny ที่ใกล้ชิดกับเจ้าชายทั้งสอง และยังเป้นจอมวางแผนสร้างความเห็นใจจากสังคมเพื่อแก้แค้นสวามี ภาพของ Di ขี้อาย ถูกตั้งแบรนด์ใหม่เป็น Di ตีสองหน้า ยิ่งตอนที่หย่าขาดจากเจ้าชาย Charles เธอถูกถอดพระยศ HRH ออก และถูกวิจารณ์เรื่องการทำหน้าที่แม่ ( แม้ว่าจะได้รับเสียงชื่นชมในเรื่องนี้มาตลอด) จากการเดินหน้างานการกุศลจนต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง เจ้าชายทั้งสองเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่นและเข้าเรียนในโรงเรียนประจำของผู้ดี ยิ่งปิดกั้นโอกาสไม่ให้แม่ลูกได้พบกันมากนัก ชีวิตรักครั้งใหม่ที่ถูกสื่อนำเสนอว่าดู "โลดโผน" และ "ไม่คงที่" ทำให้หลายคนมองเธอในภาพของผู้หญิงที่หิวโหยความรักและไม่สามารถมีความสัมพันธ์ยืนยาวได้ ก่อนที่จะพบกับอุบัติเหตุสุดสะเทือนใจ เจ้าหญิงต้องรับมือกับแรงกดดันจากสื่ออย่างหนัก โดยเฉพาะคำวิจารณ์ หลัจากได้รับอิสระ เธอใช้ชีวิตอย่าง "สุดเหวี่ยง" จนไม่เห็นแก่หน้าราชวงศ์อันสูงศักดิ์


แต่ทุกอย่างสามารถหักมุมไปได้เสมอ....

มื่อเธอไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว สื่อทั้งหลายต่างร่วมใจแสดงความอาลัยอาวรร์ และพยายามทวงหาความยุติธรรมให้กับเธอ ทั้งๆที่ไม่นานมานี้อาจเย้ยหยันว่าเธอเป็นนางมารร้อยเล่ห์ แลหากินกับการการยัดเยียดภาพที่ดูเหลวแหลกให้กับเธอ

แต่การเชิดชูความดีของเจ้าหญิงผู้ล่วงลับดำเนินไปได้สักพัก เมื่อเรื่องราวซาลงไปแล้ว สื่อไม่ได้รามือกับการลากชื่อของเธอมาคู่กับข่าวฉาวแต่อย่างใด ดังดรณีที่ศีรีส์ The Crown ซีซันล่าสุดสร้างกระแสฮือฮา สื่อบางเจ้าก็ได้นำ "ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราชวงศ์" มาวิจารณ์เธอเสียๆหายๆอย่างไม่ต้องไว้หน้าใคร



อดีตหัวหน้าฝ่าย staff ของเจ้าหญิง Diana   :  สถานการณ์ความขัดแย้งของคู่ Sussex VS ราชวงศ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในรุ่นพ่อแม่



Patrick Jephson ผู้ที่เคยถูกยกให้เป็น "คนโปรด" เจ้าหญิง Diana ใช้เวลา 8 ปีในการทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวและหัวหน้าฝ่าย staff แน่นอนว่า ก่อนจะรับตำแหน่งนี้ เขาต้องเซ็นสัญญาเพื่อเก็บรักษาความลับของนายจ้างที่เป็นบุคคลชั้นแนวหน้าของโลก แต่เมื่ออุบัติเหตุได้พรากชีวิตเจ้าหญิงไป   เขาได้อ้างว่า สัญญาดังกล่าวย่อมถูกล้มเลิก และหันมาขายเรื่องของเธอผ่านหนังสือชีวประวัติ   ในสายตาผู้คน  เขาคนนี้น่าจะเป็นแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุด จากประสบการณ์ทำหน้าที่ดูแลเจ้าหญิงอย่างใกล้ชิด   แต่ก็ยังมีผู้ที่แสดงข้อกังขาต่อคำพูดของเขาเช่นเดียวกัน 


เรื่องราวจากประสบการณ์ของคนสนิทเจ้าหญิงที่เคยกำความลับมากมายของราชวงศ์



- เจ้าหญิงพบว่าเชื้อพระวงศ์แสดงออกต่อเธออย่างเย็นชาและไม่เป็นมิตร
- บรรยากาศดังกล่าวมีอิทธิพให้พฤติกรรมของเธอเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการคบหาผู้ชายและความหวาดระแวงว่าจะมีคนแอบติดตามหรือแม้กระทั่งลอบสังหารเธอ
- เจ้าหญิงมีด้านมืดที่คนคาดไม่ถึง เช่น การส่งข้อความทาง pager ด้วยอารมณ์โมโหถึง staff
- หลังจากที่เธอให้สัมภาษณ์กับ BBC เธอก็ได้รับจดหมายฉบับแรกจากสมเด็จพระราชินี มันเป็นจดหมายแนะนำให้เธอและเจ้าชาย Charles หย่ากันนั่นเอง
- ราชวงศ์ไม่มีวันให้อภัยเธอจากการให้สัมภาษณ์ในปี 1995
- เย้ยหยันว่า เมื่อเจ้าหญิงออกจากราชวงศ์ไป ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ได้เหมือนเดิม

เขายอมรับว่า เจ้าหญิงได้จากโลกนี้ไปโดยอาจจะยังมีความเชื่อว่าเขาเป็นคนทรยศ ( จากประเด็นฉาวที่พิธีกร BBC ปลอมเอกสารเพื่อทำให้เจ้าหญิงเชื่อว่าstaff รอบข้างตามติดเพื่อสืบและป้อนข้อมูลส่วนตัวของเธอให้คนอื่น) อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาหลายปีที่เขาได้ปลุกกระแสสังคมด้วยข้อมูลแบบคนวงในที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงเสียหาย แม้แต่เจ้าชาย William ที่จะไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัวมากนัก ก็ส่งแถลงการณ์ประนามอดีตคนสนิทที่เคยหักหลังมารดา และยังฉวยโอกาสใช้ชื่อของเธอหากิน กอบโกยรายได้จากการเขียนหนังสือ Shadow Of A Princess ไปได้มากโขทีเดียว


Patrick Jephson  มักจะปรากฏตัวตามสื่อ TV และมีผลงานบทความใน tabloid ที่ดูจงใจโจมตีเจ้าหญิง Diana อย่างชัดเจน  ความสัมพันธ์ของเจ้านาย-ลูกน้องปิดฉากอย่างไม่สวยงาม เธอระแวงต่อความซื่อสัตย์ของเขา และเกรงว่าจะถูกขายความลับไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย   แต่สิ่งที่เธอหวั่นเกรงเกิดขึ้นหลายปีหลังจากอุบัติเหตุที่แพรีส   เขาได้ชักจูงให้สังคมเชื่อว่า ตัวตนที่แท้จริงเจ้าหญิงอันเป็นที่รักของมวลชนคือผู้หญิงสูงศักดิ์จอมสร้างภาพที่มีอีกด้านชีวิตที่เหลวแหลก    สื่อมักดึงตัวให้เขาร่วมวิเคราะห์ความเป็นไปของราชวงศ์อังกฤษอยู่เสมอ    และเขาย่อมไม่พลาดออกมาแสดงความเห็นต่อสัมภาษณ์อื้อฉาวของเจ้าชายผู้เป็นทายาทของเจ้านายเก่าที่เคยมองว่าเขาเป็นคนทรยศนั่นเอง    อดีตคนสนิทของเจาหญิง Diana จะพูดถึงประเด็นนี้เช่นไร ?
Patrick Jephson   ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า  หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เคยเปิดขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน  ราชวงศ์ต้องพบกับความร้าวฉานและเรื่องราวเริ่มบานปลายใหญ่โตนั้น  แวดล้อมไปด้วยกลุ่มคนที่ก่อหวอดไม่พอใจ   และสถานการณ์ปัจจุบันนี้ก็ยังมีกลุ่มที่ไม่พอใจอีกหลายคน


" เราต้องทำความเข้าใจว่านี่คือความแตกแยกในครอบครัว ที่ต้องวนเวียนอยู่ท่ามกลางสือที่ตีข่าวให้อื้ฉาว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มีคนที่เจ็บปวดจากเรื่องนี้จริงๆ " เขาจึงคาดหวังว่าจะมีคนกลางที่สามารถช่วยเหลือให้สมาชิกครอบครัวได้ปรับความเข้าใจกัน และชี้ว่า เจ้าชาย Charles เป็นผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องความบาดหมางในครอบครัวที่ลุกลามบานปลายและแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น








ประเด็น mental health

จากการถอดเทปสัมภาษณ์  เจ้าหญิงเคยถูกกล่าวหาว่าเรียกร้องความสนใจด้วยการบีบน้ำตา     ผลที่ตามมาคือความพยายามทำร้ายตัวเองจริงๆ    ดังกรณีตกบันไดในขณะตั้งครรภ์ที่ถูกเปิดเผยว่า เกิดขึ้นเพราะความจงใจเพราะสวามีไม่รับฟังเธอ

เจ้าหญิงได้เล่าถึงปฏิกิริยาจากเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับรู้เรื่องโรคซึมเศร้าของเธอว่า อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นคนแรกในราชวงศ์ที่ป่วยเป็นโรคนี้ หรืออาจจะเป็นคนแรกที่ร้องไห้ฟูมฟายอย่างเปิดเผย ( ในจุดนี้น่าจะเป็นเทคนิคการใช้คำพูดนุ่มนวลเหน็บแนมอย่างเจ็บแสบ) นับเป็นเรื่องที่ท้าทายความรู้สึก เพระาหากไม่เคยเจอกับโรคซึมเศร้ามาก่อน จะช่วยเหลือเธอได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ที่ติดตัวเธอในการใช้ชีวิตในรั้ววังคือ "Diana ผู้มีอารมณ์แปรปรวน" และ "Diana ผู้ไม่ปกติ"

( คำพูดของเจ้าหญิงสอดคล้องกับบทละครที่ผู้สร้าง The Crown ได้ตีแผ่ออกมาจนฮือฮา)




เรื่องราวของราชวงศ์ 2- generation ไม่ได้เป็นเงาสะท้อนที่คล้ายคลึงไปหมดทุกอย่าง แต่ก็ทำให้ระลึกถึงเรื่องราวบางอย่างที่ย้ำเตือนถึงเรื่องราวในอดีตที่ทิ้งไว้แต่แผลใจร้าวลึกของหลายฝ่าย ข้อถกเถียงที่ว่า ใครคือมารร้ายตัวจริงนั้นคงไม่สำคัญเท่ากับการมองไปหนทางภายหน้าว่า พวกเค้าจะสามารถจะหาวิธีประนีประนอมเพื่อสงบศึกที่ถูกสายตาหลายล้านจับจ้องได้หรือไม่ ?



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE