Pride Month :คนดังที่ถูกยกย่องว่าเป็น Gay Icon

49 14

ก้าวสู่เดือนมิถุนายนในแต่ล่ะปี เราจะได้พบกับความคึกคักจากความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ถูกขนานามว่า Pride Month หรือเดือนแห่งการสร้าง awareness เพื่อส่งเสริมความภาคภูมิใจในกลุ่มชาวเพศทางเลือก และยังเรียกร้องให้ผู้คนร่วมต่อต้านการเลือกปฏิบัติเพียงเพราเพศที่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมและผลเสียอย่างใหญ่หลวงตามมา



ในอดีต ชาวเพศทางเลือกไม่ได้ไปมีโอกาสเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมและได้รับพื้นที่เพื่อแสดงตัวตนอย่างภาคภูมิใจ แต่ยังมีผู้มีชื่อเสียงทรงอิทธิพลอยู่กลุ่มหนึ่งในสังคมที่แสดงจุดยืนเพื่อสนับสนุนเหล่าเพศทางเลือกโดยไม่หวั่นว่า จะต้องเผชิญกับกระแสโจมตีหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง และยืนหยัดในความรักในเพื่อนมนุษย์ที่แม้จะแตกต่างกัน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข กลุ่มคนเหล่านี้ถูกยกให้เป็น Gay Icon ( หรือปัจจุบันได้ครอบคลุมไปยังเพศอื่นๆด้วย) เรามาพบกับความเป็นมาของชื่อเสียงอันเลื่องลือของพวกเค้ากันเลยค่ะ



  

"Diana"   เจ้าหญิงผู้เปลี่ยนโลก

จากเลดี้ตระกูลขุนนางที่มีความใกล้ชิดกับราชวงส์แห่งอังกฤษมาหลายชั่วคนกลายมาเป็นว่าที่ราชินี ในขณะที่มีชีวิตอยู่ เธอเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่เป็นที่กล่าวขวัญรวมถึงถูกติดตามถ่ายภาพมากที่สุด และสร้างชื่อเสียงจากงานการกุศลช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส แม้จะต้องผ่านมรสุมชีวิตอันหนักหน่วงและเปิดเผยความเปราะบางและด้านที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เธอก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย ผู้ที่ไม่ได้ติดตามเรื่องราวของเจ้าหญิง Diana ก็อาจจะคิดว่า เธอเป็นเชื้อพระวงศ์มี "จุดขาย" เหมือนกับนางงามที่ต้องนำเสนอด้านที่อ่อนโยนมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

แต่หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เธอเป็นที่รักไม่เสื่อมคลาย แม้จะจากโลกนี้ไปนานกว่าสองทศวรรษ คือการเปลี่ยนแปลงอคติต่อผู้ที่มีรสนิยมทางเพศแตกต่างด้วยการออก action ที่แน่วแน่ แม้มันจะถูกกล่าวหาว่าทำเรื่องที่ "ฉีกกรอบ" และ "ฉาวโฉ่" ผิดวิสัยเชื้อพระวงศ์ที่สูงส่งก็ตาม


ในยุคสมัยที่ผู้ป่วย HIV ถูกกีดกันจากสังคมด้วยความรังเกียจ เนื่องจากการพัฒนาตัวยารักษาในขณะนั้นยังไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษาชีวิตผู้ป่วยให้อยู่ได้ยืนยาวเหมือนในปัจจุบัน ประกอบกับการขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการป้องกันการติดต่อของโรค ชาวเกย์จะตกเป็นเป้าหมายโจมตีอย่างรุนแรง จากการนำเสนอข้อมูลตัวเลขว่า พวกเค้าคือกลุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคร้ายที่มีผู้เชื่อว่า เพียงสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายดายเพียงแค่สัมผัสตัวหรือใช้สิ่งของร่วมกัน แม้แต่ rock star ระดับโลกอย่าง Freddie Mercury ก็ต้องจบชีวิตลงด้วย Aids ( แม้ว่าเขาจะไม่ได้ come out อย่างเป็นทางการ) แต่เหตุผลเหล่านี้ก็ได้สร้างตราบาปให้กับชุมชนชาวเกย์จนถูกเหยียดหยามและได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม


เป็นที่ยอมรับกันว่า ภาพของเจ้าหญิงที่ได้รับความคาดหวังให้รับหน้าที่ของว่าที่ราชินีกับสหายเกย์คนดังนั้นได้ทำให้สังคมเริ่มหันมาเปลี่ยนมุมมองต่อกลุ่มคนที่มีรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง หนึ่งในผู้ที่เป็นยืนยันเรื่องนี้คือ Jeremy Norman เจ้าของSoho gym ที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเกย์ (รวมถึงตัวเขาเอง) ซึ่งเจ้าหญิงได้ติดต่อเพื่อร่วมใช้บริการด้วย เขาเล่าว่า เธอแสดงท่าทีที่ผ่อนคลายเมื่อมีผู้ที่เป็นเกย์อยู่รายรอบ แตกต่างจากคนทั่วไปที่มักจะดูอึดอัดหรือรังเกียจพวกเค้าอย่างโจ่งแจ้ง ส่วน Derek Frost สามีของ Jeremy Norman ที่เป็นนักเคลื่อนไหวในการช่วยเหลือผู้ป่วย HIVและAids ก็ยืนยันว่า เจ้าหญิงรักชาวเกย์ เธอรู้สึกเศร้าโศกที่พวกเค้าต้องพบกับชะตากรรมอันโหดร้ายจนต้องเสียชีวิตตั้งแต่ยังอายุน้อย และแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจ




ผู้ป่วย  HIV ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว หลายคนถูกทอดทิ้งไม่มีแม้แต่ครอบครัวเข้าเยี่ยมเพราะหวาดกลัวจะติดโรค  พวกเค้าเชื่อว่า พวกเค้าไม่มีโอกาสรอดชีวิต ได้แต่รอความตายอย่างทุกข์ทรมาน   และยังมีผู้ที่เข้าใจผิดว่า นี่คือโรคติดต่อกลุ่มชาวเกย์      เมื่อเจ้าหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกปรากฏตัวเพื่อเยี่ยมเยือนและแสดงความจริงใจด้วยการสัมผัสตัวผู้ป่วยโดยไม่ใส่ถุงมือ เธอกอด จับมือ และให้กำลังใจด้วยความพูดอันอ่อนโยน   และมันก็กลายเป็นข่าวพาดหัวเมื่อสื่อแสดงความตะลึงพรึงเพริดต่อการกระทำของเธอ     สังคมไม่ได้คาดหมายว่า เชื้อพระวงศ์ระดับสูงอย่างเจ้าหญิง Dianaจะให้ความสนับสนุนชุมชนชาวเกย์อย่างเต็มร้อยและมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงอคติของสังคมที่มีต่อผู้ป่วย HIV   แน่นอนว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายจากภาพประชาสัมพันธ์   เธอได้เดินหน้าโครงการที่ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ถูกสังคมตั้งข้อรังเกียจด้วยโครงการต่างๆ  ตราบถึงทุกวันนี้   สื่อหลายเจ้าได้ยกให้เธอเป็น "เจ้าหญิงผู้เปลี่ยนโลก"   ที่ทำให้ผู้คนหันมาศึกษาเรื่อง HIV ด้วยข้อมูลที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และทลายกำแพงที่เต็มไปด้วยอคติ
Sir Elton John ได้ร่วมรำลึกถึงเพื่อนผู้จากไปก่อนวัยอันควรว่า  เขานับถือเจ้าหญิงจากการทุ่มเทเพื่อแก้ไขปัญหาHIV

" โรคนี้ถูกมองว่าเป็นโรคของชาวเกย์ ในฐานะที่เธอเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นผู้หญิงตรงเพศซึ่งได้ห่วงใยในเพศอื่นนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน"

"เธอมีความสามารถอันน่าทึ่งที่ Harryได้รับถ่ายทอดมา นั่นคือการทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจและทำให้พวกเค้าเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี"








ดังที่ Elton John ได้แสดงความเห็นไว้    เจ้าชาย Harry ยินดีที่จะสืบต่อ legacy ของพระมารดา จากกรณีของนายทหารเกย์ที่ได้ร่วมปฎิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าชาย ระหว่างที่อยู่ในรถถังด้วยกัน เจ้าชายได้สังเกตว่า เขามีท่าทางทุกข์ใจจึงไต่ถามอย่างเป็นห่วง และเมื่อพบว่า เขาถูกเพื่อนทหารคนอื่นแสดงความรังเกียจเรื่องรสนิยมทางเพศ เจ้าชายรู้สึกแย่กับเรื่องนี้มาก และไม่ลังเลใจที่จะออกไปเคลียร์กับนายทหารเหล่านั้นให้ปฏิบัติกับเขาด้วยความเคารพในความเท่าเทียม

   รวมถึงเรื่องราวจากปาก Gareth Thomas   นักรักบี้เกย์ที่กลายมาเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ในอังกฤษด้วยการเปิดเผยว่าติดเชื้อ HIV     เขาได้กลายมาเป็นสหายของเจ้าชาย  Harry ที่สานต่อโครงการ HIV ของเจ้าหญิง Diana  หลังจากที่เจ้าชายได้ติดต่อพูดคุยเพื่อแสดงความสนับสนุนและเป็นกำลังใจและทำให้เขาสัมผัสถึงความห่วงใยที่จริงใจจากเจ้าชาย    ทำให้เขารู้สึกประทับใจในความมุ่งมั่นที่จะลบตราบาปเกี่ยวกับโรคนี้ 


สายรุ้งของ Judy Garland

มันอาจจะทำใจให้เชื่อได้ยากว่า ในประเทศพัฒนาแล้วอย่าง USA ในยุค90s ได้มีการจับกุมวัยรุ่นชายวัย 18ใน Idaho ที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายอีกคนจากจากความยินยอม และแม้อีกฝ่ายจะมีอายุ 16 อันเป็รวัยที่ยอมให้มีการร่วมประเวณีได้ แต่เขากลับถูกตั้งข้อกล่าวหา "ทำอาชญากรรมฝืนธรรมชาติ" และถูกจำคุกถึง 7 ปี แม้ในปี 2003 ศาลสูงจะมีคำสั่งยกเลิกกฎหมายนั้นไปแล้ว แต่เขาก็ยังถูกขึ้นทะเบียนเป็นอาชญากรทางเพศ ทำให้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ทั้งเรื่องการหางานและมีชีวิตคู่

ส่วนอังกฤษนั้น เรื่องรักร่วมเพศยังเป็นสิ่งผิดกฎหมายจนถึงยุค 60s นั่นหมายความว่า ในหลานทศวรรษที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ แต่ต้องพยายามหลบซ่อนปิดบังตัวตนไม่ให้ใครรู้ มิเช่นนั้นอาจจะถูกทางการลงโทษ

แต่ในยุคสมัยที่เกย์เป็นสิ่งต้องห้ามของสังคม มีศิลปินบันเทิงระดับโลกคนหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนล้นหลามจากชาวเกย์ เธอคือ Judy Garland performer ที่สร้างปรากฏการณ์มาตั้งแต่เป็นสาว 17

เพราะอะไรเธอจึงถูกเรียกว่าGay Icon ?



ภาพของสาวน้อย Dorothy ที่ครวญเพลง Somewhere Over the Rainbow ในหนัง The Wizard of Oz   ไม่เพียงแต่ทำให้ Judy โด่งดังอลังการจนกลายมาเป็น performer ที่เป็นที่ต้องการสูงลิบลิ่ว     ความสำเร็จล้นหลามที่ได้มากลับกลายมาเป็นดายสองคมที่ทำให้ชีวิตของเธอดิ่งลงไปจากสารพัดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นmental health   การใช้ยาแอมเฟตามีนและยาคลายกังวลเพื่อกระตุ้นร่างกายให้แบกรับตารางการทำงานที่แทบไม่ได้หยุดพักจนเสพติด*  ชีวิตส่วนตัวที่มักถูกกล่าวถึงในด้านที่อื้อฉาว (เธอแต่งงานห้าครั้ง)   ทุกสิ่งที่รุมเร้าเข้ามาเคยทำให้เธอคิดสั้น และจากโลกนี้ด้วยสาเหตุเสพยาเกินขนาดในวันเพียง 47 ปี

*มีรายงานว่าสตูดิโอMGM ได้จัดกายาแอมเฟตามีนให้กับเธอจนเริ่มเสพติดตั้งแต่ที่เล่นหนังหนัง The Wizard of Oz ซึ่งในยุคนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแหวกแนวในวงการบันเทิง เมื่อนายทุนบงการให้นักแสดงทำงานได้ยาวนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และช่วยให้รูปร่างดูผอมเพรียวไม่แพ้กับนางเอก Hollywood คนอื่นๆที่งามหยาดเยิ้ม



ในขณะที่เธอมีชื่อเสียงเรืองรองในฐานะศิลปินผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และขึ้นแสดงบนเวทีร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ก็เริ่มมีผู้สังเกตว่า แฟนกลุ่มใหญ่ของเธอเป็นชายรักร่วมเพศ Time Magazineได้วิจารณ์บรรยากาศในการแสดงดนตรีของเธอในปี1967 ไว้ว่า ในหมู่ผู้ชมของเธอเต็มไปด้วยผู้ที่มีท่าทางของพวกที่ชอบป่าไม้เดียวกัน พวกเค้าเป็นหนุ่มกางเกงฟิตเปรี๊ยะที่คอยใช้สายตากลิ้งกลอกไปมา และยังทึ้งผมกระโดดจากที่นั่งตัวลอยในขณะที่ชมการแสดงของเธอ

จิตแพทย์ Dr. Lawrence Hatterer วิเคราะห์สาเหตุที่ Judy กลายมาเป็นขวัญใจชาวเกย์ว่า ปูมชีวิตที่ต้องผ่านมรสุมมาอย่างหนักหน่วง และเป็นสิ่งที่ชาวเกย์รู้สึกเชื่อมโยงได้อย่างแนบแน่น

"Judyถูกปัญหาชีวิตรุมเร้า เมื่อต้องเตรียมพร้อมต่อสู้ก็ถูกบีบให้แสดงด้านที่เข้มแข็งมาดแมน เธอมีพลังที่เกย์ปรารถนา และพวกเค้าจึงแสดงออกมาด้วยการยึดเธอเป็นไอดอล"


ในยุคนั้น นักวิจารณ์ตามนิตยสารได้ดูหมิ่นแฟนๆชาวเกย์ของ Judy อย่างเปิดเผยโโยไร้การ call out หรือถือว่าเป็นเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนดังในปัจจุบัน นักเขียนชื่อดังอย่าง William Goldman ได้วิจารณ์ว่า Judy เผ่านเรื่องหนักหนาสาหัสมามาก ทั้งติดเหล้า ติดยาเสพติด หย่าร้างและปัญหาความสัมพันธ์กับชายหลายคน ชาวเกย์ต่างก็เข้าใจถึงความเจ็บปวดของเธอเป็นอย่างดี


ในยุคที่มีแนวคิดต้านเกย์อย่างรุนแรง    จะมีการใช้ code เพื่อแสดงตัวแบบให้รู้กันว่า  'Friends of Dorothy"   เพื่อหลบเลี่ยงการถูกผู้อื่นเล่นงาน  ส่วนตัว Judy ก็รับรู้ว่า เธอมีแฟนๆกลุ่มนี้คอยสนับสนุน   เมื่อได้รับคำถามว่า รู้สึกไม่ดีหรือไม่ที่กลายมาเป็นไอดอลของชาวเกย์  เธอก็ตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่ได้เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย เพราะเธอร้องเพลงสำหรับทุกๆคน   และยังเคยประกาศว่า

" ฉันวาดภาพไว้ว่า หากตายลงไปเมื่อใด ก็จะมีเหล่าเกย์มาร่วมร้องเพลง Over The Rainbow และที่ Fire Island* ก็จะลดธงครึ่งเสาไว้อาลัยให้ฉัน"

เมื่อมีผู้ว่าร้ายแฟนๆของเธอ   Judy  ที่ถูกมองว่าเป็นแกะดำของวงการก็ตอบโต้แทน

* Fire Island ตั้งอยู่ทางใต้ใน Long Island ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องชุมชนเพศทางเลือก
มีผู้ที่เชื่อว่า หนึ่งในแรงบันดาลใจของสัญลักษณ์ธงสายรุ้งของชาวเพศทางเลือกนั้นมาจากเพลง Over the Rainbow ซึ่งมีการตีความเนื้อเพลงว่าสื่อสารไปถึงกลุ่มผู้รักร่วมเพศที่สังคมไม่ยอมรับ       จากข้อสันนิษฐานที่ว่า เธอน่าจะเข้าใจความรู้สึกของเกย์เป็นอย่างดี  ดังข่าวเล่าลือเรื่องพ่อแท้ๆของเธอนั้นมีรสนิยมรักร่วมเพศ   หรือจะเป็น  Vincente Minnelli อดีตสามีที่มีการยืนยันจากหลายคนว่า เขาเคยใช้ชีวิตแบบเกย์ใน New York อย่างเปิดเผย แต่ต้องหันมาปิดบังเพราะต้องการรักษาชื่อเสียงผู้กำกับชื่อดังแห่ง Hollywood   รวมถึงเพื่อนฝูงชาวเกย์ และมีการใส่เรื่องราวของแฟนเกย์ของ Judy ในหนังอัตชีวประวัติของเธอที่ทำให้ Renee Zellweger   คว้าออสการ์อีกด้วย



Madonna ราชินีตลอดกาลของชาวเกย์

ถึงแม้ว่าใน Pose  ซีรีส์ Netflix ที่สร้างเสียงกล่าวขวัญด้วย themeเพศทางเลือกจะไม่มี Madonna เป็นหนึ่งในรายชื่อนักแสดง   แต่บทพูดของตัวละครที่แสดงความเทิดทูนก็ได้ชี้ชัดแล้วว่า เธอเป็นที่รักของชาวเกย์มากแค่ไหน

Pose ได้หยิบยกปรากฏการณ์เพลง Vogue ที่มีท่าเต้นอันเป็นสัญลักษณ์ของเกย์และทรานส์เชื้อสาย African และ Latino Madonna ได้นำวัฒนธรรม Harlem ballroom ให้มาสู่ mainstream ที่ทำให้แฟนๆทุกเพศทุกวัยหันมาคลั่งไคล้ถึงขนาดที่แห่จองคลาสเรียนเต้น


แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ Madonna ก้าวมาเป็นgay icon ตลอดกาล



เป็นที่ทราบกันดีว่า Madonna ให้ความสำคัญกับแฟนๆกลุ่มนี้มากจนได้ประกาศขัดเจนว่าเธอคงไม่ประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้หากไม่ใช่เพราะชุมชนชาวเกย์ เธอยังเคยออกโรงต่อต้านการเหยียดเกย์โดยไม่หวั่นเกรงกระแสต่อต้าน และเคยขัดคอ producer ที่แสดงท่าทีรับไม่ได้เมื่อเห็นภาพการกอดจูบพรอดรักของคู่ชาย-ชาย เธอยืนยันว่า ผู้ชายจูบกันควรจะเป็นเรื่องปกติ และการแสดงอคติของ producer รายนี้เป็นเรื่องที่เธอพยายามจะเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด



Madonna ได้เปิดเผยถึงความผูกพันกับชาวเกย์ตั้งแต่ยังเป็นสาววัยทีน ชีวิตในโรงเรียนของเธอนั้นค่อนข้างลำบากเพราะรู้สึกแปลกแยกออกไปจากคนอื่น แต่ได้พบกับเพื่อนๆที่เป็นเกย์ที่รู้สึกเห็นใจและยอมรับตัวตนของเธอ


"ฉันต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงไปทำไมน่ะเหรอ คงตอบยากพอๆกับการที่ต้องมาอธิบายว่าการอ่านหนังสือมีความสำคัญเช่นไรหรือเพราะอะไรเราจึงจำเป็นต้องมีความรัก ฉันเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นแกะดำ เข้ากับใครไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะฉันไม่โกนขนรักแร้หรอกนะ แต่ก็ไม่เข้าพวกไง OK มั้ย เกย์หนุ่มคนแรกที่ฉันได้รู้จักคือ Christopher Flynn เขาเป็นครูสอนเต้นบัลเลต์ตอนเรียนมัธยม และเขาคือคนแรกที่เชื่อมั่นในตัวฉัน เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความพิเศษในฐานะนักเต้นและศิลปินและความเป็นมมนุษย์ ฉัยรู้นะว่ามันฟังฉาบฉวยมองแต่เปลือกนอกไปบ้าง แต่เขาคือชายคนแรกที่บอกว่าฉันสวย"

ผ่านไปหลายปี Madonna ไม่ลืมเลือนว่า เพื่อนที่ทำให้เธอทำความรู้จักกับสังคมชาวเกย์และแนะนำให้เธอทำความความฝันที่จะเป็นดาวดังคือผู้ชายที่รักชายด้วยกัน  และนั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ผลักดันให้เธอกลายมาเป็นนักเคลื่อนไหวที่เรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมให้กับชุมชนเพศทางเลือกผ่านด้วยการใช้พลัง superstar เพื่อเปลี่ยนแปลงแนวคิดแบ่งแยกความเป็นมนุษย์เพียงเพราะเพศที่แตกต่างกัน



Madonna ต้องใจสลายเมื่อเพื่อนเกย์ของเธอต้องจบชีวิตลงจาก Aids และทำให้เธอออกมาเรียกร้องให้ผู้คนศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องโรคนี้ เธอเล่าถึงความเจ็บปวดจากวาระสุดท้ายของ Keith Haring เพื่อนศิลปินไว้ว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ Aids ถูกเรียกว่าเป็นมะเร็งเกย์ สิ่งที่ทำร้ายจิตใจเขามากที่สุดก็คือ เรื่องที่คนอื่นไม่ยอมแตะลูกบิดประตูที่เขาสัมผัส การกีดกันผู้ป่วยด้วยความรังเกียจทำให้เธอแทรกการ์ดที่มีข้อมูลอันเป็นจริงของสาเหตุการติดต่อของโรคนี้ในปกอัลบั้ม Like A Prayer และเดินหน้าในฐานะนักเคลื่อนไหวเพื่อต้านภัย Aids อย่างเต็มตัว แต่กลับมีคนปล่อยข่าวว่า เธอมีผลเลือดเป็นบวก ซึ่งเป็นหนึ่งในตราบาปจากสังคมในยุคนั้น เมื่อมีผู้ที่มองว่า คนที่ออกมาให้ความรู้เรื่อง Aidsและเรียกร้องให้สังคมยุคิการกีดกันและทอดทิ้งผู้ป่วยนั้นย่อมต้องเป็นผู้ติดเชื้อ




เธอส่งสารสนับสนุนชาวเกย์ผ่านผลงานดนตรีจนสามารถจัดหมวดหมู่ playlist ในหัวข้อ gay anthem

ดังบทเพลงMusic ที่เธอได้ร่วมแต่งเนื้อร้องไว้ว่า

"ดนตรีได้ทำให้ผู้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดนตรีทำให้มีทั้งผู้มีอันจะกินและพวกหัวขบถ มันเป็นสิ่งที่สามารถด้าวข้ามการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ, ชนชั้น, เพศและรสนิยมทางเพศ"

.

ทั้งผลงานดนตรีและการแสดงความสนับสนุนเรื่องเพศทางเลือกของ Madonna เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นวิธีสร้างกระแสด้วยความฉาวโฉ่   แต่เส้นทางของราชินีเพลง Pop ที่เปล่งประกายสีรุ้งระยิบระยับติดต่อกันหลายทศวรรษก็พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า  เธอเป็นสาวแกร่งตัวผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้  และจะสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกเพศไปอีกเนิ่นนาน


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE