ปกิณกะ By Say _ลับแล : เมืองแห่งนิยาย ตำนาน พงศาวดารหรือประวัติศาสตร์
gasei7ลับแลในปัจจุบันเป็นอำเภอใหญ่อำเภอหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ถูกจัดว่ามีฐานะทางเศรษฐกิจดี ประชาชนมีอาชีพ ทำนา ทำสวน ทำไร่ ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยลานนา (คนเมือง)เพราะใน 8 ตำบลของอำเภอลับแลเป็นชาวเมืองเหนือ 6 ตำบล คือ ตำบลฝายหลวง ตำบลแม่พูลตำบลนานกกก ตำบลชัยจุมพล ตำบลศรีพนมมาศและตำบลด่านแม่คำมัน มี 2 ตำบลเป็นชาวเมืองเก่าสุโขทัย คือ ตำบลทุ่งยั้งและตำบลไผ่ล้อม การแบ่งแยกดังกล่าวมีภาษาพูดและวิถีการดำเนินชีวิตเป็นเกณฑ์
นามเมืองลับแล
มีกล่าวกันมา (มุขปาฐะ) เป็น 2 นัย คือ นัยที่ 2 ตั้งแต่แรกเมืองลับแลไม่มีผู้คนอยู่เลยเป็นป่าดงดิบท่ามกลางหุบเขาใหญ่ล้อมรอบเต็มไปด้วยสัวต์ร้าย เสือ หมี ผีป่า ดุร้ายชุกชุมเต็มไปด้วยภัยร้ายนานาชนิด ต่อมามีชาวเหนือได้อพยพเข้ามาตั้งที่ทำมาหากินตั้งบ้านเรือนสภาพบ้านเรือนจึงถูกล้อมรอบด้วยขุนเขาลำเนาไพร ตอนเย็น ๆ แสงอาทิตย์ส่องเข้าถึงหมู่บ้านเพียงเล็กน้อยเพราะด้านตะวันตกมีภูเขาม่อนฤาษี (กั้นเขตกับ อ.ศรีสัชนาลัย สุโขทัย) จะบังไว้จึงเรียกว่าเมืองลับแลง คือ แสงแดดลับตอนเย็น (แลงง = ตอนเย็น) จุดอับแสงที่เป็นเหมือนแอ่ง คือ บ้านลับแลง(บ้านท้องลับแลในปัจจุบัน) จึงสรุปว่าเดิมชื่อ เมืองลับแล
นัยที่ 2 เป็นเรื่องมาจากศาสนาพุทธเล่ากันว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาที่ภูเขาด้านทิศใต้ประทับนั่ง (วัดพระแท่นศิลาอาสน์) ประทับนอน (วัดพระนอน) และประทับยืน (วัดพระยืนพุทธบาทยุคล) ทั้ง 3 จุดที่ประทับบนเขาเขตตำบลทุ่งยั้งในปัจจุบัน(เมืองกัมโภช) ขณะทรงประทับยืนได้ทรงหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือทรงทอดพระเนตรหนองน้ำใหญ่จนมีชื่อว่าหนองพระแลในปัจจุบัน และทรงแลไปไกล ๆ ก็เห็นป่าใหญ่รายล้อมรอบมีบ้านเรือนเห็นลับๆ แต่ไม่ชัดเจนในป่าจึงได้ชื่อว่าแลลับต่อมาได้เลื่อนคำเป็นลับแล ในสมัยต่อมาได้มีการกำหนดชื่อเป็น เมืองลับแล ตามนัยที่ 2 จนถึงปัจจุบัน
เมืองลับแลในนิยาย
เรื่องเล่าในนิยายต่อไปนี้จะเกี่ยวเนื่องถึงตำนาน เมืองแม่หม้าย เริ่มจาก ครั้งหนึ่งมีหนุ่มเมืองใต้ (เมืองทุ่งยั้ง) แอบเดินทางหลงป่าไปทางเหนือได้เห็นสาวสวยออกจากเมืองลับแลมาโดยซ่อนกุญแจไว้ ชายหนุ่มจึงแอบขโมยกุญแจไว้และใช้เล่ห์กล มนต์อุบาย เกี้ยวพาราสีจนสาวหลงเชื่อพาไปอยู่กินเป็นสามีในเมืองลับแล ชายหนุ่มได้เห็นความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของเมืองแต่มีแต่ผู้หญิงสาวสวยทั้งหมด ด้วยเหตุที่เมืองลับแลเป็นเมืองลี้ลับคนภายนอกไม่สามารถจะเข้าไปในเมืองได้ ชาวเมืองลับแลเป็นผู้ยึดมั่นในศีลธรรมผู้คนเคร่งครัดปฏิบัติธรรมเป็นนิจไม่มีการกล่าววาจาหรือกระทำโกหกหลอกลวงกัน ต่อมาชายหนุ่มกับสาวงามเมืองลับแลได้มีลูกด้วยกันหนึ่งคน วันหนึ่งผู้เป็นไปธุระนอกบ้านชายหนุ่มจึงอยู่กับลูก ลูกเกิดร้องไห้หาแม่ชายหนุ่มจึงพูดโกหกลูกว่า “แม่มาแล้ว” เพื่อให้ลูกหยุดร้องไห้ ชาวบ้านได้ยินคำโกหกของชายหนุ่มจึงขับไล่ชายหนุ่มผู้นั้นออกจากเมืองภรรยาซึ่งรักสามีก็ไม่อาจช่วยได้ และเกรงว่าสามีจะได้รับความลำบากจึงแอบเอาของสำคัญใส่ย่ามให้สามีโดยกำชับว่าเมื่อถึงบ้านให้เอาออกมาดูห้ามเอาออกมาดูระหว่างทาง เมื่อเดินทางพ้นเมืองลับแลชายหนุ่มจึงอยากรู้ว่าภรรยาเอาอะไรใส่ถุงให้เพราะหนักจึงเอาออกมาดูก็เห็นขมิ้นเต็มถุงย่ามจึงเอาออกขว้างทิ้งเกือบหมดเหลือตกค้างอยู่เพียงเล็กน้อย ครั้นกลับถึงบ้านจึงเล่าเรื่องราวเมืองลับแลให้เพื่อน ญาติพี่น้องฟังพร้อมกับยืนยันคำพูดด้วยการเอาขมิ้นติดถุงย่ามออกมาอวดปรากฏว่าขมิ้นนั้นเป็นทองคำ ด้วยความเสียดายจึงชวนพรรคพวก ญาติพี่น้อง ออกตามไปเก็บขมิ้นที่ขว้างทิ้งระหว่างทางแต่หาทางเก่าไม่พบและไม่เห็นทางเข้าเมืองลับแล ด้วยเหตุนี้เมืองลับแลจึงเป็นเมืองอาถรรพ์ที่ชายหนุ่มทั้งหลายหวังจะเข้าไปแต่ไม่มีใครเข้าไปได้อีกเลย เป็นแต่เล่าต่อๆกันมาเป็นนิยายปรัมปราจวบจนทุกวันนี้
จากนิยายมาเป็นตำนาน เมืองลับแล
ในสมัยก่อนเมืองลับแลเป็นป่าดงลึกที่มีภูเขาล้อมรอบเต็มไปด้วยสัตว์ป่าชุกชุม พวกพรานเนื้อผู้กล้าหาญและมีเวทมนต์คาถาจะเดินทางเข้าไปล่าสัตว์ป่าแต่ปรากฏว่านายพรานทุกคนที่เข้าไปในป่าเมืองลับแลจะไม่มีใครได้กลับออกมา จึงกล่าวขานกันว่าเพราะผีป่าจำแลงแปลงเพศเป็นสาวงามออกมาเกี้ยวพาราสีนายพราน ผู้หลงเดินทางเข้าดงลับแลก็จะนิมิตให้เป็นเมืองอย่างสวยงามมีผู้คนเป็นหญิงสาวล้วน ๆ พวกพรานหนุ่มก็พากันหลงกลมายาของพวกนางผีสาวจนตกเป็นอาหารกันหมดไม่มีผู้ใดรอดออกมาได้เลย ต่อมามีชายหนุ่มผู้ขมังเวทย์ชาวเมืองกัมโภช (ทุ่งยั้ง)จำนวน 3 คนชวนกันออกไปล่าสัตว์เดินทางแกะรอยสัตว์จนหลงเข้าใกล้ดงเมืองลับแลแดนผีดุร้ายจนถูกอำนาจมืดให้เข้าสู่นครสาวงาม เมื่อพบสาว ๆ หนุ่มทั้ง 3 คนก็หลงเกี้ยวพาราสีเมื่อถึงเวลาค่ำหนุ่ม 2 คนก็ถูกผีแม่กองกอยกินเป็นอาหาร บังเอิญหนุ่มอีก 1 คนโชคดีผีสาวตนหนึ่งได้หลอกพาเขาไปอยู่ในถ้ำและเอาเป็นสามีเมื่อถึงเวลาผีสาวกองกอยจะออกหากินก็จะเอาหินใหญ่ปิดปากถ้ำไว้ทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลา 2 ปีกว่าจนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน อยู่มาวันหนึ่งเมื่อนางผีสาวออกจากถ้ำแล้วปิดถ้ำไว้บังเอิญลูกเล่นอยู่ตรงปากถ้ำไปถูกก้อนหินทำให้ก้อนหินปิดปกาถ้ำหล่นลงปากถ้ำก็เปิดออก ชายหนุ่มก็วิ่งออกจากถ้ำไปผีอีกองกอยกลับมาจึงออกวิ่งตามชายหนุ่มจวนตัวจึงหลบลงที่หลุมมันเสา (หลุมหัวมันกินได้) เอาหัวมุดลงหลุมเอาก้นกระดกขึ้นข้างบนผีสาวตามมาทันก็เอามือจับก้นชายหนุ่มด้วยความตกใจและกลัวตายหนุ่มก็ผายลมออกมาเสียงดังปุด ๆ ผีสาวก็เอามือมาดมก็ได้กลิ่นเหม็นจึงอุทานว่า “ป้ออี่ฮอม***ต๋ายเสียแล้ว***จะไปเอาถุงม่าบ้าม่าขั่ง (ถุงย่าม) มาหื้อผัว***” เพราะหวังว่าสามีจะได้ไปสู่ที่เจริญมีกินมีอยู่ว่าแล้วผีสาวก็เอาถุงย่ามมาให้สามีแล้วกลับไปหาลูกสาวในถ้ำ ชายหนุ่มได้จังหวะก็ลุกขึ้นเอาถุงย่ามสะพายบ่าแล้วรีบเดินทางเพื่อกลับบ้านเมื่อถึงบ้านจึงดูของในถุงย่ามก็พบว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวเมืองลับแลให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องฟังทุกคนจึงลงความเห็นว่าเมืองลับแลเป็นเมืองผีกินคน เป็นเมืองแม่หม้าย เมืองมหัศจรรย์ ต่อ ๆ กันมา
จากข้อมูลแห่งตำนาน สภาพต่อมาปรากฏว่าผุ้คนเมืองลับแลจะมีผู้เฒ่าผู้แก่เป็นหญิงมากกว่าชายและเป็นหญิงหม้ายเพราะสามีจะเสียชีวิตหมด (ผู้ชายเมืองลับแลจะอายุไม่ยืน) จะสังเกตได้ว่าจนถึงปัจจุบันในวันพระจะมีผู้สูงอายุเป็นหญิงไปทำบุญที่วัดมากกว่าชาย (ประมาณร้อยละ 80 เป็นผู้หญิง) ซึ่งจะมีสาเหตุอื่นประกอบก็เป็นได้จึงทำให้ผู้หญิงมีอายุยืนมากกว่าผู้ชายคงต้องรอการศึกษาต่อไป
ที่มา: Mabus the Exodus Guilty ซึ่งได้บทความมาจาก http://members.thai.net/myth/main.htm
นามเมืองลับแล
มีกล่าวกันมา (มุขปาฐะ) เป็น 2 นัย คือ นัยที่ 2 ตั้งแต่แรกเมืองลับแลไม่มีผู้คนอยู่เลยเป็นป่าดงดิบท่ามกลางหุบเขาใหญ่ล้อมรอบเต็มไปด้วยสัวต์ร้าย เสือ หมี ผีป่า ดุร้ายชุกชุมเต็มไปด้วยภัยร้ายนานาชนิด ต่อมามีชาวเหนือได้อพยพเข้ามาตั้งที่ทำมาหากินตั้งบ้านเรือนสภาพบ้านเรือนจึงถูกล้อมรอบด้วยขุนเขาลำเนาไพร ตอนเย็น ๆ แสงอาทิตย์ส่องเข้าถึงหมู่บ้านเพียงเล็กน้อยเพราะด้านตะวันตกมีภูเขาม่อนฤาษี (กั้นเขตกับ อ.ศรีสัชนาลัย สุโขทัย) จะบังไว้จึงเรียกว่าเมืองลับแลง คือ แสงแดดลับตอนเย็น (แลงง = ตอนเย็น) จุดอับแสงที่เป็นเหมือนแอ่ง คือ บ้านลับแลง(บ้านท้องลับแลในปัจจุบัน) จึงสรุปว่าเดิมชื่อ เมืองลับแล
นัยที่ 2 เป็นเรื่องมาจากศาสนาพุทธเล่ากันว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาที่ภูเขาด้านทิศใต้ประทับนั่ง (วัดพระแท่นศิลาอาสน์) ประทับนอน (วัดพระนอน) และประทับยืน (วัดพระยืนพุทธบาทยุคล) ทั้ง 3 จุดที่ประทับบนเขาเขตตำบลทุ่งยั้งในปัจจุบัน(เมืองกัมโภช) ขณะทรงประทับยืนได้ทรงหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือทรงทอดพระเนตรหนองน้ำใหญ่จนมีชื่อว่าหนองพระแลในปัจจุบัน และทรงแลไปไกล ๆ ก็เห็นป่าใหญ่รายล้อมรอบมีบ้านเรือนเห็นลับๆ แต่ไม่ชัดเจนในป่าจึงได้ชื่อว่าแลลับต่อมาได้เลื่อนคำเป็นลับแล ในสมัยต่อมาได้มีการกำหนดชื่อเป็น เมืองลับแล ตามนัยที่ 2 จนถึงปัจจุบัน
เมืองลับแลในนิยาย
เรื่องเล่าในนิยายต่อไปนี้จะเกี่ยวเนื่องถึงตำนาน เมืองแม่หม้าย เริ่มจาก ครั้งหนึ่งมีหนุ่มเมืองใต้ (เมืองทุ่งยั้ง) แอบเดินทางหลงป่าไปทางเหนือได้เห็นสาวสวยออกจากเมืองลับแลมาโดยซ่อนกุญแจไว้ ชายหนุ่มจึงแอบขโมยกุญแจไว้และใช้เล่ห์กล มนต์อุบาย เกี้ยวพาราสีจนสาวหลงเชื่อพาไปอยู่กินเป็นสามีในเมืองลับแล ชายหนุ่มได้เห็นความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของเมืองแต่มีแต่ผู้หญิงสาวสวยทั้งหมด ด้วยเหตุที่เมืองลับแลเป็นเมืองลี้ลับคนภายนอกไม่สามารถจะเข้าไปในเมืองได้ ชาวเมืองลับแลเป็นผู้ยึดมั่นในศีลธรรมผู้คนเคร่งครัดปฏิบัติธรรมเป็นนิจไม่มีการกล่าววาจาหรือกระทำโกหกหลอกลวงกัน ต่อมาชายหนุ่มกับสาวงามเมืองลับแลได้มีลูกด้วยกันหนึ่งคน วันหนึ่งผู้เป็นไปธุระนอกบ้านชายหนุ่มจึงอยู่กับลูก ลูกเกิดร้องไห้หาแม่ชายหนุ่มจึงพูดโกหกลูกว่า “แม่มาแล้ว” เพื่อให้ลูกหยุดร้องไห้ ชาวบ้านได้ยินคำโกหกของชายหนุ่มจึงขับไล่ชายหนุ่มผู้นั้นออกจากเมืองภรรยาซึ่งรักสามีก็ไม่อาจช่วยได้ และเกรงว่าสามีจะได้รับความลำบากจึงแอบเอาของสำคัญใส่ย่ามให้สามีโดยกำชับว่าเมื่อถึงบ้านให้เอาออกมาดูห้ามเอาออกมาดูระหว่างทาง เมื่อเดินทางพ้นเมืองลับแลชายหนุ่มจึงอยากรู้ว่าภรรยาเอาอะไรใส่ถุงให้เพราะหนักจึงเอาออกมาดูก็เห็นขมิ้นเต็มถุงย่ามจึงเอาออกขว้างทิ้งเกือบหมดเหลือตกค้างอยู่เพียงเล็กน้อย ครั้นกลับถึงบ้านจึงเล่าเรื่องราวเมืองลับแลให้เพื่อน ญาติพี่น้องฟังพร้อมกับยืนยันคำพูดด้วยการเอาขมิ้นติดถุงย่ามออกมาอวดปรากฏว่าขมิ้นนั้นเป็นทองคำ ด้วยความเสียดายจึงชวนพรรคพวก ญาติพี่น้อง ออกตามไปเก็บขมิ้นที่ขว้างทิ้งระหว่างทางแต่หาทางเก่าไม่พบและไม่เห็นทางเข้าเมืองลับแล ด้วยเหตุนี้เมืองลับแลจึงเป็นเมืองอาถรรพ์ที่ชายหนุ่มทั้งหลายหวังจะเข้าไปแต่ไม่มีใครเข้าไปได้อีกเลย เป็นแต่เล่าต่อๆกันมาเป็นนิยายปรัมปราจวบจนทุกวันนี้
จากนิยายมาเป็นตำนาน เมืองลับแล
ในสมัยก่อนเมืองลับแลเป็นป่าดงลึกที่มีภูเขาล้อมรอบเต็มไปด้วยสัตว์ป่าชุกชุม พวกพรานเนื้อผู้กล้าหาญและมีเวทมนต์คาถาจะเดินทางเข้าไปล่าสัตว์ป่าแต่ปรากฏว่านายพรานทุกคนที่เข้าไปในป่าเมืองลับแลจะไม่มีใครได้กลับออกมา จึงกล่าวขานกันว่าเพราะผีป่าจำแลงแปลงเพศเป็นสาวงามออกมาเกี้ยวพาราสีนายพราน ผู้หลงเดินทางเข้าดงลับแลก็จะนิมิตให้เป็นเมืองอย่างสวยงามมีผู้คนเป็นหญิงสาวล้วน ๆ พวกพรานหนุ่มก็พากันหลงกลมายาของพวกนางผีสาวจนตกเป็นอาหารกันหมดไม่มีผู้ใดรอดออกมาได้เลย ต่อมามีชายหนุ่มผู้ขมังเวทย์ชาวเมืองกัมโภช (ทุ่งยั้ง)จำนวน 3 คนชวนกันออกไปล่าสัตว์เดินทางแกะรอยสัตว์จนหลงเข้าใกล้ดงเมืองลับแลแดนผีดุร้ายจนถูกอำนาจมืดให้เข้าสู่นครสาวงาม เมื่อพบสาว ๆ หนุ่มทั้ง 3 คนก็หลงเกี้ยวพาราสีเมื่อถึงเวลาค่ำหนุ่ม 2 คนก็ถูกผีแม่กองกอยกินเป็นอาหาร บังเอิญหนุ่มอีก 1 คนโชคดีผีสาวตนหนึ่งได้หลอกพาเขาไปอยู่ในถ้ำและเอาเป็นสามีเมื่อถึงเวลาผีสาวกองกอยจะออกหากินก็จะเอาหินใหญ่ปิดปากถ้ำไว้ทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลา 2 ปีกว่าจนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน อยู่มาวันหนึ่งเมื่อนางผีสาวออกจากถ้ำแล้วปิดถ้ำไว้บังเอิญลูกเล่นอยู่ตรงปากถ้ำไปถูกก้อนหินทำให้ก้อนหินปิดปกาถ้ำหล่นลงปากถ้ำก็เปิดออก ชายหนุ่มก็วิ่งออกจากถ้ำไปผีอีกองกอยกลับมาจึงออกวิ่งตามชายหนุ่มจวนตัวจึงหลบลงที่หลุมมันเสา (หลุมหัวมันกินได้) เอาหัวมุดลงหลุมเอาก้นกระดกขึ้นข้างบนผีสาวตามมาทันก็เอามือจับก้นชายหนุ่มด้วยความตกใจและกลัวตายหนุ่มก็ผายลมออกมาเสียงดังปุด ๆ ผีสาวก็เอามือมาดมก็ได้กลิ่นเหม็นจึงอุทานว่า “ป้ออี่ฮอม***ต๋ายเสียแล้ว***จะไปเอาถุงม่าบ้าม่าขั่ง (ถุงย่าม) มาหื้อผัว***” เพราะหวังว่าสามีจะได้ไปสู่ที่เจริญมีกินมีอยู่ว่าแล้วผีสาวก็เอาถุงย่ามมาให้สามีแล้วกลับไปหาลูกสาวในถ้ำ ชายหนุ่มได้จังหวะก็ลุกขึ้นเอาถุงย่ามสะพายบ่าแล้วรีบเดินทางเพื่อกลับบ้านเมื่อถึงบ้านจึงดูของในถุงย่ามก็พบว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวเมืองลับแลให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องฟังทุกคนจึงลงความเห็นว่าเมืองลับแลเป็นเมืองผีกินคน เป็นเมืองแม่หม้าย เมืองมหัศจรรย์ ต่อ ๆ กันมา
จากข้อมูลแห่งตำนาน สภาพต่อมาปรากฏว่าผุ้คนเมืองลับแลจะมีผู้เฒ่าผู้แก่เป็นหญิงมากกว่าชายและเป็นหญิงหม้ายเพราะสามีจะเสียชีวิตหมด (ผู้ชายเมืองลับแลจะอายุไม่ยืน) จะสังเกตได้ว่าจนถึงปัจจุบันในวันพระจะมีผู้สูงอายุเป็นหญิงไปทำบุญที่วัดมากกว่าชาย (ประมาณร้อยละ 80 เป็นผู้หญิง) ซึ่งจะมีสาเหตุอื่นประกอบก็เป็นได้จึงทำให้ผู้หญิงมีอายุยืนมากกว่าผู้ชายคงต้องรอการศึกษาต่อไป
ที่มา: Mabus the Exodus Guilty ซึ่งได้บทความมาจาก http://members.thai.net/myth/main.htm
Discussion (7)