เมื่อฉันทำตามฝัน...พาพ่อกับแม่เยือนต่างแดน Singapore Family Trip^_^
joychan 53 18
ไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากทริปญี่ปุ่น 12 วันเมื่อเดือนเมษายน ปี 2019 เราเลยตัดสินใจเตรียมทริปเซอไพรส์พ่อกับเเม่ โดยการพาไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งประเทศแรกที่จะพาไปคือ....สิงคโปร์....ซึ่งเรามีน้าที่ไปมีครอบครัวที่นั้นแม่จะได้ไปเยี่ยมน้าด้วย
......เริ่มเรื่องเลย เราพาทั้งคู่ไปทำพาสปอร์ตที่อุดรธานี ครอบครัวเราไปเที่ยวแบบจริงจังแค่ปีละครั้ง เราทำงานประจำส่วนพ่อแม่ทำสวนผลไม้ นั่นแหล่ะเหตุผลเลย ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกันหรอก แต่การไปเที่ยวต่างประเทศเป็นความฝันเราเลยนะ การได้ไปเจออะไรใหม่ๆ วัฒนธรรมที่เราไม่คุ้นเคย มันสร้างความตื่นตาตื่นใจในชีวิตเราดี พ่อแม่เราก็ทำงานมาทั้งชีวิต (ทั้งชีวิตเราเลยล่ะ) เราจึงมีความฝันที่อยากพาเขาทั้งคู่ไปเที่ยว
......เริ่มเรื่องเลย เราพาทั้งคู่ไปทำพาสปอร์ตที่อุดรธานี ครอบครัวเราไปเที่ยวแบบจริงจังแค่ปีละครั้ง เราทำงานประจำส่วนพ่อแม่ทำสวนผลไม้ นั่นแหล่ะเหตุผลเลย ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกันหรอก แต่การไปเที่ยวต่างประเทศเป็นความฝันเราเลยนะ การได้ไปเจออะไรใหม่ๆ วัฒนธรรมที่เราไม่คุ้นเคย มันสร้างความตื่นตาตื่นใจในชีวิตเราดี พ่อแม่เราก็ทำงานมาทั้งชีวิต (ทั้งชีวิตเราเลยล่ะ) เราจึงมีความฝันที่อยากพาเขาทั้งคู่ไปเที่ยว
การไปต่างประเทศของคนอายุ 50 กะ 58 ครั้งแรก ค่อนข้างตื่นเต้นนะ (เราเองที่ตื่นเต้นมากกว่า) เริ่มจากการซื้อตั๋ว ทริปนี้ไม่ได้มีแค่เราด้วยซิ มีครอบครัวของลุง อีก 3 คน น้าอีก 3 คน รวมๆทริปนี้ 9 ชีวิตไปเลยจ้าาาาา หัวหน้ากรุ๊ปทัวร์เตรียมปวดหัวเลย ฮาๆ ทุกคนดุตื่นเต้นกับการเดินทางนะ เราจำได้ซื้อตั๋วไว้นานมาก ก่อนวันที่จะบินจากบ้านมาขึ้นเครื่องที่กรุงเทพฯ เพิ่งจะปริ้นส์ตั๋วจากเวบ แม่เจ้าาาาา ทุกคนเราซื้อตั๋วซ้ำมา 1 ใบ คืองี้ เราต้องจอง 9 ใบใช่ไหม ทีนี้ชื่อแม่เรากับชื่อน้าผู้หญิงอีกคนคล้ายกันมาก รีบจองไง กดชื่อซ้ำจ้า แล้วที่พังไปกว่านั้น ตั๋วเเม่เราไม่มีค่ะทุกคน.....แง้ๆๆๆๆ กระวนกระวายสุดๆเชื่อไหม เรายังไม่ได้เก็บเสื้อผ้า เพราะเมื่อวานเพิ่งเคลียร์งานเสร็จ เสื้อผ้ายังไม่ได้เก็บ แฟช่งแฟชั่นพักก่อน ไม่ทันแล้ว จากนั้นเรารีบกดซื้อตั๋วใหม่เลย ดีนะที่เครื่องที่บินวันนั้นมีที่ว่างพอดี ไม่งั้นล่ะก็ แม่ได้บินตามไป (ซึ่งก็ลำบากไปอีกกก) เดชะบุญจองตั๋วได้ บวกไปอีก 7 พันกว่าทุกคน (ตังค์ชอปปิงช้านนน) เฮ้อ! ทำไงได้ล่ะ สะเพร่ามากเราตอนนั้น คิอดว่าตัวเองทำดีแล้ว จองที่พัก จองตั๋วไป-กลับจากบ้านไป กทม. จองไป-กลับ กทม.-สิงคโปร์ เราจองไป 4 เที่ยวบิน 9 คนเลย งงๆหน่อย นั่นล่ะ เล่าตอนนี้เรายังเหนื่อยเเทนตัวเองตอนนั้นเลย (ดีนะเเม่ไม่รู้)
ก่อนเดินทาง.....เราต้องพาคณะทัวร์ของเราบินจากเลย-กทม แล้วค่อยต่อเครื่องไปที่สิงคโปร์ ผ่านไปได้แบบฉลุย ผ่านทุกขั้นตอน เราไปติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วบางส่วนจากสายการบินเนื่องจากการจองผิด อย่าให้เม้าเลย เอกสารเยอะมากแถมใช้เวลานานจนไม่มีเวลาที่จะเคลียร์ก่อนขึ้นเครื่อง ซึ่งอันนี้ถ้าใครเคยมีปัญหาแบบจองชื่อซ้ำเเล้วอยากขอคืนเงิน สอบถามมาได้ (ผลสุดม้ายเราส่งเอกสารทุกอย่าง สายการบินเงียบกริบ จนเราท้อไม่ดำเนินการต่อ คือขั้นต่อไปต้องฟ้อง สคบ.อย่างเดียวเลย) แล้วเเล้วทุกคนนนน....เราได้พา 9 ชีวิตมาถึงสิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว ตอนเวลาเกือบ 3 ทุ่มที่สิงคโปร์ ไปจ๊ะ...ไปต่อกัน
ถึงที่สนามชางงี คือแบบบ มันสวย อลังการมาก น้าและหลานสาวเรามารอรับที่สนามบินจากนั้นพาทุกคน (ที่ตื่นเต้นบวกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คือบินตั้งแต่ 9 โมมงเช้าที่ไทย รอขึ้นเครื่องกว่าจะถึงก็ 3 ทุ่มที่สิงคโปร์ ) หาข้าวกินแล้วก็ไปดูน้ำตกที่ห้าง Jewel คือมันสวยมาก ทุกคนชอบมากแม้จะอยากอาบน้ำนอนมากก็ตามที ซดบะหมี่ไปคนละชาม
เราจองที่พักแบบ Hostel ค่ะนอนเตียง 2 ชั้นไปเลย (ขอโทษนะทุกคน ทริปเราตอนแรกจะมากันสามคนพ่อแม่ลูกแบบตะลอนทัวร์ เลยได้ที่พักแบบเข้าค่ายซะอย่างงั้น ) ถือว่าพาทุกคนมาเปิดประสบการณ์เข้าค่ายพักแรมล่ะกัน ตื่นเช้ามากินอะไรง่ายๆที่ Hostel จัดไว้ให้ ก็ออกเดินไปที่แรกเป็นที่ที่ที่เราอยากไปมาก คือ Fort Canning Park มันเป็นทางขึ้นของรถไฟใต้ดินซึ่งมอจากข้างล่างจะเหมือนอุโมงค์ต้นไม้ขนาดใหญ๋ ซึงที่นี่น้าเราก็ไม่เคยมานะ เค้าบอกว่าส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะรู้จักที่เที่ยวมากกว่าคนท้องถิ่นอีก กว่าจะถึงก็พาทุกคนเดินหลงทางเกือบ 2 กิโล แบบว่า เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน ถ้าออกจากรถไฟฟ้าเดินออกจากห้าง (ที่เราจำชื่อไม่ได้) แล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปไม่ถึง 200 เมตร เเต่เลี้ยวผิดค่ะ หลงทางไป-กลับเกือบ 2 กิโล บวกกับอากาศร้อนๆอับๆ เรียกได้ว่าพอไปถึงทุกคนคือบั่บ......นี่พาชั้นมาดูอารายยยยยยย
ก่อนจะไปฟอร์ทแคนนิง เราเดินผ่านถนนฮาจิเลนก่อนนะ แต่มันเช้ามากร้านต่างๆยังไม่เปิดขายเลย อารมณ์อาหรับหน่อยๆมีความแนวๆ พ่อแม่ก็ได้แต่เดินดูอ่ะ แปลกตาดี
ทริปนี้คือ เดิน เดิน เดินค่ะทุกคน เรานั่งรถไฟฟ้า (รีวิวนี้บางส่ววนเกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน พวกบัตรต่างๆที่นี่เค้ใช้บัตรเดียวเลย เราซื้อที่สนามบิน แล้วก็เติมเงิน) เดินมาถึงตรง เมอไลอ้อน ที่จะมองเห็นวิวของมาริน่าเบย์แซน สวยมากๆถ่ายรูปกันใหญ่ หายเหนื่อยเลย เอ้าเดินต่อเลยถ้างั้น เดินเล่น นั่งเลานเเถวนั้นจนค่ำ เลยพากันไปชมไฟที่ต้นไม้ยักษ์ สวยจริงๆอยากนั่งดูนานๆเลย
วันที่สาม เราไปที่ห้างมาริน่าเบย์ (ชื่อนี้ไหมนะ) ที่มีเรือยักษ์อยู่ข้างบน จากนั้นเดินทะลุออกมาก็จะเห็นวิวต้นไม้ยักษ์ที่สวยมากๆ สิ่งก่อสร้างประเทศเค้าสวยจริงๆ จากนั้นเราจะเข้าชม Flower Dome กันค่ะ เดินชมพันธ์ไม้อยู่ในโดมยักษ์เย็นสบาย ข้างนอกร้อนมากๆ อยู่ในนั้นเย็นสบายสุดๆพันธุ์ไม้สวยๆแปลกตาเยอะ เหมือนที่ไทยก็มี
ที่จริงเป็นคนที่ชอบไปคาเฟ่มากค่ะ แต่มากับคนเยอะมีเด็กห้าขวบด้วย ทำให้ทริปนี้นั่งคาเฟ่ไปแค่ 1 ร้าน ร้านนี้เปิด 24 ชม. กลางวันขายกาแฟ กลางคืนมีเบียร์ค่ะ
วันที่ 4 วันนี้เที่ยวเป็นวันสุดท้ายค่ะ เรานั่งรถไฟฟ้าไปที่ย่าน ไชน่าทาวน์ ไปวัดพระเขี้ยวแก้ว ขอพรสักหน่อย แถวๆวัดมีร้านขายไอติมที่หุ้มด้วยขนมปัง ถ้ามาก็ต้องกินค่ะเหมือนที่รถขายไอติมที่ไทยเลยค่ะ ก่อนจะไปต่อพาทุกคนไปกินข้าวมันไก่สิงึโปร์เจ้าดังค่ะ ต่อคิวนานเหมือนกัน กินไก่ไปครอบครัวละ ครึ่งตัวอร่อยดีเหมือนกัน แต่น้ำจิ้มไม่เผ็ดเท่าบ้านเรา
จากนั้นไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปยูนิเวอร์แซล สวนสนุกที่มีลูกโลใหญ่ๆ แต่เราไม่ได้ไปเล่นอะไรนะ แค่พาครอบครัวไปเดินเล่น แล้วก็ไปต่อที่เซนโตซ่าดูสิงโตยักษ์ค่ะ
ถ่ายรูปกันไม่หยุดเลยค่ะ
วันที่ 5 ต้องบินกลับไทยล่ะค่ะ เที่ยวบิน 9 โมงเช้า กว่าจะเข้าไปเกตก็เหลือเวลาเดินชอปปิงแค่ 30 นาทีเองค่ะ อยากชอปปปปป (แต่เงินหมดตั้งแต่ซื้อตั๋วใหม่ไปแล้วค่ะ เศร้าเลย) เป็น 5 วัน ที่คุ้มค่าที่ได้ทำตามความฝัน พ่อแม่ได้มาเยี่ยมน้าซึ่งนานๆจะเจอกันค่ะ มาดูมาชมบ้านเมืองที่มีความเจริญ อะไรก็ดูตื่นตาตื่นใจไปหมด ถึงแม้จะเป็นทริปเล็กๆสั้นๆแต่มันอิ่มใจมากค่ะ เราคิดว่าประเทศต่อไปที่จะพาไปอีกคือญี่ปุ่นค่ะ ปีหน้า แต่ดันมีเจ้าโควิดมาซะก่อน แม่เรางี้เสียดายเลย อยากไปเที่ยวอีกว่ายังงั้น สาธุ....ขอให้โควิดหายไปไวไวค่ะ
ภาพสวยๆเก็บมาฝากค่ะ
ชอบต้นไม้ยักษ์มากๆถ้ามาต้องขึ้นไปเดินเที่ยวชมค่ะ
เหนื่อยๆยิ้มๆนี่แหล่ะวิถีนักท่องเที่ยว
หมดแล้ว ทริปตามฝันของเรา ฝากขนมที่ฝึกทำค่ะเหมือนคุ๊กกี้ใส่สับปะรด รู้สึกอยากเดินทางแล้ว คิดถึงการเดินทาง หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับทริปของเรานะคะ