วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษให้fluentแบบเซเลบเกาหลี

44 10
สำหรับชาวเอเชียนจำนวนมากมาย  การพูดภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องถูกมองเป็นเรื่องชวนอึดอัดหรือบั่นทอนความมั่นใจเมื่อต้องติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะเจ้าของภาษา      ด้วยภูมิภาคที่ห่างไกลออกมา ไม่ได้ใช้ภาษาที่มาจากรากเดียวกันเหมือนกับชาวยุโรปหลายประเทศ   การสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อถ่ายทอดความคิดได้เป๊ะทั้งทางไวยากรณ์และระบบการออกเสียงจึงเป็นดูเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญ จนต้องยอมแพ้



หลายคนคงคุ้นเคยกับฉากพระเอก-นางเอกซีรีส์โชว์ทักษะในการพูดภาษาอังกฤษแบบพ่นไฟสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม หรือจะเป็นเหล่าไอดอลรัวท่อนแร็พภาษาอังกฤษแบบเจ้าของภาษา ซึ่งมาจาก background แบบสองเชื้อชาติและการศึกษาที่ต่างประเทศ

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวเกาหลีใต้ยังสร้างคาดหวังให้คนดังแสดงทักษะการพูดภาษาอังกฤษให้เหนือกว่าระดับมาตรฐาน แม้ว่าจะใช้ชีวิตในประเทศ ไม่ได้มีโพรไพล์แบบimport ถึงขนาดจัดกลุ่มคนดังที่ออกเสียงภาษาอังกฤษได้ดี หรือที่คนเกาหลีเรียกว่าอยู่ในกลุ่ม Diction (딕션) ที่ดี ส่วนผู้ที่ออกเสียงได้ไม่เป๊ะพอจะถูกกดให้อยู่ในกลุ่มDictionแย่ ดาราจำนวนไม่น้อยต้องพบกับความอับอายเมื่อชาวเน็ทเปิดประเด็นโจมตีเรื่องสำเนียงที่ไม่ชัดเจนห่างไกลเจ้าของภาษา โดยเฉพาะเมื่อพวกเค้าต้องแสดงเป็นชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตหรือจบการศึกษาจากประเทศตะวันตกได้ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมาว่าเป็นการพูดที่ดู forcedเกินไป ไม่ไหลลื่น เข้าใจได้ยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในหลายประเทศ non-native English-speaking     แต่แรงกดดันจากคำพูดเยาะเย้ยเหล่านี้  อาจจะกลายมาเป็นแรงผลักดันให้คนดังได้ฝึกฝนจนสามารถติดต่อสื่สารภาษาที่ 2 ได้อย่างคล่องแคล่ว ไร้จุดสะดุด



อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนกอบโกยความสำเร็จในหลายประเทศ การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษให้คล่องแคล่วจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวเหล่าคนดังแดนกิมจิ แต่มันกลายมาเป็นข้อได้เปรียบในการเชื่อมต่อกับแฟนๆทั่วโลก และเป็นประตูโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงในระดับ Hollywood รวมไปถึงการทำหน้าที่ brand ambassador จากfashion brand ชั้นนำ




คนดังเกาหลีสามารถก้าวข้ามความท้าทายเรื่องสำเนียงและความเคยชินจนสามารถพูดภาษาอังกฤษระดับ fluent ได้อย่างไร  มาติดตามกันได้เลยค่ะ


แบ ดูนา : พยายามสร้าวความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุด




นางเอกเกาหลีผู้นี้เดบิวท์ใน Hollywood ในขณะที่ความสามารถในการติดต่อสื่อสารภาษาอังกฤษของเธอยังมีข้อจำกัด เธอบินไปที่อเมริกาเองโดยไร้ผู้จัดการหรือเอเจนซี่ที่ต่างประเทศ แต่ความสามารถที่เข้าตาฝ่าย casting ทำให้เธอยิ่งทุ่มเทเต็มที่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง เธอประสานงานข้อตกลงสัญญาทุกอย่างกับ producer เป็นภาษาอังกฤษ และเพื่อจะเรียนรู้ให้ได้เร็วที่สุด เธอเลือกที่จะไม่ใช้ล่ามในกองถ่าย และพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการด้วยตัวเอง

สำหรับการออกเสียงนั้น เป็นเรื่องยากเย็นเพิ่มขึ้นมาอีก level ที่เธอไม่อาจจะฝึกด้วยตัวเอง นั่นเป็นเพราะว่า ผู้กำกับต้องการให้เธอพูดสำเนียงอังกฤษผสมผสานกับสำเนียงเกาหลี จึงต้องใช้ตัวช่วยอย่าง dialogue coach ซึ่งเป็นมาตรฐานปกติของ Hollywood แต่ก่อนหน้านั้น เธอได้บินไปที่ประเทศอังกฤษเพื่อสร้างความคุ้นเคยและซึมซับภาษาอังกฤษแบบต้นฉบับที่ต้องพยายามเลียนแบบสำเนียงให้ได้มากที่สุด



"ฉันไม่เคยนึกถึงการพยายามคว้าบทหนัง Hollywoodมาก่อน ถ้ารู้ว่าฉันทำได้ ฉันคงเรียนภาษาอังกฤษให้เร็วกว่านี้ แต่ฉันเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้"


"ฉันเคยกลัวที่จะต้องพูดภาษาอังกฤษค่ะ ฉันกังวลเรื่องความเห็นของคนอื่นและไม่แน่ใจว่าตัวเองจะออกเสียงถูกต้องหรือไม่ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับคนเกาหลีอย่างฉันที่จะได้เรียนรู้เพื่อพูดภาษาอังกฤษ ตอนฉันออดิชั่นหนังของพี่น้องWachowski ฉันบอกพวกเขาว่า ภาษาของฉันอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ขอให้อดใจรอ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อพูดภาษาอังกฤษเก่งขึ้นให้ได้"


อีกสิ่งที่ไม่ได้เป็นเคล็ดลับการฝึกพูดภาษาอังกฤษที่แบ ดูนา ได้เปิดเผยกับสื่อ  แต่ในเวลาต่อมา  เธอได้คบหากับ Jim Sturgess พระเอกชาวอังกฤษที่ร่วมงานแสดงกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง   ซึ่งหลายคนได้ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า   ได้พัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการเดทเจ้าของภาษานั่นเอง 


"ตอนที่ทีมงานติดต่อฉันให้ทดสอบเพื่อแสดงในเรื่อง Cloud Atlas ฉันแทบไม่เชื่อเลยค่ะ เราพูดคุยกันเป็นครั้งแรกผ่าน Skype ฉันส่งเทปตัวอย่างถึงพวกเค้า และก็ได้รับบทสำคัญนี้มาทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องนัก ฉันเชื่อว่า เราได้เริ่มสร้างความเข้าใจในกันและกันตั้งแต่ตอนนั้น และมันนำมาสู่ผลงานเรื่อง Sense 8 ในลำดับต่อมา"

แบ ดูนาเล่าว่า เธอได้รับกำลังใจจากผู้กำกับให้เอาชนะความไม่มั่นใจที่ต้องแสดงเป็นภาษาอังกฤษ และทำให้เธอมุ่งมั่นอย่างเต็มที่แม้จะเคยวิตกกังวลมาก่อน เรื่องนี้ใช่เลยบ่ะ หากเราได้ยินแต่คำวิจารณ์ที่สร้างพลังงานด้านลบ ก็อาจจะทำให้ไฟในการฝึกฝนมอดดับลงเพราะความจิตตก แต่ถ้ามีการสร้างเสริมแนวคิดด้านบวกจากคนรอบข้าง ยิ่งเป็นคนที่ให้โอกาสในการงานแล้ว ย่อมกลายมาเป็นพลังใจสำคัญให้ก้าวสู่เป้าหมายอย่างไม่ท้อถอย





ชิน เซคยอง: สนใจเรียนรู้ด้วยตัวเอง


ก่อนหน้าที่จะปรากฏตัวในรายการ Pocha Beyond Borders ผู้ชมชาวเกาหลีจำนวนมากไม่รู้ว่านางเอกแก้มใสผู้นี้สามารถพูดภาษาอังกฤษอย่างพริ้วไหวและสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างไร้ความกดดัน Jinger Cho influencerสายภาษาบน Youtube ถึงกับแจกแจงเรื่องอักขระและการใช้คำศัพท์ระดับ advanceของเธออย่างละเอียดว่าทักษะการสื่อสารอังกฤษของเธอในรายการไม่ได้มาจากการท่องจำบท แต่มาจากความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงและเป็นธรรมชาติ และดึงดูดผู้เข้าชมได้มากกว่า 1,600,000ครั้ง โดยเธอให้คำวิจารณ์ที่น่าสนใจว่า

  "คนเกาหลีส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการพูดประโยคยาวๆแบบสมบูรณ์แบบ  ซึ่งไม่จำเป็นเลย   เนื่องจากยึดติดจากการเรียนว่า  ประโยคสมบูรณ์แบบนั้นจะทำให้ได้คะแนนมากกว่า  แต่ไม่มีใครมาให้คะแนนกันให้ประโยคสนทนาจริงๆในชีวิตประจำวัน" 

การพูดแบบยืดหยุ่นและเป็นธรรมชาติในสถานการณ์ต่างๆของชิน เซคยองเป็นตัวอย่างของผู้ใช้ภาษาอังกฤษอันเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของภาษา นั่นคือคือการสื่อสาร ไม่ใช่การสอบวัดคะแนนเท่านั้น การพูดประโยคสั้นๆ หรืออาจจะมีผิดบ้าง ก็ดีกว่ากลัวผิดจึงไม่พูดเลย


ชาวเน็ทจำนวนมากได้แสดงความประหลาดใจและชื่นชมเรื่องการพูดภาษาอังกฤษของนางเอกดัง แม้ในเรื่อง Fashion King จะเป็นเรื่องราวของสาวเกาหลีที่ได้ไปผจญโลกที่New York ก็ตาม แต่บทบาทการแสดงที่ผ่านมาของเธอนั้นไม่มีบทโชว์พูดภาษาอังกฤษแบบยาวๆ เมื่อมาถึงผลงานเรื่อง Run On บทบาทนักแปล+ล่ามจึงรอดพ้นจากการจ้องจับผิดของชาวเน็ทเหมือนที่นักแสดงอีกหลายคนต้องเจอจิกกัดให้เจ็บใจมาแล้ว

บางคนวิจารณ์ว่า  เป็นเพราะชิน เซคยอง เรียนจากโรงเรียนมัธยมชื่อดัง   บ้างก็ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจจะเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน หรือศึกษาที่ต่างประเทศมาก่อน    ( เธอจบมัธยมและมหาวิยาลัยในเกาหลี) แต่เธอพยายามฝึกฝนด้วยตัวเองด้วยการชมรายการภาษาอังกฤษเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับการออกเสียงให้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา และฝึกแต่งกลอนเป็นภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ยังเรียนมัธยมต้นทำให้เธอเรียนรู้คำศัพท์ที่หลากหลาย     ครูภาษาอังกฤษที่เคยสอนชิน เซคยองในช่วงมัธยมต้นได้เปิดเผยว่า เธอเรียนการสนทนาภาษาอังกฤษได้ดีมาก  
ในประเด็นที่ว่า หากจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากหนัง  เราควรจะชมแบบมี subtitle หรือไม่มีจะดีกว่ากันนั้น   หลายคนก็ให้คำตอบที่แตกต่างกันไป    ตัวชิน เซคยองเลือกชมแบบมี subtitle ค่ะ  เธอจะจดจำคำแปลมาใช้   สิ่งหนึ่งที่ชาวเน็ทแสดงความปลาบปลื้มไม่แพ้เรื่องการออกเสียงและรูปแบบประโยคหลากหลายที่เธอใช้พูดก็คือ ความมั่นใจในการสื่อสารกับชาวต่างชาติด้วยไม่กังวลว่าจะพูดผิดหรือมีจุดบกพร่อง อันเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่หลายคนยอมรับว่ายังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้



กงยู: ฟุดฟิดไอไฟคล่อง เคยจัดรายการวิทยุสอนภาษาอังกฤษให้กับเพื่อนทหารตอนเข้ากรม

ผู้เขียนเคยได้ยินคำอธิบายว่า    ถิ่นที่อยู่ของชาวเกาหลีได้มีอิทธิพลไม่น้อยต่อการออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องและง่ายต่อการทำความเข้าใจ    แม้ว่าบางคนจะทุ่มเทในการเรียนและทำคะแนนจากการสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนสูงก็อาจจะยังประสบปัญหาในการสนทนาให้อีกฝ่ายเข้าใจ    โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ชีวิตห่างไกลจากรุงโซลออกไป    ดังตัวอย่างสมาชิก  boy band ชื่อดังที่เติบโตในชนบท ก็จะมีสำเนียงที่ strong กว่าเพื่อนร่วมวงที่มาจากโซลจากความเคยชินในการใช้ภาษาถิ่น  

แต่สำหรับกง ยูที่โลดแล่นในวงการบันเทิงมากว่ายี่สิบปี    เขาอาจจะอาศัยที่ปูซานมาตลอด  แต่ก็ได้ฝึกฝนเรื่องการออกเสียงจากผลงานแสดงหลากหลายเรื่อง    และยังรวมไปถึงการฝีกพูดภาษาอังกฤษในเวลาว่าง   เมื่อเข้ากรมเพื่อรับใช้ชาติก็เคยทำหน้าที่ DJ รายการวิทยุเพื่อสอนภาษาให้กับเพื่อนทหารร่วมทัพมาแล้ว
ความสำเร็จของกง ยูในฐานะ superstar เกาหลีใต้ได้ดึงดูดสื่อชั้นนำระดับโลกอย่าง CNN ให้ติดต่อขอสัมภาษณ์แบบเปิดใจ   แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษล้วนในการสนทนากับพิธีกร    (ดังที่มีครูสอนภาษาวิเคราะห์ไว้ว่า  ผู้คนยังกังวลและยึดติดกับการใช้ภาษาอังกฤษที่ perfect รวมถึงแรงกดดันจากผู้ชมที่จับผิดถึงจัดระดับความสามารถในการออกเสียงภาษาอังกฤษของคนดัง) แต่เมื่อพูดภาษาอังกฤษ เขาก็โต้ตอบกับนักข่าวเจ้าของภาษาแบบสบายๆ  
แฟนๆน่าจะได้ยินสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของกง ยูในโฆษณา Louis Vuitton  กันไปแล้ว     แต่ยังมีเซเลบจากประเทศที่เคยกระทบไหล่กับพระเอก A List  ผู้นี้ได้แชร์ประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้ว  อย่างRebecca Lim  นางเอกจากสิงคโปร์  ( ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษาราชการ)  ที่เล่าว่ากง ยูทั้งมีเสน่ห์ล้นเหลือและพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก   หรือจะเป็นAnne Curtis นางเอกลูกครึ่งออสซี่-ฟิลิปปินส์ ที่แลกเปลี่ยนบทสนทนากับพระเอกที่เธอปลาบปลื้มในอีเวนท์เดียวกัน



RM แห่ง BTS:  เริ่มเรียนรู้จากการชมซิทคอมชื่อดังจากอเมริกา

 

หลายคนเชื่อว่า  BTS  น่าจะกลายมากลุ่มศิลปินเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าไอดอลร่วมวงการ K-Pop เพื่อก้าวไปสร้างความโด่งดังในระดับเดียวกัน     พวกเค้าไม่ใช่วงไอดอลแรกที่พยายามเจาะตลาดเพลงในอเมริกาและทวีปอื่นๆ   แต่ปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับ global นั้น  นอกจากความทุ่มเทเพื่อพิสูจน์ความสามารถแล้ว  การสื่อสารทางภาษาอังกฤษยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะทลายกำแพงทางภาษาเพื่อเข้าถึงแฟนๆมากมายทั่วโลกได้อย่างเต็มที่   สำหรับเหล่า Army  ก็คงรับรู้เรื่องราวเบื้องหลังการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษของ leader ของวงกันเป็นอย่างดี
แฟนเพลง K-Pop น่าจะคุ้นเคยกับไอดอลที่มี profile สวยหรู หรือเป็นเด็กสองภาษาที่ส่งตรงมาจากต่างประเทศ  แต่ไม่ใช่ว่าไอดอลชื่อดังจะมีเรื่องราวชีวิตแบบ Crazy Rich Asians เสมอไป      RM หรือคิม นัมจุน เติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางที่ตั้งความหวังให้ลูกชายหัวดีจบการศึกษาจาสถาบันชั้นนำเพื่ออาชีพการงานที่มั่นคง  แต่ย้อนไปเมื่อ RM มีอายุราวๆ 14-15 แม่ของเขาคงไม่คาดคิดมาก่อนว่า   การแนะนำให้ลูกชายชม Friends* จะจุดประกายความหลงไหลในภาษาอังกฤษและเป็นจุดเริ่มต้นในการแต่งบทกลอนและเนื้อเพลง และพัฒนาศักยภาพของตัวเองจนได้รับเสียงชื่นชมว่าพูดภาษาอังกฤษได้ในระดับดีเยี่ยม      


*RM อธิบายว่า  มันเป็น'เทรนด์'ของพ่อแม่ในยุคนั้นที่ต้องบีบให้ลูกๆดูซีรีส์เรื่องนี้
แม้จะจบการศึกษาจาก Global Cyber University    แต่เขาได้ลงทะเบียนเรียนในขณะที่กลายเป็นไอดอลไปแล้ว นั่นเป็นเพราะจะต้องทุ่มเทเวลาในช่วงวัยรุ่นกับการเป็น trainee ในค่ายเพลงเล็กๆ เพื่อวิ่งตามความฝันจะก้าวมาสร้างความโด่งดังในวงการ K-Pop     แต่ความสามารถทางภาษาอังกฤษของ RM ได้สร้างข้อสงสัยในโพรไฟล์การศึกษาของเขาว่ามาจากโรงเรียนนานาชาติ หรือเข้าโปรแกรมนักเรียนแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศหรือไม่   RM เล่าว่าคะแนนสอบTOEIC ของ RM ในช่วงมัธยมต้นนั้นสูงถึง 850   ล่าสุดที่ลองสมัครสอบทดสอบความรู้แบบไม่จริงจังนัก ผลออกมาคือ 915 คะแนน  โดยที่เจ้าตัวออกตัวว่า ทำได้ไม่ดีนักในส่วนของ reading  จึงได้คะแนนเท่านี้ ( oh!)  ซึ่งเป็นการยืนยันข้อมูลที่แฟนๆปลาบปลื้มมานานว่า เขาเคยเป็นนักเรียนสุด bright  ผู้มีผลการเรียนดีมากจนพ่อแม่ไม่ยินยอมให้มาเอาดีด้านการเป็นศิลปิน   จากความหวาดหวั่นว่าความสามารถทางวิชาการของลูกชายจะสูญเปล่าไปกับอนาคตที่ไม่แน่นอน  

จากไอดอลที่ล้มลุกคลุกคลานเพื่อพิสูจน์ความสามารถให้ทึกคนได้รับรู้ กลายมาเป็นศิลปินระดับ top   พ่อแม่ของ RM ย่อมภาคภูมิใจและยินดีที่ได้ยอมรับการเลือกเส้นทางชีวิตของลูกชาย    

เจ้าตัวยอมรับว่า จะต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ หากทิ้งไว้นานๆ ความไหลลื่นในการสื่อสารภาษาอังกฤษจะลดน้อยไปจนน่าใจหาย เขาอธิบายให้เห็นภาพว่า หากไม่พูดภาษาอังกฤษสักหนึ่งเดือน ก็จะพูดได้แย่ลงดังที่เกิดขึ้นกับตอนที่ได้พบกับ Halsey นักร้องสาวชาวอเมริกันที่เคยร่วมงานกัน เขาถึงกับนึกคำศัพท์ไม่ออก

"ถ้าไม่ใช่คนที่อาศัยหรือเคยเรียนที่ต่างประเทศ  ก็จะลืมภาษาอังกฤษได้ง่ายมากเลยครับ"


กว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ระดับนี้ การชมซีรีส์ Friends ไม่ได้เป็นสะพานสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียว นอกจากการศึกษาในระบบ RM ได้พัฒนาการพูดภาษาอังกฤษแบบ self- learningจากความหลงไหลในดนตรี  เขาฟังและจดจำวิธีพูดภาษาอังกฤษจากศิลปินที่ชื่นชม และใช้การเขียนเพลงและร้องแร็พเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก และadapt สำเนียงที่แตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อม แฟนๆมักคุ้นเคยกับสำเนียงแบบอเมริกันของ RM แต่เมื่อเขาเดินทางไปที่อังกฤษ ก็ได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างและadaptในบทสนทนา

ในขณะที่อาจจะมีสมาชิก BTS ที่ทักษะการพูดภาษาอังกฤษยังไม่อยู่ในระดับ fluent (Army ได้ข้อสังเกตว่า ที่จริงแล้ว Suga พูดและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี แต่ไม่แสดงออกมาชัดเจน) บทบาทของ leader ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดในวง ทำให้เขาถูกมองถูกมองว่าเป็นตัวแทนในการสื่อสารกับแฟนๆและสื่อต่างชาติ โดยที่ภาพของleader ที่พยายามกระตุ้นเพื่อนๆให้พูดได้สร้างความเอ็นดูให้กับแฟนๆหลายต่อหลายครั้ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเค้าก็ได้ฝึกฝนจนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น สามารถให้สัมภาษณ์กับสื่อได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่กังวลในเรื่องกำแพงภาษา จากผลงานเพลงภาษาอังกฤษที่พุ่งขึ้น Billboard Chart น่าจะการันตีเรื่องการพัฒนาศักยภาพที่จะไม่หยุดนิ่ง ดังคำยืนยันจาก Suga ที่ว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการนำเสนอเพลง Butter และ Permission to Dance คือเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ เพระาเขาจะต้องถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลงให้ดู smooth ที่สุด ทำให้ต้องฝึกฝนวิธีการออกเสียงเพิ่มเติม




คัง โซรา:   เรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นงานอดิเรกมาตั้งแต่เด็ก


 เธอผู้นี้ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมในทักษะการพูดภาษาอังกฤษจากบทพนักงานอฟฟิศที่ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพในซีรีส์  Misaeng: Incomplete Life   ลองชมตัวอย่างที่วีดีโอด้านล่างได้เลยค่ะ

 เธอผู้นี้ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมในทักษะการพูดภาษาอังกฤษจากซีรีส์  Misaeng: Incomplete Life   ลองชมตัวอย่างที่วีดีโอด้านล่างได้เลยค่ะ

เธอพูดได้เป็นธรรมชาติเหมือนกับคนที่เรียนในอเมริกามาหลายปี แต่เธอจบสาขาการแสดงและภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยทงกุก สถาบันเอกชนที่มีชื่อเสียง และให้เครดิตในการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆจาก Disney animation โดยที่เธออธิบายว่า แม่ของเธอหาวีดีโอที่ไม่ใช้การพากย์และไม่มี subtitle มาให้ชม ทำให้เธอต้องพยายามเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจด้วยตัวเอง


 
ในขณะที่บางคนอาจจะมองการเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยากเย็นจนเกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้  แต่คัง โซรากลับถือว่า การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้สร้างความเพลิดเพลินจนเป็นงานอดิเรกที่เธอโปรดปราน    เธอเคยเตรียมตัวเพื่อเข้าเรียนมัธยมในหลักสูตรภาษาอังกฤษ  แต่กระนั้นก็ถ่อมตนว่า  skill ของเธอยังไม่ถึงขั้น fluent   ที่เห็นพูดได้น้ำไหลไฟดับในซีรีส์นั้นเป็นผลมาจากการท่องบท   แต่จากการให้สัมภาษณ์สื่อในเทศกาลหนังอินโดนีเซียโดยปราศจากล่าม และสามารถโต้ตอบหลายประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์อย่างลื่นไหลได้โดยไม่ต้องหยุดนึกก็น่าจะชี้ชัดว่า เธอมีภาษาอังกฤษที่ดีมากโดยที่ไม่ได้ศึกษาในต่างประเทศ*



อาจจะมีผู้ที่มองว่า การใช้ภาษาอังกฤษของคนดังเกาหลีจากการแสดงต่อหน้ากล้องจะช่วยสร้างเสริมความสมจริงให้กับบทบาทที่ต้องดู high profile ( ส่วนใหญ่แล้วจะโชว์ skill พูดภาษาที่ 3,4,5 เพิ่มด้วยซ้ำ) แต่ในชีวิตจริง ประโยชน์จากการฝึกฝนใช้ภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วนั้นไม่ได้โฟกัสที่ภาพลักษณ์สุด cool แต่เป็นการเชื่อมโยงชาวต่างชาติต่างภาษาให้เข้าใจกันด้วยดี เมื่อพูดถึงดาราศิลปินที่มาจากประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก การสื่อสารกับแฟนๆโดยใช้ภาษาสากลที่สามารถเข้าใจกันได้ในทันทีนั้นจะกระตุ้นให้เกิดความประทับใจแบบเข้าถึงได้

ดังกรณีของ พัค โบกอมใน Asia Tour เขาได้สร้างความประทับใจแบบsurprise ให้กับแฟนคลับต่างชาติที่ไม่คาดมาก่อนว่า พระเอกหนุ่มขวัญใจจะพูดคุยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว แม้จะได้รับคำถามที่ซับซ้อน ก็ตั้งอกตั้งใจตอบอย่างน่าฟัง และทำให้แฟนๆรู้สึกใกล้ชิดกับเขามากกว่าการรับฟังคำแปลที่ล่ามถ่ายทอดออกมา





มีคำยืนยันว่า ผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีไม่จำเป็นต้องมีผลการเรียนระดับดีเลิศ หรือต้องทุ่มเทเงินทองมากมายให้คอร์สเรียนหรือการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ แม้สิ่งเหล่านั้นดูจะเป็นข้อได้เปรียบในการฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษให้ชำนาญได้เร็วขึ้น แต่สำหรับคนที่ต้องการเรียนด้วยตัวเอง สิ่งสำคัญคือความมุ่งมั่นใฝ่รู้และหาโอกาสเพื่อใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตจริงให้ได้มากที่สุด รวมถึงการเปิดใจกว้างในการแก้ไขจุดผิดพลาดเมื่อได้รับการทักท้วงโดยไม่ยึดติดว่าถูกหักหน้าให้อับอาย  แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ไม่ต่างจากสาขาวิชาอื่นที่เราสามารถพัฒนาจากความผิดพลาดให้ก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นได้นั่นเอง


The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE