เราได้บทเรียนอะไรหลังจากการกลับมาชม Sex And The City อีกครั้ง

45 16
คุณทราบหรือเปล่าว่า   ซีรีส์ที่โด่งดังอย่าง Sex And The City ได้ทิ้งประเด็นที่สวนทางกับความรู้สึกของผู้ชมไว้มากมาย แม้ว่าจะจบไปเนิ่นนานหลายปี แต่ทั้งตัวผู้เขียนบทและนักแสดงนำก็ยังพบกับความกดดันจากแฟนๆที่ค้างคาใจจนต้องออกมาชี้แจงและปกป้องพล็อทเรื่องเจ้าปัญหา

แน่นอนว่า พวกเราต่างเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง กว่าจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เจริญได้ ก็ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดมาก่อน แต่วิธีนำเสนอชีวิตของคนในนคร New York นี้กลับได้ทิ้งหลายปมที่ขัดแย้งต่อความรู้สึก บางพฤติกรรมของตัวละครที่ถูกมองว่าเข้าขั้น toxic หรือขาดความสมจริง ยิ่งกลับมาชมอีกครั้ง ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า เหตุใดการนำเสนอแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์และมิตรภาพของซีรีส์ดังเรื่องนี้จึงถูกโจมตีมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะ Carrie ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราว กลับถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมแบบ problematic

 แม้ตัว Sarah Jessica Parker จะออกโรงปกป้องว่า    Carrie แสดงด้านแย่ๆ เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น  แต่มีหลายโมเมนท์ที่เธอเผยถึงความใส่ใจห่วงใยเพื่อนสนิท   และสามารถพิสูจน์ได้จากการย้อนชมว่าเธอทำตัวแสนดีมากแค่ไหน   แต่ที่ผ่านมา  ทั้งสื่อและแฟนๆซีรีส์หลายคนกลับลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า   หลาPพฤติกรรมของนางเอกไม่ใช่เรื่องที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะคนรักหรือเพื่อน




เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการชมซีรีส์เรื่องนี้อีกครั้ง ลองมาติดตามกันได้เลย!

ไม่ควรทำร้ายจิตใจเพื่อนด้วยการเทนัดเพื่อจะได้อยู่กับผู้ชาย
บางคนอาจจะเชื่อมั่นว่า เพื่อนย่อมเข้าใจเพื่อนที่กำลังอยู่ในภาวะคลั่งรัก และเปิดทางให้อีกฝ่ายใช้เวลาอยู่กับชายหนุ่มหมายปองโดยไม่มีอาการเหวี่ยงวีนใดๆ

แต่เมื่อลองคิดถึงความรู้สึกของคนที่จู่ๆก็ถูกเท  ทั้งๆที่ตั้งใจนัดพบกันเป็นดิบดี  หากตอนนั้น  เพื่อนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอเราอาจมีความทุกข์ใจ ต้องการพบหน้ากันเพื่อสร้างกำลังใจในการต่อสู้กับปัญหา    มันจะสร้างความรู้สึกผิดหวังสักแค่ไหนที่ได้รับรู้ว่า  เพื่อนสนิทเลือกที่จะทิ้งนัดไปเฉยๆ เพราะผู้ชายสำคัญกว่า

ซีรีส์ได้ฝากความประทับใจจากภาพความผูกพันระหว่างเพื่อนสาว พวกเธอทั้งสี่คนดูสนทสนมรู้ใจกันราวกับพี่น้อง ซึ่งหลายคนน่าจะสัมผัสได้ว่า ระหว่าง Carrie และ Miranda นั้นมีสายใจที่แนบแน่นเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนบทดูจะจงใจใส่ความย้อนแย้งเข้าไป ตั้งแต่เริ่มต้นที่ Carrie หลงเสน่ห์ Mr. Big อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เมื่อเขาเอ่ยปากว่าอยากจะทำอาหารกินเอง แทนที่จะออกไปdinnerที่ร้านหรู แม้ว่าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันสักพักแล้ว เธอก็ตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อที่อพาร์ทเมนท์ของเขาเพื่อช่วยกันทำอาหารอย่างกระหนุงกระหนิง โดยที่ไม่ใส่ใจเรื่องที่นัดdinnerกับ Miranda ไว้



ในขณะที่  Carrie กำลังดื่มด่ำกับไวน์และแฟนหนุ่มใหญ่  เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น   เป็น Miranda ที่โทรมาท้วงว่ามีนัดdinnerกัน  แต่แทนที่จะแสดงความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนรอ   เธอกลับตอบแบบไม่ใส่ใจว่า  Bigกำลังอบเนื้อลูกวัวอยู่

จากนิสัยแรงๆแบบ Miranda คุณก็อาจจะเดาได้ว่าเธอจะปรี๊ดใส่แบบไหน

"เธอเทฉันเพราะเนื้อลูกวัวเนี่ยนะ ?
"รู้อะไรมั้ย  พอเธอมีแฟนทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที ยังไงผู้ชายต้องมาก่อน!"


  ประเด็นสำคัญคือ Carrie ไม่ได้ส่งสัญญาณความรู้สึกผิดต่อเพื่อนหรือกังวลใจแต่อย่างใด  มันอาจทำให้คุณเข้าใจความรู้สึกโกรธของ Mirandaได้ไม่ยากเย็นนัก


ให้ความสำคัญและรู้สึกขอบคุณเมื่อเพื่อนทุ่มเททำตามคำขอของเรา ไม่ใช่ตอบแทนด้วยการบอกปัดเมื่อรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ

แฟนๆจำนวนมากยืนยันว่า Samantha คือตัวละครที่สร้างสีสันร้อนแรงให้กับซีรีส์จนถ้าขาดเธอไปแล้ว คงจะรู้สึกจืดชืด  หลายๆโมเมนท์ของสาวแซ่บคนนี้มีความเป็นการ์ตูนราวกับเป็นสายฮา   อย่างตอนที่เธอมี accident กับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวจนทำให้ใบหน้าแดงเป็นปื้นจนเจ้าตัวต้องกลัดกลุ้ม แต่เพราะมีนัดร่วมงานเปิดตัวเซ็นหนังสือของ Carrie     แม้ว่าจะบอกอีกฝ่ายไปว่า  หน้าตาไม่พร้อมที่ร่วมออกงานสำคัญนี้ได้  แต่เพราะ Samantha ต้องทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้กับเพื่อนสาว  เธอจึงต้องหักห้ามความอับอาย บากหน้าไปงานพร้อมกับหมวกอำพราง

ไม่น่าแปลกใจที่ Carrie จะตกตะลึงกับลุคของเพื่อนที่ดูคล้ายกับถูกย่างสดมา แต่เธอตั้งหน้าตั้งตาวิจารณ์ Samantha ที่ทุกข์ใจเพราะเสียโฉมชั่วคราวอยู่แล้วแบบไม่เห็นใจ   มันเป็นสิทธิ์ของ   Carrie ที่แสดงความกังวลใจว่า  ใบหน้าของ Samantha จะทำให้บรรยากาศในงานเปิดตัวหนังสือของเธอเสียหาย   เธอจิกกัดว่าหน้าอีกฝ่ายดูเหมือนกับ Beef Carpaccio (เมนูเนื้อสดแบบอิตาเลียน)   และขอให้ดึงผ้าคลุมหน้ามาพรางไว้   " ทำไมเธอต้องไปลอกหน้าด้วย   นี่มัน party ของฉัน และเธอกำลังทำให้คนอื่นผวานะ"

 Carrie อาจจะไม่ได้มีเจตนาหักหาญน้ำใจเพื่อน  และpartyเปิดตัวผลงานของเธอย่อมสำคัญเป็นที่สุด   แต่มันก็น่าจะมีวิธีในการสื่อสารที่นุ่มนวลกว่านั้น   โดยเฉพาะที่เธอน่าจะรู้ใจเพื่อนว่า    ตั้งใจเข้าคลีนิคความงามเพราะต้องการลุคที่ดูสดใสอ่อนวัยเป็นพิเศษสำหรับงานนี้    เมื่อ  Samantha เอ่ยปากอย่างพ่ายแพ้ว่า ขอตัวกลับบ้านก่อน  Carrie แสดงความดีใจออกนอกหน้า    

Samantha: "ฉันจะไม่ยอมออกมาเจอหน้าผู้คนในสภาพแบบนี้หรอกนะ  ถ้าไม่ใช่เพื่อเธอ"

Carrie:  "ฉันรู้ดี  และฉันก็ต้องทำใจยอมรับมัน"


อย่าสำคัญตัวว่าตัวเองมีสิทธิ์โกรธ หากเพื่อนไม่เสนอตัวช่วยเหลือเรื่องการเงิน

เรื่องสถานะทางการเงินของ Carrie นั้นถูกวิเคราะห์เจาะลึกกันมาหลายครั้ง จากข้อมูลคนวงในที่ใช้ชีวิตใน New York ด้วยอาชีพนักเขียนคอลัมน์สื่อดัง ทำให้หลายคนมั่นใจว่า lifestyle สุดหรูของนางเอกซีรีส์ผู้นี้มันไม่ make sense! สำหรับเพื่อนๆทั้งสามของเธอนั้นนั้น จะกินหรูอยู่แพงเช่นใด ก็ไม่มีผู้ใดทักท้วง เนื่องจากหน้าที่การงานและฐานะมั่งคั่งของครอบครัว ไม่ว่าจะช็อปแบรนด์เนมเป็นประจำ ดินเนอร์ร้านติดดาว นั่ง taxi ไม่แตะรถไฟ สามสาวก็ดูจะไม่เดือดร้อน

แต่พฤติกรรมฟุ่มเฟือยของ Carrie ก็ทำให้เธอตกที่นั่งลำบากในที่สุด เพราะเธอต้องรวบรวมเงินเพื่อซื้ออพาร์ทเมนท์ต่อจากแฟนเก่า (ที่ซื้อไว้เป็นเจ้าของเพราะตั้งใจจะใช้เป็นเรือนหอใช้ชีวิตด้วยกันหลังแต่งงาน แต่เลิกรากันซะก่อน) ด้วยความผูกพันกับที่แห่งนี้จนไม่อาจจะตัดใจได้ เธอจึงพยายามทุกทางเพื่อหาเงินดาวน์ก้อนใหญ่ถึงสี่หมื่นเหรียญ แม้ว่ารายได้จากการเป็นนักเขียนจะทำให้เธอใช้ชีวิตแบบหรูหราไม่น้อยหน้าเพื่อนๆมาตลอด แต่เพราะไม่วางแผนทางการเงิน จึงทำให้มีเงินติดตัวไม่ถึงสองพันเหรียญ นี่คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้วิตกทุกข์ร้อน ยิ่งได้รู้ว่าเธอไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารได้

"ฉันช็อปรองเท้าด้วยเงินสี่หมื่นเหรียญ แต่กำลังจะเป็นคนไร้บ้าน  ฉันจะกลายเป็นยายแก่ที่ต้องนอนท่ามกลางรองเท้าตัวเอง"

Carrie พยายามขอคำแนะนำเรื่องการเงินจาก Big ผู้ร่ำรวย แต่เขาตอบรับด้วยการเซ็นเช็คให้เธอแบบไม่ลังเลใจ แต่ทั้ง Miranda และ Samantha ที่มีความมั่นคงทางการเงินเสนอตัวว่าจะลงขันให้ Carrie ยืมเงินเองโดยไม่ต้องติดหนี้บุญคุณผู้ชายที่เคยมีความสัมพันธ์กัน  ดูเหมือนว่า ปัญหาของ Carrie จะคลี่คลายด้วยดี

ยกเว้นแต่ว่า   เธอไม่พอใจสุดๆที่ Charlotte นิ่งเงียบ ไม่ยอมเอ่ยปากให้เธอยืมเงินเหมือนกับเพื่อนอีกสองคน
Charlotte เป็นคุณหนูจากตระกูลผู้มีอันจะกิน เธอแต่งงานกับนายแพทย์ที่ร่ำรวย หลังจากการหย่าร้าง ก็ยังได้รับส่วนแบ่งสินสมรสรวมถึงแหวนหมั้นเพชรหลายกะรัต  เธอรวยพอที่จะใช้ชีวิตโดยไม่ต้องลำบากทำงานให้เหน็ดเหนื่อย   นั่นทำให้ Carrieรู้สึกคับแค้นใจ   เธอเก็บความหงุดหงิดแล้วมาถึงบ้าน Charlotte เพื่อระเบิดอารมณ์ที่เพื่อนไม่เสนอตัวช่วยเหลือเธอ  และยืนยันว่า  ถึง Charlotte จะหยิบยื่นเงินให้  เธอก็จะไม่ยอมรับอยู่ดี    เพียงแต่รู้สึกแย่ที่เพื่อนนิ่งดูดายในขณะที่เธอทุกข์ร้อน   Charlotte ได้ให้คำตอบที่ฟังดูมีเหตุผลไว้ว่า

Charlotte:  "เอาเรื่องเงินกับมิตรภาพมาปนกันไม่ได้หรอกจ้ะ   พ่อของฉันกับ Paulเพื่อนท่านน่ะ ไม่เคยกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย"

แต่ Carrie กลับโทษ Charlotteรวยจนถึงขนาดว่าไม่ต้องทำงานก็ยังอยู่ได้สบายๆก็ยังไม่ยอมออกปากช่วยเธอ

Charlotte:  ฉันรักเธอนะ  แต่ฉันไม่ได้มีหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ทางการเงินของเธอ   เธอเป็นผู้หญิงวัย35แล้ว  เธอต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองสิจ๊ะ"

คุณอาจจะเคยเห็นการประกาศ 'งดให้ยืมเงิน' ทางบัญชี social mediaของเพื่อนฝูงคนรู้จักมาหลายครั้งแล้ว และถ้าเปิดใจให้กว้างแบบคนที่มีวุฒิภาวะก็จะพบว่า หลายคนต้องสูญเสียเพื่อนไปเพราะเงินจริงๆ ไม่ว่าจะผูกพันรักใคร่กันมา แต่เพราะความเห็นแก่ตัวจนไม่สนความรู้สึกของคนที่ยอมเชื่อใจให้ยืมเงินทำให้บางคนเลือกจะกลับคำสัญญา และปล่อยให้อีกฝ่ายจมกับความรู้สึกที่หักหลัง

เรื่องราวจบลงที่ Charlotte ตัดสินใจมอบแหวนหมั้นจากการแต่งงานที่จบสิ้นไปแล้ว ให้กับ Carrieเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นเงินสดมาดาวน์อพาร์ทเมนท์ โดยที่ได้รับคำยืนยันจากเพื่อนว่า จะพยายามรวบรวมหาเงินมาคืนอย่างแน่นอน แต่จะต้องใช้เวลา


การชี้ให้เห็นว่า'เพื่อนย่อมสำคัญกว่าเงิน' ทำให้นักวิจารณ์บางคนฉะแหลกว่านี่เป็นตอนที่แย่ที่สุดของ Sex And The City หลังงจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ติดต่อกันหลายปี producer ก็ออกมาให้ความเห็นว่า ถึงผู้คนจะโกรธเกลียด Carrieจากเรื่องนี้ ก็ยอมรับได้ เธอเชื่อว่า Carrie ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดเรื่องการบริหารการเงิน และแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจ่ายหนี้ทุกเดือน  แม้จะเสพติดช็อปปิ้งและทุกอย่างคลี่คลายด้วยดี

คนบางคนอาจจะคิดว่า การช่วยเหลือเพื่อนเมื่อประสบปัญหาทางการเงินคือสิ่งที่เพื่อนดีๆทำ   แต่ผิดหรือหากเลือกที่จะไม่ช่วยด้วยการให้ยืมเงิน?   หลังจากที่ Charlotteรับรู้ lifestyle ที่ฟุ่มเฟือยเกินตัวของเพื่อนมาตลอด และยังมีประสบการณ์ที่ได้เห็นมิตรภาพที่พังทลายเพราะเงิน    เราเชื่อว่า การรักษาจุดยืนของเธอก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะถูกเพื่อนรักเหวี่ยงใส่แต่อย่างใด


หากไม่พร้อมจะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง ก็อย่าให้ความหวังอีกฝ่ายแล้วยังแสดงออกราวกับว่าเป็นเรื่องเล่นๆ

แฟนๆมักจะฝังใจกับเรื่องการนอกใจของ Carrie และ Big ซึ่งต่างคนต่างก็มีคนรักอยู่แล้ว   Big หักหลังภรรยาสาววัย 27   ส่วน Carrie ทำให้ Aidanที่กำลังไปกันได้ด้วยดีต้องใจสลายหลังจากสารภาพว่าแอบมีอะไรกับ Big   และเลือกจะเดินจากไปทั้งๆที่รักเธอมาก     แต้ในที่สุด ทั้งสองก็กลับมาคบกันอีกครั้ง  แต่คราวนี้   ความสัมพันธ์ก้าวไปสู่ความจริงจังถึงขั้นวางแผนแต่งงาน  เพียงแต่ฝ่าย Carrie ที่ดูยังลังเล เธอยังหวงชีวิตโสดของตัวเองจนไม่อยากให้คนนอกรับรู้ว่าตัวเองมีคู่หมั้นแล้ว   และให้เหตุผลว่า  คล้องแหวนไว้ที่สร้อยแทนที่จะเป็นนิ้วนางข้างซ้ายเพราะ'ใส่แบบนี้อยู่ใกล้กับหัวใจมากกว่า'
ผู้ชมต่างรู้ดีว่า นี่เป็นข้ออ้างของ Carrie ที่อยากจะรักษาภาพสาวโสดคนดังในวงสังคม New York ไว้      มันไม่ใช่เรื่องผิดแม้แต่น้อยหากเธอยังไม่พร้อมจะตีตราสถานะของตัวเองด้วยคำว่าแต่งงาน  แต่เธอเลือกจะตอบคำขอจากAidan ที่คุกเข่ายื่นแหวนหมั้นมาให้    แต่ต่อมาภายในใจกลับหวาดหวั่นถึงอนาคตที่ต้องกลายมาเป็นภรรยา   มันไม่ยากเลยที่Aidanจะสังเกตุถึงท่าทีที่ไม่เต็มใจของเธอทุกครั้งที่เขาพยายามวางแผนเรื่องพิธีวิวาห์ให้เป็นรูปเป็นร่าง    ปัญหาความรักเข้าสู่ระดับวิกฤติ เมื่อ Carrie ค้นพบว่าAidanยังไม่สามารถทำใจก้าวผ่านเรื่องที่ถูกเธอนอกใจกับชายอื่นไปได้   นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เขากดดันเธอเรื่องแต่งงาน   เนื่องจากความหวาดระแวงว่า หากยังคบกันต่อไปโดยยังไร้พันธะความผูกพันทางกฎหมาย  เธออาจจะหักหลังเขาซ้ำอีก  

"คุณไม่ยอมใส่แหวนหมั้นด้วยซ้ำไป"  Aidan ประท้วง เมื่อ Carrie ยืนยันว่า เธอซื่อสัตย์กับเขาเพียงคนเดียว    ที่ผ่านมาเธอทำให้เขาเข้าใจผิดว่ามีจุดมุ่งหมายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือการครองคู่เป็นสามีภรรยา  เธอพยายามบอกปัดเมื่อAidan พูดถึงกำหนดการพิธีแต่งงาน โดยไม่ได้เปิดใจให้ชัดเจนให้รับรู้เหตุผลที่ยังไม่พร้อมสละโสด  ในขณะแฟนหนุ่มของเธอก็ไม่สามารถเชื่อใจกันได้อย่างเต็มที่และใช้การแต่งงานมาผูกมัดกัน ในที่สุด ความสัมพันธ์ก็มาถึงจุดจบ


บางครั้งก็หยุดพูดเรื่องของตัวเอง และรับฟังเพื่อนที่ต้องการที่พึ่งยามมีปัญหา หรือเลือกเวลาในการโอดครวญปัญหาของตัวเองบ้าง

ความสัมพันธ์ของเพื่อนรักแห่ง Sex And The City มีความแข็งแกร่งจนเป็น friendship goal ของหลายคน แต่ในบางครั้ง แฟนๆก็อดข้องใจไม่ได้ว่า นักเขียนบทจงใจจะทำให้ Carrie ถูกหมั่นไส้รึเปล่านะ? แน่ล่ะว่านิสัยของสี่สาวย่อมมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป พวกเธอเคยทะเลาะกันแรงๆมาบ้าง แต่ก็ยืนหยัดอยู่เคียงข้างเพื่อเป็นกำลังใจให้กันทั้งยามสุขและทุกข์มาโดยตลอด


อย่างไรก็ตาม มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ท่ามกลางมิตรภาพที่เต็มไปด้วยความพึ่งพาเอื้ออาทรกัน นางเอกของเราหลงลืมที่ใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนในยามที่มีปัญหา ตอนที่ Miranda เกิดอุบัติเหตุในห้องน้ำจนไม่สามารถขยับคอได้จึงโทรหา Carrie ให้รีบมาช่วยโดยด่วน แม้มันไม่ใช่ความผิดของCarrie ที่ต้องรีบไปนัดสำคัญและตัดสินใจส่งแฟนหนุ่มไปทำหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนแทน โดยไม่รู้สักนิดว่า Mirandaกำลังนอนรอที่พื้นห้องน้ำโดยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้นเดียว แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้ Mirandaอับอายฝังใจเพราะคิดว่า อย่างไร Carrie ก็ต้องมาช่วย

ในวันต่อมา Carrie ได้แบกความกลัดกลุ้มใจเรื่องแฟนไปหา Miranda ที่บาดเจ็บจนต้องใส่ตัวsupportคอ แม้ว่าจะเห็นกับตาว่าอาการบาดเจ็บของเพื่อนหนักหนาเอาเรื่อง แต่เธอก็ถามไถ่อาการแค่นิดหน่อยพอเป็นพิธี แล้วเปิดฉากระบายความทุกข์เรื่องแฟนทันที แต่คนอย่าง Miranda ย่อมไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ เธอจิก Carrie ที่หิ้วขนมปังเบเกิลมาเยี่ยมเพื่อเป็นข้ออ้างในการระบายเรื่องผู้ชายทั้งๆที่เธอเจ็บหนักจนต้องหลับในท่านั่ง (และCarrie ก็ไม่ปฏิเสธคำกล่าวหาซะด้วย)


  •  มีซีนหนึ่งที่ทำให้บางคนรู้สึกเห็นใจCharlotte เมื่อเธอเผยข่าวดีเรื่องการหมั้นหมาย แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆจะใช้เวลาแสดงความยินดีกับเธอเพียงไม่กี่วินาทีแล้วก็นิ่งกันไปอย่างอึดอัด เมื่อเปลี่ยนประเด็นมาเป็นเรื่องของ Carrie ที่ถูกแฟนหนุ่มบอกเลิกผ่าน post-it ทุกคนก็โฟกัสกับการก่นด่าผู้ชายใจร้าย   ทำให้คิดไปได้ว่า เพื่อนๆไม่ได้ยินดียินร้ายกับการสละโสดของ Charlotte มากนัก  ทั้งๆที่พวกเธอรู้ดีว่า Charlotte ใฝ่ฝันจะได้แต่งงานกับชายแสนดีมาโดยตลอด ภาพการสนทนาตัดไปที่ Carrie เอาแผ่น post-it บอกเลิกแปะทับที่แหวนหมั้นของเพื่อนสาว


นักประพันธ์นิยายต้นฉบับ+ผู้สร้างยอมรับ  Big และ  Carrie ไม่ควรลงเอยกัน

ฉากจบของซีรีส์สร้างความตรึงตราใจแฟนๆมากมาย(โดยเฉพาะผู้ที่อยู่Team Big) เมื่อพระเอกbad boy บุกไปถึงแพรีสเพื่อช่วยเธอจากชายรัสเซียนผู้เย็นชาและลงเอยกันอย่างสุขสมหวัง แต่ที่ผ่านมา มีข้อชี้ชัดหลายประการว่าพวกเค้ามีความสัมพันธ์แบบ toxic จนอาจจะทำให้บางคนทำใจเชื่อได้ยากว่า happy ending เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง พวกเค้าคู่รักวัยผู้ใหญ่ที่คบๆเลิกๆกันมาหลายครั้ง โดยช่วงปีแรกๆ ฝ่ายชายแสดงตัวชัดเจนว่าไม่ต้องการความสัมพันธ์จริงจังผูกมัดตัวเอง เขาเคยออกปากเตือนด้วยซ้ำว่า นี่คือเกมรักที่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ยิ่งทำท่าผลักไสมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นความท้าทายให้เธอคอยไล่ตาม





  • Carrie ตามไป Big  ไปที่โบสถ์วันอาทิตย์เพื่อบีบให้เขาแนะนำเธอกับแม่ในฐานะแฟนสาว  แต่เขาแสดงความหงุดหงิดและต่อว่าเธออย่างไม่ไว้หน้า เมื่อจำใจต้องแนะนำCarrie  กับแม่เธอเป็นเพียงเพื่อน  
  • พฤติกรรมยากจะคาดเดาของ Big ยิ่งทำให้ Carrie หลงไหลและหมกมุ่นที่จะเอาชนะใจเขาให้ยอมรับว่าเธอคือสิ่งสำคัญที่สุด   แม้เขาจะเคยผิดคำพูด หรือปั่นหัวเธอด้วยคำหวาน แล้วผลักไสเธอออกมาหลายครั้ง  แต่เธอไม่ไม่เคยตัดใจได้เลย    เมื่อใดที่เธอเริ่มจะ move on  เขาจะกลับมาทำให้จิตใจหวั่นไหว
  • Big มักเป็นฝ่ายกุมอำนาจการตัดสินใจในความสัมพันธ์    Carrie ยอมรับกับMirandaว่า เวลาที่อยู่ด้วยกัน  เธอไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้  เธอต้องถึงกับต้องประดิษฐ์กิริยาท่าทางเพื่อทำให้เขาประทับใจ และมันก็ทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย   ในขณะที่มันไม่เกิดขึ้นตอนคบหากับคนอื่น เธอเคยรู้สึกอึดอัดเมื่อแฟนหนุ่มเอาอกเอาใจ หรือแม้กระทั่งเหวี่ยงใส่ทั้งๆที่อีกฝ่ายพยายามช่วยเหลือตอนที่มีปัญหา   แต่ตอนที่อยู่กับ Big  สิ่งที่ทำให้เธอเกิดอาการ meltdown ได้คือตอนที่รู้ว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญมากเท่าที่เธอคาดหวัง
  • Big ปิดบังเธอเรื่องแผนการเดินทางไปแพรีส และบอก Carrieเมื่อกระชั้นชิดกับตารางเดินทาง  อะไรบางอย่างดลใจให้เธอสวมหมวกเบเรต์มาปรากฏตัวที่บ้านของเขาเพื่อประกาศว่าจะตามไปอยู่แพรีสด้วยกัน   เขาบอกปัดว่าต้องโยกย้ายไปเพราะงาน และเธอไม่ควรจะทุ่มเทถึงขนาดติดตามเขาไป   ด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง เธอจึงจบความสัมพันธ์ตรงนั้น (หลังจากปาเบเรต์ใส่เขา) และต้องเจ็บปวดแทบกระอักในอีกหลายเดือนต่อมาเมื่อรู้ว่า ชายในดวงใจที่ไม่ต้องการผูกมัดตัวเองกับเธอเดินทางกลับมาพร้อมกับคู่หมั้นสาวเอ๊าะ


ยังมี 'สัญญาณอันตราย' (red flag) จากความสัมพันธ์หลายอย่างที่ถูกยกมาเป็นตัวอย่างที่ควรหลีกเลี่ยง แม้ว่าฝ่ายชายจะแสดงความรักร้อนแรงและทำให้สั่นไหวด้วยความ romantic ขนาดไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ใด้ปฏิบัติต่อเธอด้วยความจริงใจและนับถือ แม้แต่ผู้จัด Darren Starr ที่ยอมรับว่า ไม่อยากให้ Carrie ลงเอยกับ Big แท้จริงแล้วเขามองว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเสาะหาชีวิตที่มีความสุขด้วยการแต่งงาน แต่ในที่สุดซีรีส์ก็ต้องปิดฉากด้วย happy ending ตามประเพณีนิยมของ romantic comedy แบบเดิมๆซึ่งเขามองว่าเปรียบเหมือนการหักหลังจุดมุ่งหมายเดิมของการเริ่มต้นสร้างซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมา

Candace Bushnell นักประพันธ์นิยายต้นแบบของซีรีส์เป็นอีกคนที่มห้ความเห็นว่า หากเป็นชีวิตจริง CarrieและBigคงไมได้ลงเอยด้วยกันอย่างสุขสมหวัง แต่เพราะซีรีส์โด่งดังมากทำให้ผู้ชมอินกับเรื่องราวความรักของทั้งคู่ คล้ายกับMr. Darcy และ Elizabeth Bennet แห่ง Pride and Prejudice




 
แม้ Sex And The City จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องพฤติกรรมชวนเหวอของตัวละครมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังมีอีกหลายโมเมนท์ที่สร้างพลังงานด้านบวกที่ตราตรึงใจผู้ชมด้วยพัฒนาการของเพื่อนสาวทั้งสี่คน มีใครบ้างล่ะที่เลิศเลอไปหมดราวกับนักบุญ? สิ่งสำคัญคือ พวกเธอได้เรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อค้นหาความสุขที่แท้จริง คนที่เคยแสดงนิสัยชวนหมั่นไส้ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าชื่นชม

ล่าสุด ผลงาน reboot ที่นำเสนอชีวิตของสามสาวที่ก้าวเข้าสู่วัยหลัก 5 (ขาด Samantha เนื่องจากความขัดแย้งของนักแสดงนำที่กลายเป็นดราม่าทางสื่อ) ก็ยังดึงดูดความสนใจจากบรรดาสื่อที่เกาะติดภาพจากกองถ่ายแบบกระแสไม่ตก ว่ากันว่า ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป จากที่ Carrieเคยเขียนคอลัมน์ให้กับสื่อดัง เธอก็ได้หันมาจัดรายการ Podcast ! ส่วนเพื่อนๆอีกสองคนก็ลูกเต้าโตจนเป็นวัยทีนแล้ว มีผู้แสดงความคาดหวังว่า นักเขียนบทจะปรับพล็อทเรื่องบางอย่างที่ถูกโจมตีว่าล้าสมัยให้เข้ากับสังคมโลกเสรียุคใหม่มากขึ้น นอกจากจะทำให้แฟนๆอินกับเรื่องราวชีวิตคนเมืองที่ยุ่งเหยิงแล้ว Sex And The City เคยฝากแง่คิดที่น่าสนใจให้พวกเราเรียนรู้หลายแง่มุม ส่วนซีรีส์ภาคต่ออย่าง And Just Like That... จะมีพัฒนาการโดนใจแฟนๆยุค 2020s หรือไม่ เราต้องไม่พลาดตามพิสูจน์แน่นอน!

The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE