เทรนด์ที่ถูกมองว่าฉาวสุดๆจากอดีตถึงปัจจุบัน
candy 49 14หลายคนคงเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้หญิงตะวันตกมีความโดดเด่นจากแนวคิดหัวก้าวหน้าที่เชิดชูเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ หนึ่งในความเคลื่อนไหวกลายมาเป็นประเด็นต้องถกเถียงกันมาหลายครั้งคือ การรณรงค์ให้ยุติการตีราคาและคุณค่าของบุคคลจากตัวเลือกในการแต่งกาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่มาในชุดที่เปิดเผยสัดส่วนร่างกายที่มักจะต้องผจญกับอคติจากสังคมในรูปแบบของ slut-shaming ในขณะแฟชั่นโชว์เนื้อหนังของผู้ชายจะรอดพ้นจากเสียงโจมตีเรื่องศีลธรรมจรรยา
แต่กว่าจะเลือกสวยด้วยแฟชั่นได้ตามใจปรารถนา บรรพบุรุษของผู้หญิงตะวันตกก็ต้องต่อสู้อย่างเต็มที่ ความเปลี่ยนแปลงของค่านิยมสังคมในประเทศมหาอำนาจที่ตีตราคุณค่าของเพศหญิงจากเสื้อผ้าอาภรณ์จะเป็นเช่นไร ลองมาพิสูจน์กันจากวิวัฒนาการของแฟชั่นสุดฉาวในแต่ละยุคได้เลยค่ะ
เปรียบเทียบเทรนด์เผยเนื้อหนังในยุค1900s และยุคโมเดิร์น
Victorian
การโชว์ข้อเท้าถือว่าeroticเกินรับได้
หากคุณเป็นแฟนนิยายจีนโบราณ อาจจะพบกับประโยคชื่นชมความงามของเท้าเล็กขาวเนียนของหญิงสาวที่ทำให้ผู้ชายต้องใจเต้น และอาจจะบางคนทำให้เกิดข้อข้องใจเกี่ยวกับความรัญจวญใจของอวัยวะล่างสุด เพราะถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ หากไปพรรณนาเรื่องเท้าสุดแสน sexyให้ใครฟัง ก็อาจจะได้รับคำถามว่าเป็นพวก foot fetish ก็เป็นได้
เมื่อข้ามฝั่งไปยุโรปยุค Victorian เมื่อผู้หญิงเผยให้ผู้อื่นได้เห็นข้อเท้าถือนั้นถือเป็นเรื่องที่บัดสี หรือไม่รักนวลสงวนตัว ซึ่งความเชื่อนี้มีความน่าแปลกใจไ่น้อย เพราะมีภาพวาดหลักฐานปรากฏว่า ในยุคก่อนนั้น เหล่าแฟชั่นนิสต้ายังนิยมยกชายกระโปรงเพราะเกรงว่าชายของชุดจะระพื้นจนสกปรก แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเหล่าเลดี้ยกชายกระโปรงจนทำให้เห็นข้อเท้าเพียงรำไร ก็อาจจะถูกมองว่ากำลังยั่วยวน ตามที่ได้มีคำบรรยายปรากฏในนวนิยายclassic หลายเรื่องที่นักประพันธ์หลายคนได้บรรยายผู้หญิงที่เผยให้คนอื่นได้เห็นข้อเท้าด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นว่ามีขาดความเป็นกุลสตรีที่สูงส่งดีงาม
การวัดความเป็นเลดี้ด้วยชุดยาวปกคลุมเรียวขานั้นถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติข้ามศตวรรษ และหากใจกล้าเปิดเผยให้ใครเห็นข้อเท้า ก็จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักเต้นในโรงละครOpera หรือนางเอกละครเวทีที่ถูกจิกกัดว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกินที่ต้องดึงดูดสนใจด้วยการเปิดเผยสัดส่วนที่ควรสงวนไว้
นักบัลเลต์สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมชนด้วยศิลปะการเต้นที่อ่อนช้อย แต่อาจจะถูกพูดถึงด้วยน้ำเสียงไม่ให้เกียรติ เนื่องจากจะต้องแต่งกายเปิดเผยช่วงล่างและยกขาสอดคล้องกับจังหวะดนตรี ซึ่งไม่ใช่ลักษณะกิริยาแบบผู้ดีที่สังคมยกย่อง แม้จะสร้างชื่อเสียงโด่งดังจนมีแฟนๆหลงเสน่ห์มากมายก็ตาม
หากคุณสงสัยถึงเหตุผลที่ข้อเท้าได้กลายเป็นอวัยวะที่ทำให้สุภาพบุรุษเกิดอาการ 'ใจเกเร' ทั้งๆที่แฟชั่นคว้าคอลึกเผยหัวไหล่และเนินอกไม่ได้เป็นสิ่งที่สวนทางกับค่านิยมสังคม (แม้แต่ Queen Victoria ก็ทรงอินกับแฟชั่นนี้เช่นกัน) ก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ข้อเท้าคือสัญญาณกระตุ้นให้เพศชายเกิด 'จินตนาการ' จนเตลิดเปิดเปิงไปถึงส่วนอื่นที่ซ่อนภายใต้ร่มผ้า
แต่พอขึ้นศตวรรษใหม่ ข้อเท้ากลายเป็นมาตรฐานวัดความงามของหญิงสาว
สตรีจากชนชั้นต่างๆไม่จำเป็นต้องใส่ชุดลากกวาดสิ่งสกปรกตามพื้นอีกต่อไป มีการจัดประกวด 'นางงามข้อเท้าสวย' ในอังกฤษมาตั้งแต่ช่วง 1920s ยาวติดต่อกันจนเสื่อมความนิยมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
Victorian: ผู้หญิงใส่กางเกงถูกประนามอย่างรุนแรง
เมื่อจินตนาการถึงสตรีชนชั้นแรงงานที่ขาดโอกาสในการพัฒนาชีวิตและต้องทุ่มเททำงานหนักในสภาพแวดล้อมย่ำแย่เพื่อเงินเพียงน้อยนิดก็รู้สึกแย่แทนแล้ว แต่เหล่าแรงงานหญิงในเหมืองที่ประยุกต์การใส่กางเกงไว้ใต้กระโปรงที่ดูเทอะทะเพื่อช่วยเหลือการเคลื่อนไหวให้คล่องตัวมากขึ้นกลับถูกสื่ออังกฤษโจมตีอย่างหนัก ทั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกไร้ศีลธรรมจรรยา หรือแม้กระทั่งเปรียบว่าเป็นพฤติกรรมที่เลวร้ายดุจผีห่าซาตานสิง!
เฟมินิสต์ชาวอเมริกันที่ปลดปล่อยตัวเองจากกระโปรงยาวลากพื้น แต่ถูกพิพากษาว่าแสดงความเสื่อมทรามทางศีลธรรม
การใส่กางเกงของผู้หญิงในยุคนี้คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นกางเกง เพราะยังต้องใส่ไว้ภายใต้ชุดประโปรง ดังที่ได้เห็นจากภาพของ Elizabeth Smith Miller สตรีชาวอเมริกันที่จุดประกายความเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมด้วยชุดที่ถูกขนานนามว่า 'freedom dress' เพื่อปลกดเปลื้องพันธนาการของผู้หญิงในยุคนี้ที่ต้องทรมานกับแฟชั่นที่ทั้งหนาหนักและรัดแน่นซึ่งเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ทั้งยังมีรายงานว่า ผู้หญิงหลายคนต้องพบกับอุบัติเหตุในช่วงที่เทรนด์กระโปรงสุ่มได้รับความนิยมอย่างสูง ทั้งสะดุดล้ม อึดอัดจากการรัดคอร์เซ็ทจนหายใจไม่สะดวก ยิ่งต้องอยู่ใกล้ฟืนไฟก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต!
ผู้ที่ทำให้freedom dress สร้างกระแสฮือฮาขึ้นมาคือ Amelia Bloomer ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์สำหรับผู้หญิงเป็นครั้งแรก เธอได้ประกาศผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ของตัวเองว่า
"เสื้อผ้าอาภรณ์สตรีควรจะเข้ากับความต้องการและความจำเป็นของเธอ มันควรจะส่งเสริมสุขภาพ ความสบาย และการใช้งานนอกจากนั้นยังควรจะช่วยเรื่องการประดับประดับประดาร่างกายตามรสนิยมส่วนตัว"
เมื่อสตรีใจกล้าอีกหลายคนหันมาใส่ 'กางเกง' เหมือนกัน ไม่นานจากนั้น เทรนด์นี้ก็กลายเป็นกระแสฮือฮาในอเมริกา (ลุคนี้ถูกเรียกอีกอย่างว่า bloomers คล้องจองกับนามสกุลของเธอ) มีการจัดเทศกาล งานball และpicnicสังสรรค์ในธีม bloomers ชื่อเสียงของเทรนด์ที่แสดงถึงเสรีของเพศหญิงนั้นเลื่องลือไปไกลถึงอังกฤษและออสเตรเลีย ทำให้เฟมินิสท์บางคนหันมาใส่กางเกงเช่นเดียวกัน
ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับ 'ชุดแห่งเสรี': ถูกสังคมชายเป็นใหญ่boycott
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้หญิงที่เลือกฉีกกรอบจากแนวคิดดั้งเดิมเพื่อแสดงจุดยืนในการปกป้องสิทธิที่จะใช้ชีวิตให้สะดวกสบายมากขึ้นโดยไม่มีชุดยาวกรุยกรายมาเป็นอุปสรรค จะถูกสื่อเย้ยหยันว่าเป็นพวกแปลกประหลาดที่แหกหอกเพื่อเรียกร้องความสนใจ พวกเธออาจจะนัดหมายกันเพื่อใส่ bloomers/freedom dress แต่ต้องเผชิฐกับการคุกคามจากผู้สัญจรร่วมถนน สตรีชนชั้นสูงถูกประมุขในตระกูลบีบบังคับให้เลือกแต่งตัวเช่นนี้ หรือถูกขู่ว่า หากยังสร้างความขายหน้าด้วยการใส่กางเกงต่อไป ผู้ชายในตระกูลอาจจะถูกสังคม boycott ไปด้วย
ผู้หญิงใส่กางเกงยังถูกต่อต้านอีกนาน จนกระทั่ง superstar ยุค1930s ได้สร้างจุดเปลี่ยน
นับตั้งแต่เทรนด์ freedom dress ได้จุดประกายให้ผู้หญิงพยายามไขว่คว้าหาเสรีภาพในการแต่งกายตามใจปรารถนา กางเกงก็ยังเป็นแฟชั่นที่ดูอื้อฉาวสำหรับผู้หญิงมาอีกหลายสิบปี จนกระทั่งถึงยุคทองฮอลลีวู้ดที่เหล่านางเอกชั้นนำมักจะถูกบรรยายถึงความงามเลิศล้ำและแรงดึงดูดทางเพศไร้ขีดจำกัด ก็เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กางเกงกลายเป็นแฟชั่นที่ผู้หญิงเข้าถึงได้โดยไม่ต้องถูกพิพากษาอีกต่อไป
Katharine Hepburn นางเอกในตำนานที่โดดเด่นด้วยบุคลิกแบบหัวขบถ ไม่เพียงแต่ในฉากหนัง เธอยังเลือกใส่กางเกงในชีวิตประจำวันแบบไม่แคร์สื่อ แม้ผู้หลักผู้ใหญ่จะขอร้องให้เธอใส่กระโปรงเมื่อต้องปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น แต่เธอยืนหยัดด้วยการประท้วงที่หลายคนคงคาดไม่ถึง!
มีรายงานว่า ขณะที่เซ็นสัญญากับ RKO ที่เล็งเห็นว่า Katharine มีภาพลักษณ์ที่ 'มาดแมน' เกินเหตุ ไม่เข้ากับ beauty standards ของนางเอกชื่อดังร่วมวงการ จึงบังคับให้เธอใส่เดรสและยึดกางเกงjeans ที่เธอโปรดปรานไป เมื่อเจอวิธีแบบเผด็จการ เธอจึงรับไม่ได้ และเชิดใส่ชุดที่สตูดิโอหยิบยื่นให้ เธอเดินทั่วกองถ่ายโดยใส่แค่เพียงกางเกงชั้นในเพื่อประท้วง จนกระทั่งได้รับกางเกงกลับคืนมาใส่ในที่สุด
ในปี 1939 VOGUE อเมริกันได้ตีพิมพ์ภาพนางแบบสวมใส่กางเกงขึ้นปกเป็นครั้งแรก และประกาศว่า ผู้หญิงใส่กางเกงได้กลายมาเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ สามารถเสาะหามาใส่ให้เข้ากับหลายกาลเทศะ เช่น เล่นกอล์ฟ ไปชายหาด และนั่งเรือเล็ก
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองมาเยือน แนวคิดในแง่ลบต่อผู้หญิงใส่กางเกงเริ่มลดน้อยลงไป จากสถานการณ์อันยากลำบากที่บีบบังคับให้ผู้หญิงที่เคยดูแลบ้านเรือนต้องออกมาทำงาน แฟชั่นกางเกงจึงกลายเป็นไอเท็มมีคุณค่าเพราะช่วยเรื่องความคล่องตัว สวมใส่สบายไร้กังวล ที่สำคัญ ยังดีต่อสุขภาพและปลอดภัยกว่าในสถานที่ทำงานที่มีข้อจำกัด หากผู้หญิงที่ต้องใช้แรงงานในฟาร์มหรือโรงงานยังต้องถูกบีบบังคับให้ใส่กระโปรง อาจจะเกิดอุบัติเหตุตามมา
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองมาเยือน แนวคิดในแง่ลบต่อผู้หญิงใส่กางเกงเริ่มลดน้อยลงไป จากสถานการณ์อันยากลำบากที่บีบบังคับให้ผู้หญิงที่เคยดูแลบ้านเรือนต้องออกมาทำงาน แฟชั่นกางเกงจึงกลายเป็นไอเท็มมีคุณค่าเพราะช่วยเรื่องความคล่องตัว สวมใส่สบายไร้กังวล ที่สำคัญ ยังดีต่อสุขภาพและปลอดภัยกว่าในสถานที่ทำงานที่มีข้อจำกัด หากผู้หญิงที่ต้องใช้แรงงานในฟาร์มหรือโรงงานยังต้องถูกบีบบังคับให้ใส่กระโปรง อาจจะเกิดอุบัติเหตุตามมา
Edwardian -1920s
ชุดว่ายน้ำวันพีซที่ทำให้ผู้หญิงถูกตำรวจจับ
ราวๆหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีกฏหมายควบคุมการแต่งกายที่เผยสัดส่วนอย่างเคร่งครัด แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปสู่ความเป้นโมเดิร์นทำให้ผู้หญิงปลายคนถวิลหาชุดว่ายน้ำที่ทั้งสวยงามและเหมาะสมกับการว่ายน้ำจริงๆ แต่ชุดที่ได้รับอนุญาตให้สวมใส่ที่ชายหาด กลับเป็นชุดกระโปรงระดับเข่า และยังต้องใส่กางเกงและถุงเท้า ส่วนชุดวันพีซรัดรูปที่ได้รับอิทธิพลมาจากAnnette Kellermanนักว่ายน้ำชื่อดังชาวออสซี่นั้นถูกแบนในหลายรัฐที่อเมริกา หาฝ่าฝืนกฎก็อาจจะถูกจับกุมข้อหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล
มีรายงานว่า ในยุค 1920s ผู้หญิงจำนวนมากถูกปรับและจับกุมเพราะสวมใส่ชุดว่ายที่รัดรูปและเปิดเผยเรียวขา จนเมื่อขึ้นทศวรรษใหม่ เทรนด์นี้จึงเป็นที่ยอมรับได้ แต่ยังเป้นชุดที่มีความยาวระดับกางเกงขาสั้น หรือชุดว่ายน้ำแบบกระโปรง ไม่ได้เว้าเข้าไปลึกเหมือนกับชุดที่พวกเราคุ้นเคยกันในปัจจุบันนี้
เมื่อพูดถึงชุดว่ายน้ำในยุค 1930s ที่ได้ยอมรับให้ผู้หญิงใส่ชุดรัดรุปโชว์ขาได้แล้ว เรานึกภาพของ Keira Knightley ที่รับบทสาวไฮโซสุดเปรี้ยว สำหรับยุคนั้น ชุดว่ายน้ำของเธอเปิดเผยเนื้อหนังมากไม่แพ้ดารา Hollywood เลย
ทุกวันนี้ เทรนด์ชุดว่ายน้ำที่นิยมในหมู่คนดังและinfluencer ทำให้เชื่อว่า เนื้อผ้าจะดูน้อยลงไปเรื่อยๆ
The Flappers
ปลดแอกจากพันธนาการที่ส่งต่อกันข้ามศตวรรษ
วิวัฒนาการของแฟชั่นจากประวัติศาสตร์ได้สะท้อน beauty standard ที่สืบทอดกันมายาวนานยากจะเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงามของร่างกายผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเปรยกับสัดส่วนเทพี Venus หรือนาฬิกาทราย ผู้หญิงมักจะต้องหมกมุ่นเพื่อจะทำทุกวิถีทางให้เอวดูคอดกิ่ว ส่วนหน้าอกและสะโพกจะต้องกลมกลึงดึงดูดสายตา แม้จะต้องพึ่งพาไอเท็มที่ไม่ healthy อย่าง corset หรือการใส่กระโปรงสุ่มที่เคลื่อนไหวลำบาก
แต่หนึ่งในความเคลื่อนไหวทางแฟชั่นที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็คือเหล่าสาวๆ flappers นั่นเอง
ที่จริงแล้วคำนี้เคยใช้เป็นslang ที่มีความหมายที่ไม่ดึงดูดใจนัก เพราะเคยใช้เรียกหญิงบริการมาก่อน แต่เมื่อถึงยุค 1920s flappers คือกลุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ก้าวออกมาจากกรอบอนุรักษ์นิยม พวกเธอเลิฟการสังสรรค์ แต่งหน้าเข้ม และดูมาดมั่นกับแฟชั่นที่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป ในขณะที่ผู้หญิงในยุค Edwardian ไม่กี่ปีก่อนหน้ายังยึดมั่นกับการไว้ผมยาวเหยียดและชุดกรุยกราย เหล่า Flappers ได้สะบัดบ็อบสั้น เต้นรำเพลงแจ๊ซในชุดสั้นระดับเข่า และในช่วงเวลานั้น มันเป็นสิ่งที่'แรง'สุดๆ
ผู้หลักผู้ใหญ่คงไม่เก็ทเหล่า flappers นัก ชุดที่หั่นความยาวออกให้ใครๆเห็นน่องนั้นถูกเปรียบว่าดูกึ่งเปลือย แต่อิทธิพลของนักแสดงหนังเงียบและละครเวทีก็กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญให้ผู้คนหันมายอมรับความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม fitting เสื้อผ้าที่นำเสนอโครงสร้างตรงๆ ไม่เว้าโค้ง ได้เรียกเสียงวิจารณ์ว่า ไร้เสน่ห์ทางเพศแบบผู้หญิง
ว่ากันว่าจากการแสดงออกที่ดูเท่าเทียมกับเพศชายผ่านแฟชั่นแบบ flappers ทำให้ผู้นิยมแนวคิดชายเป็นใหญ่ไม่พอใจ ทั้งตัดผมสั้น เดรสและชุดชั้นในที่ทำให้รูปร่างดูตรงและราบเรียบ พวกเธอสนุกสนานกับการเข้าสังคมในพาร์ตี้ย์ยามค่ำคืน กินเหล้าสูบบุหรี่ไม่ต่างจากสโมสรสุภาพบุรุษ
ว่ากันว่าจากการแสดงออกที่ดูเท่าเทียมกับเพศชายผ่านแฟชั่นแบบ flappers ทำให้ผู้นิยมแนวคิดชายเป็นใหญ่ไม่พอใจ ทั้งตัดผมสั้น เดรสและชุดชั้นในที่ทำให้รูปร่างดูตรงและราบเรียบ พวกเธอสนุกสนานกับการเข้าสังคมในพาร์ตี้ย์ยามค่ำคืน กินเหล้าสูบบุหรี่ไม่ต่างจากสโมสรสุภาพบุรุษ
La Garçonne
ที่อเมริกามี flappers ที่ฝรั่งเศสก็มี Garçonne look หรือสไตล์แบบ boyish ของสุภาพสตรีนั่นเอง
Coco Chanel เป็นหนึ่งในสตรีหัวก้าวหน้าที่ร่วมบุกเบิกสไตล์นี้ เธอออกแบบสูท และใส่เสื้อผ้าที่ดู oversized เป็นทรงตรง และให้ความสำคัญกับการใช้งาน หลังจากที่ประจักษ์ต่อสถานการณ์ที่ยากลำบากช่วงหลังสงคราม คงไม่น่าแปลกใจที่เธอใส่กางเกงตั้งแต่ที่ยังเป็นสาวๆ (เล่าลือว่าเธอยืมกางเกงแฟนหนุ่มมาใส่หลายครั้ง)
อีกหนึ่งดีไซน์ของ Coco Chanel ดีไซน์เนอร์หัวก้าวหน้าที่สร้างสรรค์ LBD ขึ้นมาในยุคนี้ ซึ่งชุดที่มีsilhouette และมีสีดำที่เรียบง่ายนั้นกลับเป็น normสำคัญที่พลิกประวัติศาสตร์แฟชั่น จากที่ถูกมองว่าเป็นสีไว้ทุกข์และได้รับความนิยมในหมู่สามัญชน กลับเริ่มดึงดูดใจเหล่าผู้คนทุกชนชั้น และกลายมาเป็นชุดclassic ที่ผู้หญิงควรจะมีแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าเสมอ
1960s
Shockwave ที่เปลี่ยนแปลงโลกแฟชั่น
ร้อยปีก่อนหน้า ข้อเท้าของผู้หญิงอาจจะทำให้พวกเธอถูกติฉินนินทา แต่เมื่อแทรนด์ miniskirt ได้สร้างปรากฏการณ์ในยุค 60s ดูเหมือนว่า แฟชั่นจะไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป แม้กระโปรงสั้นที่ยาวยาวสูงขึ้นไปจากหัวเข่าจะปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์แฟชั่น แต่มันยังไม่ได้มีชื่อน่ารักสมตัวอย่างเป็นทางการและสร้างความนิยมล้นหลามเหมือนกับยุคนี้ ร้านเสื้อผ้าต้องติดป้ายประกาศรับแก้ไขความยาวกระโปรงให้สั้นได้ใจคุณลูกค้า และหากไม่หามาใส่บ้างก็อาจจะถูกมองว่าตกเทรนด์ไม่เข้าพวก ยิ่งนานไป กระโปรงก็ยิ่งหดสั้นขึ้น เป็นจุดกำเนิดของ microskirt ที่มีความยาวแทบจะชิดเป้า
เมื่อผู้หญิงเรียกร้องความเสมอภาคจากสิทธิในการใส่ miniskirt
ในบางประเทศแถบยุโรปพยายามแบนminiskirt ด้วยการยืนยันเหตุผลว่า 'เป็นการแต่งกายที่เชิญชวนผู้ร้ายข่มขืน' ( classic victim blaming) ทำให้สาวๆต้องออกมาเรียกร้องสิทธิในการแต่งกายได้อย่างเสรี
หนึ่งใน scandal ข้ามชาติจาก miniskirt นั่นคือชุดของนางแบบชื่อดัง Jean Shrimpton ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมโชว์ตัวในการแข่งขันขี่ม้าระดับชาติที่ออสเตรเลีย แต่ด้วยสภาพอากาศและความคุ้นชินกับเทรนด์ที่อินไปทั่วลอนดอน เธอได้เลือกเดรสสั้นสีขาวเดินเข้างานอย่างมาดมั่น เธอไม่ได้ใส่หมวก ถุงมือ และถุงน่องตามธรรมเนียมของผู้เข้าชมการแข่งขัน ท่ามกลางฝูงชนที่จ้องมองเธอไม่หยุดมีทั้งความช็อคและเสียงผิวปากร้องเรียกแซวจากชายอารมณ์คึก ส่วนผู้หญิงก็เยาะเย้ยถากถางทั้งคำพูดและสายตา ช่างภาพพยายามหามุมกล้องที่ทำให้ชุดของเธอยิ่งดูสั้นกว่าเดิม
สื่อออสซี่โจมตี Jean อย่างหนักว่าเป็นถึงนางแบบค่าตัวสูงที่สุด แต่กลับไม่ให้เกียรติงานทางการด้วยชุดสั้นเหนือเข่าไปห้านิ้ว และยังขาดถุงน่อง ถุงมือและหมวก ในขณะที่สื่ออังกฤษหลายเจ้าปกป้องเธออย่างเต็มที่และโต้กลับว่า miniskirt กลายเป็นเทรนด์ดังมาได้สักพักในอังกฤษแล้ว เหล่าผู้ดีออสซี่ในงานต่างหากที่แต่งตัวเฉิ่มเชย (London Evening News เปรียบเทียบว่า Jeanงามราวกับดอกพิทูเนียท่ามกลางไร่หอมใหญ่!)
ลองมาชมลุคของ Charli XCXที่ใส่miniskirtไปเดินพรมแดงที่ซิดนีย์สิคะ บางคนแซวว่านั่นประดปรงหรือเข็มขัด! แต่พวกเราต่างก็ยอมรับว่า สมัยนี้เป็นเรื่องปกติสุดๆที่จะได้เห็นสาวคนดังใส่สั้นเผยแก้มก้น
ยุคโมเดิร์น
The Naked Dress
miniskirtอาจจะทำให้ออสเตรเลียต้องตกตะลึงในยุค 60s แต่ย้อนไปก่อนหน้าเดรสผ้ามัสลินที่แนบเนื้อและผ่าให้เห็นขารำไรนี้ทำให้ผู้คนฝนนครแพรีสยุค1900sต้องโจษจัน หากยุคนั้นมี social media ลุคของนางแบบสามสาวจะต้องกลายเป็น viral แน่ๆ! สื่อฝรั่งเศสวิพากษ์ว่า แฟชั่นของพวกเธอโป๊จนน่าสะพรึง ดูกึ่งเปลือย แต่สำหรับผู้คนยุคโมเดิร์น อาจจะคิดว่านี่เป็นbodyconที่เพิ่มความรุ่มร่ามเข้าไปเท่านั้น
ก้าวมายังยุคใหม่ naked dress ก็ยังเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจผู้คนได้เสมอ ดีไซน์เนอร์จากห้องเสื้อชั้นสูงหลายแบรนด์มักจะเผยทีเด็ดจากสารพัดผลงานที่เผยความเปลือยด้วยหลากหลายแนว
แม้นี่จะไม่ใช่แฟชั่นที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน แต่เป็นถูกนำเสนอบนงานพรมแดง และsocial mediaที่ทำให้ผู้คนเป็นล้านๆทั่วโลกได้ประจักษ์
แม้จะเห็น naked dress มามากมายหลายครั้ง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ดีไซน์ที่ดูเปลือยเปล่านี้จะครองพื้นที่สื่อ และถูกจับมาเล่าขานกันต่อไปเรื่อยๆจนกลายเป็นลุคในความทรงจำของผู้คน อย่างไรก็ตาม นี่คงไม่ใช่street style ในอุดมคติ จะเป็นเพราะอะไรนั้น...
ลองมาชมการทดลองของ The Sun ที่ดึงตัวนางแบบมาใส่ naked dress แบบที่พวกเราเคยเห็นจากงานพรมแดงแล้วเดินไปตามLondon Bridge และแม้ว่าเธอจะทำใจมาแล้ว ก็ยังรู้สึกกดดัน มีผู้ชายโพสถ่ายรูปโดยมีฉากหลังเป็นบั้นท้ายของเธอ และนักท่องเที่ยวที่ขอselfie ด้วยเยอะแยะไปหมด
เธอได้รับคอมเมนท์หลากหลายจากผู้คนที่สัญจรไปมา ทั้งติเตียนด้วยอคติ และชื่นชมในความกล้า มีผู้ที่บอกกับเธอว่า ผู้หญิงควรจะใส่อะไรก็ได้ตามที่พวกเธอต้องการ แต่ก็มีอีกสายตาที่จ้องมองอย่างหื่นกระหาย และเห็นเป็นเรื่องตลก
สำหรับตัวนางแบบที่ได้ทดลองใส่naked dress ในที่สาธารณชน เธอขอโบกธงยอมแพ้ แต่หากเป็นงานพรมแดง หากชุดนี้มีดีไซน์ปิดบังอีกนิด ก็เป็นไปได้ที่เธอจะใส่naked dressอย่างมั่นใจขึ้น
จากชุดยาวปิดข้อเท้าในยุค Victorian ก้าวมาถึง naked dress ที่ตำรวจไม่คอยมาตามเอาผิด ก็ยืนยันชัดเจนว่า พวกเรามาไกลกันจริงๆ
The End