Share - วิธีกู้ผิวที่พังบอบบางแพ้ง่ายจาก skin barrier ที่ถูกทำลาย
Na-nacha
52
27
ช่วงที่ผ่านมาอยู่ๆผิวเราก็พังไปแบบงงๆ จากคนผิวผสมค่อยไปทางมัน
อยู่ดีๆ กลายเป็นผิวแห้งแบบ แห้งสนิท ลอกเป็นขุย เรียกว่าเป็นเกร็ดเป็นแผ่นๆ เลย
ใช้อะไรก็แสบ แดง ตัวไหนที่เคยใช้ได้ก็ใช้ไม่ได้
เปลี่ยนสกินแคร์ชนิดที่ว่าแทบถอดใจ หมดเงินเป็นหมื่นแต่ไม่เห็นผลอะไรเลย แบบถอดใจสุด
จนในที่สุดเราเริ่มเปิดใจนั่งไล่ดูส่วนประกอบของครีมแต่ละตัว
เรียกว่าเหมือนคล่ำหาจุดเริ่มต้นของหายนะเลยทีเดียว
จากที่เราละลึกชาติไปว่าที่ผ่านมาเรามีพฤติกรรมใช้ skincare แบบไหนยังไงบ้าง
มันทำให้เราพบว่า การใช้ skincare หลายๆ ครั้งมันไปทำลาย skin barrier ของเรา
ประมาณว่า
- เลือกโฟมล้างหน้าที่รู้สึกว่าใช้แล้วไม่เหลือความมันบนใบหน้า
- ไม่ค่อยทากันแดด
- ใช้ skincare หลายๆ ตัวพร้อมกันโดยไม่ดู active ใดๆ เลย
สิ่งพวกนี้เราไม่ได้ทำแค่ 1-2 ปีแต่ทำมาเกือบตลอดทั้งชีวิต
เรียกว่า 10 ปี+ ได้เลยจ้าา ไม่แปลกเลยที่ผิวมันจะแหก
สิ่งที่ต้องหยุดทำทันทีที่เกิดอาการพวกนี้คือ...
1. หยุดใช้ skincare ที่มี active แรงๆ เช่น วิตามิน A, C กลุ่มผลัดเซลล์ผิว
หรือกลุ่มที่ใช้แล้วมีอาการแสบ
2. หยุดใช้ skincare พร้อมกันหลายๆ ตัว ลดเหลือเฉพาะตัวที่จำเป็นเท่านั้น
ใน 1 ครั้งของเราใช้แค่ Cleansing, Toner, Booster, Serum/Oil
ถ้าตอนเช้าก็จะเพิ่มเป็นกันแดด และงดทา Serum/Oil
ในรูปคือผิวปัจจุบันผิวเรายังคงแพ้ง่ายอยู่และมีความแดง แต่ไม่มีการลอกแล้ว
วันนี้เราเลยจะมาแชร์ skincare น่าลองไปตำ
รวมถึง Trick การเลือก skincare สำหรับผิวช่วงพังๆกันจ้าาา
หมวดแรกเป็น cleansing
เราใช้ของ cerave(สีเขียวหมดแบบไม่นับขวด), bioderma: Sensibio Gel Moussant,
smooth E baby face gel extra sensitive คือสลับไปหมดแล้วเปลี่ยน
3 ตัวนี้คือล้างแล้วหน้าไม่เอี้ยด มีความชุ่มชื่นอยู่บนผิว ถ้าแนะนำคือตัว carave
เพราะนางถูก แต่ถ้าเราชอบ คือ bioderma: Sensibio Gel Moussant
ด้วยความรู้สึกไปเองล้วนๆ ว่ามันอ่อนโยนสุด 55555 แต่ราคานางโหดแหละ
ประมาณ 600 บาท carave คือถูกกว่ามากกกก
หมวดที่ 2 คือพวก Booster หรือกลุ่มที่เติมน้ำให้ผิว
โดยเลือกเป็นตัวที่ไม่มี active ใดๆ แรงๆ เลย เราใช้ตัว vichy mineral 89
ตัวนี้เราใช้ตลอดใช้ประจำเพื่อไม่ให้หน้าขาดความชุ่มชื้น
ส่วน drunk elephant B-Hydra™ Intensive Hydration Serum
ตัวนี้มีสลับใช้บ้างบางที แต่เหมือนจะมีพวกสารสกัดตั่งๆ ใดๆ มาค่อนข้างเยอะ
เราเลยพักๆ ไปบ้าง ถ้าใครผิวไม่แพ้ง่ายก็แนะนำเลยเพราะมีส่วนประกอบ
น่าสนใจหลายตัวเลย จุดที่ต่างจาก vichy คือนอกจากเติมน้ำให้ผิวได้
จะยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ เพราะมี ceramide เป็นส่วนประกอบด้วย
แต่ว่าส่วนประกอบนี้มันไปอยู่ในรายการท้ายๆ แล้ว แสดงว่ามันมีค่อนข้างน้อย
เลยคิดว่ามันเสี่ยงให้แพ้มากกว่า เลยพักไว้ก่อน 55555
หมวดที่ 3 เป็นพวก serum, cream, oil
ที่สามารถช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
รวมถึงช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นด้วย
**ตามรายการด้านล่างพวกนี้เราสลับกันใช้นะ
ไม่ได้ใช้พร้อมๆ กันทีเดียว**
กลุ่ม serum/cream
ตัวที่เราใช้ประจำคือ yehwadam hwansaenggo serum สีม่วง จุดที่เราชอบคือ
มี niacinamide มาด้วยอยู่ในส่วนประกอบแรกๆ เลย คือใช้แล้วหน้าชุ่มชื้นมากกก
ไม่มีอาการแสบเลย แต่ส่วนประกอบอื่นๆ จะเป็นพวกสารสกัดต่างๆ ตามที่ค่อนข้างเยอะตามสูตรสารสกัดที่มีคุณค่าบลาๆๆๆ ของทางเกาหลี (อารมณ์มรดกตกทอดโสมพันปี)
เอาจริงๆ คือไม่สามารถรับประกับได้เลยว่าจะแพ้หรือไม่แพ้เพราะสารสกัดบางตัว
ก็ไม่ได้ถูกใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่สำหรับเราคือเราไม่แพ้ เราก็แฮปปี้ใช้ต่อ
ต่อที่ yehwadam hwansaenggo serum สีทอง ได้เทสเตอร์มา
ก็ลองซะ คือส่วนประกอบมันจะคล้ายๆ กัน ถ้าตัวใดตัวหนึ่งในไลน์นี้ใช้ได้
ก็คิดว่าตัวอื่นก็น่าจะได้ใช้เหมือนกัน ได้ผลลัพธ์เรื่องความชุ่มชื้นใกล้เคียงกัน
dr.jart+ cicapair calming gel cream
อันนี้คือเกร๋มากกก นางเป็นใบบัวบกปลอบปะโลมผิว มี niacinamide
เป็นส่วนประกอบแรกๆ ด้วย เรียกว่าเป็นตัวปรับสมดุลผิวที่ดีเลย
อีกตัวที่ชอบคือ hyaluron เป็นแบบ 7 capsules
สารภาพบาปเลยว่าจำยี่ห้อจำรุ่นไม่ได้ จำได้แค่ซื้อที่ watsons
คือมัน 7 วัน capsule ละวัน 7 วันเงินปลิวไป 1000+ เป็น capsule หลอดแก้ว
สีฟ้าๆ ดีค่ดๆ ใช้แล้วหน้าชุ่มชื้นจริงๆ แต่ราคาคือพักเท่านี้เลย
ถ้าไม่ติดเรื่องราคาก็จะใช้ต่อแหละ ใครนึกออกบอกได้นะมันคือยี่ห้ออะไร
ผลิตภัณฑ์อะไร คือ 7 วันชั้นจำบ่ดั้ยจริงๆ จำได้แค่ว่าดี วันที่ 3 คือขุยๆ ที่หน้าลดลง
**แวะมาแปะตามหลังจ้าาา พึ่งหาเจอ สรุปนางคือ
La Roche Posay Hyalu B5 Ampoules [1.8ml x 7pcs]
ต่อไปก็เป็นกลุ่ม oil
ที่เราเลือกใช้ Oil เพราะว่าในชั้นผิวหนังของคนเราปกติ
มันก็จะมีพวกไขมันอยู่แล้ว ช่วงที่หน้าแห้งก็เหมือนเป็นการเติมความชุ่มชื้น
ให้ผิวไปด้วย ตัวที่เราเคยใช้ คือ biossance 100% squalane oil
เพราะว่าตัว squalane นี้ปกติจะพบได้ในชั้นผิวหนังของเราอยู่แล้ว
เลยไม่น่าจะเกิดอาการระคายเคืองได้ แต่... นางมี retinyl palmitate มาด้วยจ้าาา
นอกนั้นยังมี BHA ตั่งๆ ใดๆ มาด้วย แต่มาในปริมาณที่น้อยนะ
เราชอบที่แบรนด์บอก % ที่ใส่แหละ ช่วงที่เราใช้ไม่แสบหน้านะแต่คิดว่าพักก่อนน่าจะดีกว่า
oil ล่าสุดที่เราใช้คือ clarins huile santal เป็น oil ที่สกัดจากธรรมชาติ
ส่วนประกอบคลีนๆ เรียบๆ ไม่มี active ใดๆ เลยใช้แล้วสบายใจ
ปกติเราใช้ตอนเช้าที่ต้องแต่งหน้ามันไม่ทำให้หน้ามันเท่า yehwadam บวกกับที่
มันไม่มี active ใดๆ เลยใช้กับตัวอื่นสบายใจดี
สุดท้ายคือ toner ใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็อาจจะดีกว่า
เรามี 2 ตัวคือ
clarin lotion tonique hydratante หลักๆ คือช่วยเติมน้ำให้ผิว
ใช้แล้วรู้สึกว่าผิวมันชุ่มชื้นขึ้นนิดนึง นิดแบบนิดจริงๆ
แต่ส่วนประกอบสารสกัดอื่นๆ ก็มีโอกาสทำให้แพ้เหมือนกัน
เพราะงั้นถ้าผิวแข็งแรงขึ้นก็ค่อยใช้จะดีกว่า
round lab 1025 dokdo toner(ขวดกลางรูปด้านบนสุด)
ส่วนประกอบคล้ายอันแรกเลย แต่ส่วนประกอบน้อยกว่าแบบมากๆๆๆ
แทบจะครึ่งๆ คือตัดพวกสารสกัดตั่งๆจากตัวแรกออกไป
รวมถึงตัวที่ใช้ดึงความชุ่มชื้เข้าสู่ผิวด้วย
คือใช้แล้วโอกาสแพ้น้อยกว่าแน่ๆ แต่หน้าก็ชุ่มชื้นน้อยกว่ามากเหมือนกัน
ส่วน trick ในการเลือก skincare ของเราคือ
- อ่านส่วนประกอบก่อนเลย
- หยุด active แรงๆ แล้วไปโฟกัสที่ active เบาๆ แบรนด์ส่วนใหญ่ใช้ active
แค่ไม่กี่ตัว ช่วงนี้เราก็เน้นที่ Hyaluronic Acid, Niacinamide, Ceramide,
Glycerin
- เลี่ยง skincare ที่เป็นแบบ 1 ตัวแก้ได้ครบทุกปัญหา เพราะมันหมายถึง
เค้าต้องใช้ active หลายๆ ตัวใน 1 อันเพื่อแก้ปัญหาให้ครบ
- ใช้ skincare ให้น้อยที่สุดและตรงจุดประสงค์ที่สุด เพราะ active บางตัวใช้ร่วมกัน
ก็ไม่เป็นผลดี บางทีลดประสิทธิภาพด้วย
- เช็คพวกส่วนประกอบแอลกอฮอและน้ำหอม
ส่วนพาราแบน เราเคยถามหมอ หมอให้คำแนะนำเราว่ามันมีเปอร์เซ็นที่น้อยมากๆๆ
ที่คนจะแพ้ รวมถึงมันเป็นตัวที่ใช้กันอย่างแพ่หลาย ดังนั้นเราเลยไม่ได้สนใจ
เรื่องพาราเบนเท่าไร เพราะถึงแบรนด์ไม่ใส่ตัวนี้ก็ไปใช้สารกันเสียตัวอื่น
ที่ไม่รู้ว่าเราจะแพ้มากกว่ามั้ยด้วยซ้ำ