Red Flag สัญญาณอันตรายในความสัมพันธ์จากกรณีดราม่าคนดัง

50 16
 

  Red Flag    คำที่คุณมักได้พบจากข่าวฉาวเรื่องความสัมพันธ์ของคนดัง   ที่มาของมันคือพฤติกรรมบางประการที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่านี่คือสัญญาณอันตรายชี้ว่า   คุณอาจจะกำลังก้าวเข้าสู่วงจรแห่งความสัมพันธ์ toxic ที่ฝากรอยแผลอันเจ็บปวดใจ  





ผู้คนมากมายไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศหรืออยู่ในวัยใด ก็อาจประสบกับ red flag แบบจังๆมาแล้ว คุณอาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีกฎประจำตัวเพื่อใช้ 'มองคน' ให้ทะลุปรุโปร่ง อาจจะสังเกตถึงคนรอบตัวของคนรัก การปฏิบัติตัวกับคนรอบข้าง และการแน่นอนว่าจะต้องพิจารณาจากคำพูดและการกระทำที่เขาหรือเธอคนนั้นปฏิบัติกับตัวเราเอง

(Pete Davidson หวานใจคนล่าสุดของ Kim K เผยว่า หากคู่เดทแสดงกิริยาเย่อหยิ่งไม่ให้เกียรติพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร ก็จะหยุดความคิดจะไปต่อทันที)






แต่ก็มีผู้ที่เมินเฉยต่อสัญญาณเตือน เลือกฟังเสียงหัวใจว่าจะขอยอมเสี่ยงกับความรัก หรือยึดมั่นว่า จะต้องลองให้ได้รู้ หากมองไปรอบตัว คุณก็อาจจะกำลังรับมือกับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น ลองนึกถึงเพื่อนสาวที่โทรมาฟูมฟายถึงพฤติกรรมยอดแย่ของหนุ่มที่เธอหลงรัก แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เธอก็กลับไปหวานชื่นกับเขาราวกับไม่เคยโอดครวญกับดราม่าความสัมพันธ์มาก่อน


เมื่อปีก่อน Selena Gomez ได้สร้างเสียงฮือฮาในหมู่แฟนๆจากวีดีโอ TikTok ที่ลิปซิงค์คำพูดใครบางคนไว้ว่า

"เธอกำลังจะบอกกันว่า เธอส่องเวลาตกฟากของผู้ชายได้ แต่เธอกลับอ่าน red flags จากเขาไม่ออกเนี่ยนะ   คุณพี่คะ"



บางคนมองวีดีโอที่จิกกัดผู้หญิงที่ละเลย  red flag สไตล์เตือนกันตรงๆแบบเพือนสาวถึงเพื่อนสาว  แต่ก็มีผู้ที่ชี้ว่าเป็นตัว  Selena   เองไม่ใช่หรือไรที่ต้องทุกข์หนักเพราะไม่ยอมอ่าน red flag จาก  Justin Bieber   จนวนเวียนกลับไปคบหากันหลายครั้ง  จนในที่สุดก็แยกทางแบบจบไม่สวย       แม้แต่ตัวเธอเองก็ยอมรับว่า เธอไม่เคยรู้สึกเท่าเทียมกันกับอีกฝ่ายในความสัมพันธ์ที่ผ่านมา    อย่างไรก็ตาม  ก็ยังมีชาวเน็ทหลายคนที่เห็นพ้องต้องกันว่า  Selena  น่าจะนำประสบการณ์จริงของตัวเองมาเป็นมุกตลกล้อเลียนตัวเองแบบร้ายๆ  และเธอก็คงเรียนรู้เติบโตจากความสัมพันธ์ในอดีตจนให้ความสำคัญกับสัญญาณอันตรายพวกนี้แล้ว   



เมื่ออีกฝ่ายพยายามเปลี่ยนตัวคุณถึงขั้นที่บงการให้เปลี่ยนแปลงสไตล์การแต่งตัว



มีชาวเน็ทและสื่อจำนวนไม่น้อยที่แสดงความเชื่อมั่นว่า Kanye West เป็นเจ้าของเครดิตความสำเร็จของครอบครัว KarJenner ให้ก้าวข้ามภาพลักษณ์ดารา reality ที่ถูกเหยียดหยันว่าอยู่ในระดับ C Listed จากในอดีตที่สมาชิกครอบครัวนี้ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับอย่างอบอุ่นจากวงการ fashion ชั้นสูง และที่จริงแล้วมีข่าวลือหนาหูมาตลอดว่าพวกเค้าถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงความเลิศเลอแบบA Lister ซะด้วยซ้ำ แต่ความสำเร็จของครอบครัวนี้ก็พิสูจน์ได้ชัดเจนว่า พวกเค้าได้กลายมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ ยากจะหาใครมาแทนที่

เมื่อถามความรู้สึกของคนที่เคยใกล้ชิดที่สุดอย่าง Kim K แน่นอนว่าเธอได้แสดงความยกย่องเทิดทูน Kanye อย่างไม่กลัวเสียฟอร์ม แม้แต่หลังจากแยกทางไปกันไปแล้ว Kim ที่คว้ารางวัล fashion icon ก็แสดงความซาบซึ้งใจต่อ(ว่าที่)อดีตสามี จากการดึงเธอให้มาเป็นที่รู้จักในโลกที่ fashion ชั้นสูงที่ใครๆต่างเคยตั้งแง่กับเธอ เพียงระยะเวลาไม่นานนักหลังจากพบรักกับแร็พเพอร์ผู้อื้อฉาว Kimก็กลายเป็นที่ต้องการของเหล่าดีไซน์เนอร์แบรนด์ดัง เธอก้าวมาอยู่บนชั้นบนของพิระมิด แค่ตอบรับไปนั่ง front row ใน fashion show ก็สร้างกระแสฮือฮาจนเจ้าของผลงานยิ้มแก้มแตก จากที่เคยถูกเยาะเย้ยว่าต้องพึ่งบารมี Kanye เพื่อให้ได้รับเชิญไปร่วมเฉิดฉายใน Met Gala แต่เธอกลายมาเป็นศูนย์กลางความสนใจที่ใครๆค่างเฝ้ารอ แม้หลายปีก่อนจะมีข่าวว่า Anna Wintour ไม่ปลื้มบ้าน KarJenner แต่ในระยะเวลาหลายปีมานี้ พวกเธอก็ขึ้นปก Vogue มาแล้วหลายครั้ง

เมื่อพูดถึงความสำเร็จอย่างถล่มทลายด้านการงาน แน่นอนว่า Kim ยังต้องยกเครดิตให้ว่า Ye คือแรงผลักดันสำคัญ แต่ถ้าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ เจ้าตัวก็น้ำตาเช็ดหัวเข่ามามากเช่นกัน


คุณอาจจะจำเรื่องราวใน  Keeping Up With The Kardashians ที่ Kim  เผยว่า ต้องร่ำไห้เมื่อ Kanye พาสไตลิสท์มาสำรวจตู้เสื้อผ้าของเธอ แล้วสั่งให้โละแทบทุกอย่างทิ้งไปเพราะมันเป็นสิ่งที่ดู 'ghetto' (ดูไร้รสนิยมหรือ cheap)   แม้เธอจะรู้สึกขอบคุณที่ได้รับคำชี้แนะจากอัจฉริยะด้านfashion   แต่ก็เศร้าเสียใจที่ต้องโยนของงพวกนั้นทิ้งราวกับของไร้ค่า    ทั้งๆที่มันเป็นของแบรนด์เนมที่เธอสะสมไว้เป็นร้อยๆ   ในภายหลัง   Kim จึงเปิดเผยว่า เธอแอบเก็บรองเท้าบางส่วนไว้อย่างลับๆ   เพราะผูกพันกับพวกมันเกินกว่าจะทิ้งไป และต้องการจะรักษาไว้ให้ลูกสาวที่กำลังเติบโต

Deja Vu มีอยู่จริง หลังจากที่เลิกรากับ Kim K ไปแล้ว Ye ก็สร้างเสียงวิจารณ์เกรียวกราว หลายคนอาจจะเลิกคิ้วด้วยความสงวัยว่า 'เอาจริงรึ?' เพราะเมื่อเขาเปิดตัว Julia Fox แฟนสาวคนใหม่ที่คบกันได้ราวๆหนึ่งวัปดาห์ ก็ส่งข้อมูลเรื่องความสัมพันธ์ออกมาเป็นรูปแบบบทความออกสื่อ ใช่แล้วล่ะ แทบลอยด์ไม่ต้องเหนื่อยสืบหา แต่เป็นคู่รักคนดังที่บรรยายข้อมูลอย่างละเอียด

"หลังจากกินดินเนอร์กัน Yeก็ทำ surprise ให้ฉันค่ะ ตอนนี้ก็ยังช็อคอยู่เลย เขาเตรียมเสื้อผ้าไว้เต็มห้องสวีท มันคือฝันที่เป็นจริงของผู้หญิงทุกคน รู้สึกราวกับเป็น  Cinderellaตัวจริง"


หลายคนคงยอมรับว่า คำว่าแฟนหนุ่มสายเปย์ช่างฟังดูดึงดูดใจ คนที่จะปรนเปรอเราด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมแพงระยับ และเปลี่ยนลุคให้คุณดูงามไฉไลราวกับสิ่งที่นางฟ้าแม่ทูนหัวทำให้กับCinderella หากได้พบรักกับแร็พเพอร์มหาเศรษฐี สิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องชวนประหลาดใจ เพราะเมื่อก่อนนั้น เราก็เคยได้ยินข่าว Ye สร้าง surprise อดีตภรรยาด้วยของขวัญเลอค่ามาแล้วหลายครั้ง



แต่ก็ยังมีผู้ที่เชื่อมั่นว่า ความพยายามจะเปลี่ยนแปลงสไตล์การแต่งตัวของอีกฝ่ายคือ red flag แม้คำแนะนำจากคนรักผู้ที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญในเรื่องfashion ชั้นสูงจะไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่มันก็ไม่ต่างจากการประกาศว่า รสนิยมเรื่องfashion ของคุณนั้นดูแย่จนเค้าไม่สามารถยอมรับตัวตนที่คุณเป็น มีทางเลือกแค่ต้องเปลี่ยนใหม่หมดทุกอย่างตามคำสั่ง แม้แต่เสื้อผ้าชิ้นโปรดที่ชืนชอบมาก ก็ต้องเอาไปเก็บให้พ้นหูพ้นตา และคำถามที่สำคัญที่ตามมาก็คือ หากคุณไม่ได้ชื่นชอบในรสนิยมของคนรักแม้แต่น้อย ข้าวของราคาแพงที่เปย์ให้โดยไม่ได้ถามไถ่กันก่อนมันไม่ใช่สไตล์ที่คุณชื่นชอบแม้แต่น้อบ  แล้วคุณจะต้องแสร้งทำเหมือนกับว่าปลาบปลื้มซึ้งใจมากมายหรือไม่?

The NY Post และ Insider คือสื่อที่ตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมที่แสดงความคลั่งรักและปรนเปรอหญิงสาวที่เดทกันได้ไม่นานของKanye จะเข้าข่าย red flag หรือไม่ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลงตัวเองได้ให้ความเห็นกับ Insider ว่า

"ผู้หลงตัวเองมักจะเริ่มความสัมพันธ์อย่างรวดเร็วเกินควร จากนั้นจะตามมาด้วยวงจรของการด้อยค่า ทอดทิ้ง และมีขึ้นมีลงบ่อยๆ"

หากย้อนมองไปเมื่อยังครองคู่กับ Kim Ye เคยสร้างความปวดหัวให้กับเธอเพียงเพราะพลาสเตอร์ที่เธอหามาให้มีสีสันลวดลายไม่โดนใจ มันทำให้เขาหงุดหงิดมากซะจนเหวี่ยงใส่แม่ของลูกว่า อุตส่าห์ตระเวณข้ามทวีปเพื่อหาเสื้อผ้าที่สวยเป๊ะมาให้เธอ แค่จะเตรียมพลาสเตอร์สีนู้ดมาให้ก็ยังทำไม่ได้

เมื่อชีวิตคู่มีปัญหา แทนที่จะปรับตัวเข้ามาหาดัน เขากลับแยกตัวไปอยู่ในไร่ที่ซื้อไว้ในรัฐแสนไกลจาก California และพยายามเรียกร้องให้ Kimหอบลูกๆมาอยู่ด้วย ทั้งๆที่เธอยืนยันหนักแน่นว่า จะไม่ไปจากL.A. (ที่สร้างอาณาจักรความโด่งดังไว้มั่นค) ในขณะที่ต้องรับมือการข่าวฉาวจากTweet สุดช็อคและการไม่ยอมรับมห้ครอบครัวช่วยเหลือเรื่องอาการป่วยทางจิตใจ Kim ก็ต้องยอมรับว่าเส้นทางของชีวิตแต่งงานถึงทางตัน เพราะสามีย้ายที่อยู่ไปต่างรัฐทุกปี และเธอไม่สามารถติดตามไปทุกหนทุกแห่งได้ เพราะมีชีวิตและอนาคตของตัวเอง
"ฉันแค่อยากจะมีความสุข"




พยายาม control ไปถึงรูปลักษณ์และภาพ social media



การทะเลาะเบาะแว้งจากเรื่องเล็กๆน่อยๆ หรือดูเหมือนเรื่องไม่เป็นเรื่องในสายตาคนนอกนั้นอาจจจะเป็นเรื่องแสนธรรมดาในความสัมพันธ์ แค่เมื่ออีกฝ่ายพยายามควบคุมคุณให้ได้ดังใจจนไปถึงขั้นภาพที่แชร์ออกไปบน social media นั่นถือว่าเป็นred flagที่ไม่ควรมองข้าม

แม้จะมีผู้ยกให้ Kanye เป็นผู้ผลักดัน Kim ให้ Kim กลายมาเป็นผู้นำ fashion แต่ ไม่ใช่ว่าจะขึ้นปก Vogue แล้วจะกลายมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์กันไปหมด แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ต้องผ่านการระดมสมองเพื่อหาวิธีการตลาดมาฉุดกระแสให้เปรี้ยงปังไม่มีแผ่ว เราคงได้ประจักษ์แล้วว่า ครอบครัวนี้มีพลัง social media ที่ทรงอานุภาพมากแค่ไหน

ถึง Kim จะมีผู้ติดตามหลักร้อยล้าน แต่ถ้าเธอแสดงท่าทางเอือมเมื่อ Ye พยายามเข้ามาบงการให้เธอ post ภาพตามรูปแบบที่เขาguide ให้แบบเป๊ะๆ เขาจะเหวี่ยงใส่กลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งชวนละเหี่ยใจ Ye อ้างว่า เขามี'วิสัยทัศน์'ที่เธอควรจะปฏิบัติตาม แม้แต่ลำดับการจัดเรียงภาพก็มีความสำคัญมาก ซึ่งมันไม่ต่างจากการตอกหน้าภรรยาว่า วิสัยทัศน์ของเขามีค่ามากกว่าความเห็นของเธอ ตรงกับคำพูดของ Kim ที่ระบายกับน้องสาวว่า ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ และมันก็ทำให้เธอดหลือดอดจนต้องบอกไปว่า

"นี่คือ Instagram ของฉัน คุณจะมาสั่งว่าฉันต้อง postแบบไหนไม่ได้ ฉันะมีสิทธิ์ออกความเห็นได้นะ"










ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องเสื่อผ้า แม้แต่ makeup ที่แฟนๆมองว่าเป็นจุดแข็งของ Kim Ye ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบ

"เขาเข้ามาแล้วก็บอกว่า นี่คุณรู้รึเปล่าว่าลงบลัชหนักเกินไป หรือ นี่ทำอะไรอยูน่ะ นี่ไม่ใช่รูปปากแบบที่เป็นคุณเลย"

นอกเหนือจากการพูดวิตารณ์ Ye ยังเคยยื่นข้อเสนอ Mario Dedivanovic makeup artist คนสนิทของ Kim ให้ย้ายจาก NYC มาอาศัยที่ L.A. เพื่อ standby ให้กับเธอ ได้ทุกโอกาส ไม่ต้องคอยบินข้ามรัฐ เขาจะเรียก Mario ให้มากะทันหัน ด้วยเหตุผลว่า ภรรยามีเหตุฉุกเฉินเพราะ Makeup และไม่บอกกับ Kim ให้รู้ตัวก่อนสักคำ (นัยว่า รู้สึกรับกับ makeup ของภรรยาไม่ได้ จนต้องเรียก makeup artist คู่ใจให้บินไกลมาแก้ไขสถานการณ์)


เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์คุณผู้ชายไม่ปลื้มกับสไตล์การแต่งตัวหรือ makeup ของคนรักมาแล้ว แต่เชื่อเถอะว่า มันมีวิธีออกความเห็นอีกมากมายที่รื่นหู หรือรอมชอมกันโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายจิตตก

คงไม่ฟังดูใจร้ายเกินไป หากจะพูดกันตรงๆว่า การหย่าร้างของKim-Ye เป็นสิ่งที่ชาวเน็ทคาดการณ์ไว้ก่อนเนิ่นนานแล้ว    เพราะสิ่งที่บรรยายมาขั้นต้นนั้น เป็นเพียงไม่กี่สัญญาณที่ดู problematic     ยิ่งเมื่อ Kim ได้ move on กับ Pete Davidson ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเนื้อหอมในหมู่โฉมงามชื่อดัง  แม้อาจจะเป็นการการเดทแบบ casual ไม่ไดุ้มุ่งไปยังความจริงจังถึงขั้นใช้ชีวิตคู่    แต่ภาพลักษณ์ชายหนุ่มอารมณ์ดีที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวของตลกหนุ่มที่ตรงกันข้ามกับ Ye โดยสิ้นเชิง  ก็ทำให้หลายคนฟันธงว่า  เธอพร้อม move on เต็มที่เพราะต้องการ'พลังงานด้านบวก' จากความสัมพันธ์ นั่นเอง
Page Six รายงานว่า  romance ครั้งใหม่ของ Ye ดูจงใจซะจนน่าจะเรียกว่า Showmance มากกว่า  และยืนยันแหล่งข่าววงในว่า     ที่เปิดตัวแรงขนาดนี้ เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจาก  Kim ที่กำลังดูลัลล้ากับหนุ่มคนใหม่    หลังจากความพยายามแรกๆ ที่ประกาศเรียกร้องให้  Kim กลับมาหากันดูพังไปเป็นท่า เพราะหลังจากที่พูดไปถึงขนาดนั้น   Kim กลับยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอสถานะโสดตามกฎหมายกลับคืนมา และยังใช้เวลาพักผ่อนกับ Pete Davidson  อย่างหน้าชื่นตาบาน    



นอกใจต่อเนื่อง


ดราม่า Tristan Thompson ทำผู้หญิงท้องแล้วถูกฟ้องให้ส่งเสียค่าเลี้ยงดูนั้น บอกเลยว่า ชาวเน็ทเลิกนับกันไปแล้วว่าเขานอกใจ Khloe Kardashian มาแล้วกี่หน ผู้คนอาจจะจำ scandal สั่นสะเทือนครอบครัว KarJenner เมื่อพ่อplayboy ผู้นี้เข้าหาเพื่อนซี้ของ Kylie พ่วงด้วยประวัติการนอกใจยังตามมาอีกเป็นพรวน แต่สำหรับกหลายคน วีรกรรมจูบ Jordyn นั้นถือเป็นred flag ที่มาพร้อมกับเสียงหวอเตือนดังสนั่นหวั่นไหว เพราะหากกิ๊กกับผู้หญิงที่เปรียบเหมือนกับเป็นน้องสาวอีกคนของ Khloe ได้ ก็คงไม่มีสิ่งใดเหนี่ยวรั้งให้เขามีจิตสำนึกได้แล้ว


มาถึงกรณีล่าสุดที่มีผลิตผลจากความไม่ซื่อสัตย์ และถูกบีบให้ตรวจ DNA  พิสูจน์ความเป็นพ่อ   เมื่อไล่  timeline แล้วก็โป๊ะ เพราะเป็นช่วงที่ Khloe ยอมให้อภัย Tristan แล้วกลับมารักกันจี๋จ๋าท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวเน็ทที่มั่นอกมั่นใจว่า   เขาจะต้องทรยศเธออีกแน่ๆ     

เพราะถูกนอกใจแบบมีหลักฐานชัดเจนมาหลายครั้ง เมื่อ Khloe ยอมให้โอกาสกับพ่อของลูกที่ถูกเปรียบว่าเป็น serial cheater ก็ทำให้ผู้คนต่างกังขากับการตัดสินใจของเธอ red flag จาก Tristan นั้นแดงแจ๋ซะยิ่งกว่ามะเขือเทศ การฉวยหาโอกาสเสพสุขกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาดูเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยากจะเข้าใจว่า จะมีใครยอมกล้ำกลืนกับความเจ็บปวดและความอับอายที่ถูกฉีกหน้าให้ชาวโลกตามซุบซิบนินทาไปเพราะอะไร จากการถูกนอกใจ (ที่สื่อจับได้) สองครั้งแรก Khloe เคยออกตัวปกป้อง Tristan ด้วยซ้ำว่า คนเราก็ผิดพลาดกันทั้งนั้น เธอไม่สามารถทำใจเกลียดผู้ชายที่ช่วยให้กำเนิดลูกสาวแสนน่ารักได้ เมื่อสื่อตีข่าวว่าเขานอกใจเธอซ้ำรอบที่สาม สี่ Khloe อาจจะไม่ได้ชี้ว่า การกระทำของเขาเป็นเพียงความผิดพลาดอีกต่อไป แต่เธอก็ยอมรับให้เขากลับคืนมา แม้จะมีเสียงทักท้วงจากผู้ติดตามว่า การกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้ถ่ายทอดความจริงใจที่จะแก้ไขปรับปรุงตัวแม้แต่น้อย ยิ่งพวกเค้าเป็นคนดังที่สื่อต่างจับจ้อง และยังมีลูกสาวที่กำลังเติบโตรู้ความ แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งพฤติกรรมนอกใจของผู้เป็นพ่อได้

แต่เมื่อปีที่แล้ว Khloe ได้แชร์ภาพยืนยันความสัมพันธ์ว่ากลับมาเริ่มต้นใหม่กับ Tristan อีกครั้ง เธอแสดงความความเชื่อว่า คนที่เกิดมาคู่กันย่อมจะฝ่าฟันขวากหนามที่จะแยกพวกเค้าออกจากกันไปให้ได้ ทำให้พวกเค้ายิ่งมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นแข็งแกร่งกว่าเดิม เธอขอบคุณ Tristan ที่ได้พิสูจน์ตัวเองในสิ่งที่รับปากไว้และ

สิ่งสุดท้ายที่Khloe อยากจะรับรู้ก็คือ ในระยะเวลาใกล้qกันที่เธอเปิดตัวการreturn รักกับแฟนหนุ่มจอมนอกใจ เขาก็แอบไปมีsex กับเทรนเนอร์สาวจนตั้งครรภ์ และทำให้ลูกสาวของเธอมีน้องต่างแม่แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว!



สื่อขยี้หนักว่า พฤติกรรมนอกใจจนต้องรับผิดชอบเด็กไร้เดียงสาที่เกิดมายิ่งสร้างความร้าวรานใจให้กับ Khloe ยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ เพราะเธอเปิดเผยออกสื่อชัดเจนว่า อยากจะมีลูกกับTristanอีก และกำลังไตร่ตรองเรื่องการมีลูกจากวิธีอุ้มบุญเหมือนกับKim แต่ข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงไม่หยุดหย่อน ก็ทำให้ Khloe โบกมือลาจากความสัมพันธ์toxic อีกครั้ง

ถึงจะเลิกกันไปแล้ว แต่ Khloe ก็ถูกลากเข้ามาพัวพันกับพฤติกรรมฉาวโฉ่ของ Tristan อีกจนได้ เมื่อถูกมัดตัวด้วย DNA test เขาจึงประกาศขอโทษโดยตรงถึงKhloeที่ต้องพบกับความเจ็บปวดและความอับอาย ชาวเน็ทยังกระหน่ำเพิ้มไปอีกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ชวนจิตตกขึ้นไปอีก เพราะการแอบมี sex กับหญิงอื่นโดยไม่ได้ป้องกันย่อมสร้างความเสี่ยงให้กับผู้หญิงที่ถูกนอกใจ ต้องไปตรวจเพื่อยืนยันว่า การนอกใจครั้งนี้พ่วงมาด้วยโรคติดต่อทางเพศหรือไม่

ชาวเน็ทแสดงความหวังว่า เมื่อต้องพบกับเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ Khloeคงจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ไม่หวนกลับไปหา Tristan และพยายามมีลูกกับเขาอีก



หมกมุ่นนึกถึงคนรักเก่า


ชีวิตเดทของ Scott Disick หลังยากเลิกรากับ Kourtney Kardashian กลายมาเป็นพาดหัวข่าวกอสสิปสม่ำเสมอ เขาเดทกับเด็กสาวที่อ่อนกว่ามากและให้เหตุผลว่า ตัวเองไม่ได้เจาะจงว่ามี type เป็นสาวเอ๊าะเท่านั้น แต่วกเธอต่างหากที่ติดอกติดใจเขาเอง

แต่ถึงจะเผยความสัมพันธ์กับแฟนสาวที่อยู่ในวัยยี่สิบนิดๆ  แต่ก็มีเสียงร่ำลือว่า เขาไม่สามารถ move on ไปจาก Kourtney ได้อย่างเด็ดขาด   ระดับความหมกมุ่นนั้นอยู่ในขั้นที่แฟนใหม่รับไม่ได้ ต้องขอเลิกแบบเพลียจิต

เมื่อก่อน ยังมีผู้เชื่อว่า  ท่าทางของ Scott  แสดงออกชัดๆว่า อยากจะกลับมาเริ่มต้นใหม่กับแม่ของลูกเป็นเพียงอีกหนึ่งพล็อทเรื่องของ  Keeping Up With The Kardashian     เขาเผยในรายการว่า   Sofia Richie ได้ยื่นคำขาดให้เขาเลือกระหว่างเธอและ Kourtney  เพราะไม่อยากแบกความรู้สึกว่า กำลังแชร์  Scott กับผู้หญิงที่เขามีอดีตร่วมกัน      แต่มันก็ไมไ่ด้สั่นคลอนหัวใจของ Kourtney ให้หวั่นไหว  เธอเปิดตัวรักใหม่กับ Travis Barker  ที่ร้อนแรงจนถูกจับจ้องด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น  พวกเค้าพัฒนาความสัมพันธ์อย่างรวดเร็วและประกาศหมั้นหมายไปเมื่อไม่นานมานี้  แต่ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดี  ยังมีคนๆหนึ่งที่มองคู่รักคนดังด้วยความไม่พอใจ  แล้วจะเป็นใครที่ไหนอื่นได้?

ทั้งๆที่นอกใจจนชีวิตคู่ต้องแตกหัก ภาพความหวานของKourtneyกับหวานใจคนใหม่ก็ทำให้ Scott อยู่ไม่ติดที่ เขาส่งภาพข้อความถึงYounes Bendjima แฟนเก่าอีกคนของ Kourtney เพื่อจะหาพรรคพวกระบายความหงุดหงิดด้วยข้อพูดที่มีโทนของการดูถูกดูแคลน แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่เล่นด้วย Younes ยังนำข้อความนี้มาแฉตัวจริงของ Scott

ความหึงหวงในตัวแฟนเก่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ไม่ว่าใครก็รู้สึกกันได้ แต่มันคงจะยังปลอดภัย ตราบใดที่แฟนใหม่ไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้ โชคไม่ดีสำหรับ Scott ที่ถูกแฉว่าหมกมุ่นกับแฟนเก่า เพราะนั่นหมายความว่า Amelia Hamlin แฟนใหม่ที่ใครๆต่างจับตามองเรื่องความแตกต่างของวัยก็ต้องพบความจริงนี้ด้วย (เธออ่อนว่า Scott 18 ปี) เธอตัดสินใจเลิกกับ Scott ไม่กี่วันหลังจากโลกออนไลน์ยำ Scott แบบไม่ปราณี







ที่จริงแล้ว พ่อแม่ของ Ameliaโล่งใจกับการแยกทางของพวกเค้าไม่น้อยเลย เธอเพิ่งจะมีอายุครบยี่สิบเพียงไม่นาน ทั้งวัยที่ห่างกันมา และฝ่ายชายยังมีชื่อเสียงเสียหายจากพฤติกรรมนอกใจและโรคติดสุรา  แม่ของเธอ คือ Lisa Rinna ที่คบหาสนิทสนมกับ Kris Jennerย่อมรู้เรื่องตื่นลึกหนาบางยิ่งกว่าคนนอก เธอแสดงความกลัดกลุ้มเรื่องความสัมพันธ์ของลูกสาวกับ Scott อย่างไม่ปิดบัง และความหนักใจก็หายไปปลิดทิ้งเมื่อลูกสาวเป็นฝ่ายขอถอนตัวออกมา Lisa ระบุว่า DM ที่หลุดออกมาคือหนึ่งในสาเหตุที่Amilia ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด



เรื่องนี้ไม่น่าจะโทษฝ่ายหญิงได้เลย ดูจากอาการเจ็บแค้นเพราะอดีตคนรักกำลังมีความสุขล้นเหลือกับรักครั้งใหม่ ก็น่าจะนับเป็น red flag ที่ชัดเจนเพียงพอที่จะยืนยันว่า เขายังไม่พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้ากับความสัมพันธ์ใหม่ได้ ยิ่งเมื่อก่อนเคยทำท่าทางเว้าวอนอยากให้คนเก่ายอมให้อภัยและกลับไปรักกันเหมือนกันก็เพิ่มความระแวงให้มากขึ้นไปอีก แทนที่จะต้องคอยมาจิตตกว่าเขาให้ความสำคัญกับคนเก่ามากกว่าเรารึเปล่า ก็ขอถอยออกมาจากความเสี่ยงที่จะทำให้ใจต้องเจ็บปวด






พฤติกรรม abusive



 Paris Hilton อาจจะถูกมองว่าเป็นคุณหนูที่คาบช้อนเพชรมาเกิดในตระกูลมหาเศรษฐี   ช่วงเวลาในวัยสาวของเธอมักวนเวียนกับข่าวฉาวโฉ่  รวมถึงเรื่องที่สื่อเคยวิพากษ์วิจารณ์เกรียวกราว หลังจากมีภาพชี้ชัดว่าร่างกายและริมฝีปากของเธอมีร่องรอยฟกช้ำราวกับถูกทุบตี ทำให้แฟนหนุ่มในเวลานั้นถูกมองว่าเป็นผู้ต้องสงสัย     เมื่อไม่มีการชี้แจง ข่าวคราวจึงเงียบหายไปจนผู้คนหลงลืม  แต่จากการบอกเล่าประสบการณ์เลวร้ายจากการถูก abuse ในโรงเรียนประจำ  และวนเวียนเจอผู้ชาย abusive ที่ทั้งทำร่างกายและจิตใจมาแล้วหลายคนผ่าน documentary   ก็น่าจะยืนยันได้ว่า สถานะทางสังคมไม่ได้เป็นตัวช่วยให้เธอรอดจากความสัมพันธ์ abusive ไปได้   แม้ว่าเธอจะดูเพียบพร้อมไปทุกอย่าง แต่ก็เคยผ่านประสบการณ์แสนทุกข์ทรมานใจของเพศที่อ่อนแอกว่ามาแล้วเช่นกัน
หนึ่งในซีนกระทบกระเทือนอารมณ์ผู้ชมจาก This is Paris  หนีไม่พ้นตอนที่อดีตคนรักของเธอระเบิดอารมณ์เพราะไม่พอใจที่เธอละเลยไม่ใช้เวลาด้วยกัน   ทั้งๆที่Parisกำลังตึงเครียดกับการเตรียมตัวแสดงดนตรีบนเวทีคอนเสิร์ต เขาไม่ยินยอมขีดเส้นแบ่งให้พื้นที่ส่วนตัวกับเธอ   อาการโวยวายงอแงดูไม่ต่างจากเด็กที่ทุ่มตัวกับพื้นเมื่อไม่ได้ดังใจ


การแสดงความเป็นเจ้าของโดยใช้อารมณ์เหนือเหตุผล การผูกติดตัวเองกับคนรักโดยไม่เคารพเวลาทำงานหรือเวลาส่วนตัว คำพูดเรียกร้องกดดันเพื่อให้หันมาสนใจกันโดยไม่เลือกกาลเทศะ สิ่งเหล่านี้คือ red flag ที่เตือนใจให้พวกเรารู้สึกหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังตามมา


Paris พยายามอธิบายให้แฟนหนุ่มผู้กำลังเดือดได้ที่ให้เข้าใจว่า งานที่รัดตัวในช่วงนี้ทำให้เธอไม่สามารถ focus ไปที่เขาเพียงอย่างเดียวตามที่เขาเรียกร้องได้ แต่เขากลับไม่รับฟัง บีบคั้นให้เธอรักษาสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันมากๆ และกล่าวหาเธอว่า ให้ความสำคัญกับงานมากกว่า การถกเถียงเริ่มรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนใกล้จุดแตกหัก เมื่อเขาระบายอารมณ์ด้วยการปล่อย notebookที่เป็นเครื่องมือจำเป็นก่อนเธอจะขึ้นแสดงบนเวทีคอนเสิร์ตลงพื้น นั่นทำให้ Paris แทบจะสติแตก เท่านั้นยังไม่พอเขาตามติดเพื่อบีบคั้นให้เธอจูบเขาในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ภาพของชายร่างใหญ่ใช้มือบีบใบหน้าแฟนสาวที่มีท่าท่าทางตระหนกให้ยอมจูบเขาแต่โดยดีทำให้ผู้ชมบางคนเกิดความสงสัยว่า นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือเป็นพล็อทดึงดูดยอดเข้าชม








ผู้กำกับรายการยืนกรานว่า ภาพการทะเลาะรุนแรงที่ได้เห็นกันนั้นเป็นเรื่องจริง แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้สึกตกใจที่แฟนของ Paris เจาะจงหาเรื่องเธอก่อนที่จะขึ้นเวที เขาตามคุกคามเธอจนไม่หลงเหลือความอดทนอีก การทุ่มเถียงยุติลงเมื่อ Paris เรียกให้สต๊าฟพาตัวเขาออกไป ส่วนเธอก็เรียกสติกลับคืนมา ก้าวไปยังเวทีเพื่อวาดลวดลาย DJ อย่างมืออาชีพ

เหตุการณ์ดังกล่าวมี red flag ปลิวว่อนไปหมด และมันอาจจะทำให้คุณข้องใจว่า เหตุใดสาวสวยที่โด่งดังเรื่องความมาดมั่นอย่าง Paris จึงทนกับความสัมพันะ์ abusive จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเธอไมไ่ด้มีสต๊าฟอยู่รอบตัว หรือมีกล้องคอยติดตาม?

เธออาจจะแยกทางกับผู้ชายคนนี้ไปแล้ว แต่ก็เปิดใจในสมภาษณ์ว่า เคยผ่านประสบการณ์ถูกแฟนหนุ่มห้าคนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ

"พวกเขาจะดูเหมือนกับชายแสนดีในตอนแรกๆ แล้วตัวตนที่แท้จริงก็จะโผล่ออกมา พวกเขาหึงหวง เอาแต่ปกป้องตัวเอง และพยายามทำควบคุมฉัน มันหนักขึ้นไปเรื่อยจนกลายมาเป็นการทำร้ายด้วยคำพูด ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ" เมื่อย้อนนึกถึงประการณ์ abusive ที่ถูกบีบคอและทุบตี มันก็เป็นเรื่องที่ทำใจยากจะเชื่อว่า เธออดทนกับเรื่องเหล่านั้นมาได้เช่นไร


Paris อธิบายว่าเธอเข้าใจผิดเรื่องความความรักและความสัมพันธ์มาโดยตลอด เชื่อไปเองว่า เมื่อผู้ชายแสดงท่าทางบ้าคลั่งก็การแสดงออกถึงความรักที่พวกเขามีต่อเธอ เหตุผลสำคัญอีกอย่างคือประสบการณ์ที่ถูก abuse ในโรงเรียนประจำ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้เธอบอกตัวเองว่า นี่คือเรื่องปกติที่เลี่ยงไม่ได้



หลักการสังเกต red flag ของแต่ล่ะบุคคลอาจจะแตกต่างกันไป แต่หัวใจแห่งความสัมพันธ์ healthy คือการให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะมนุษย์นั่นเอง

The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE