โลกออนไลน์ถกเดือด วีรกรรม bully & misogyny ของ Ye

50 16

ครั้งหนึ่ง ใครบางคนเปรยกับเราว่า  หาก Kanye  West (หรือชื่อที่เปลี่ยนมาใช้ตามกฎหมายว่า Ye)  เก็บตัวเงียบหายไปจากวงการสักพัก   นักข่าวบันเทิงอาจจะว่างงานกันไปมาก   หากจะยกให้เขาผู้นี้เป็น 'มือวางอันดับ 1' จากข่าวฉาวสาขาหาเรื่องคนดังด้วยกัน ก็คงไม่เกินไปนัก     แม้แต่ 50 Cent ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความปากเปราะคอยจิกกัดเพื่อนร่วมวงการก็ยังไม่สูสี    เมื่อใดก็ตามที่แร็พเพอร์ผู้อื้อฉาวเคลื่อนไหวทาง social media ให้สัมภาษณ์ หรือแสดงคำพูดต่อหน้าสาธารณชนเมื่อใด ก็กลายเป็นแหล่งทรัพยากรชั้นดีของบรรดาแทบลอยด์ที่แข่งกันนำเสนอวิวาทะที่ร้อนแรงและแปลกประหลาดจนงงกันไปถ้วนหน้า
ความอื้อฉาวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของrapper พันล้านอาจจะเยอะซะจนหลายคนสัมผัสได้ว่าหลายๆเรื่องมีมีจุดเชื่อมโยงบางอย่าง

ลองมาติดตามกับเราได้เลยค่ะ

หากเป้าหมายโจมตีเป็นผู้หญิง: ไม่ให้เครดิตความสำเร็จ หรือเหยียดหยามอย่างไร้เหตุผล

ศิลปินหลายคนในวงการ Hip Hop ต้องพบกับข้อกล่าวหาเหยียดเพศหญิงจากผลงานดนตรี ทั้งเนื้อเพลง, MV และคอนเทนท์ต่างๆที่โฟกัสกับเรื่องตีค่าร่างกายผู้หญิงในรูปแบบของวัตถุทางเพศ Snoop Dogg เป็นศิลปินที่ขั้นชื่อลือชาเรื่องคอนเทนท์เหยียดเพศถึงขนาดที่ Oprah ออกโรงฟาดหนักๆ ส่วนเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่านี่คือวิถีทางสร้างความโด่งดังในยุคแรกๆ มาเปลี่ยนมุมมองต่อผู้หญิงก็ตอนมีครอบครัว ทำให้ได้เรียนรู้ในความรักและให้เกียรติภรรยาและลูกสาว

แต่คำกล่าวหาต่อ Ye ในเรื่องเป็นผู้มีอคติต่อต้านผู้หญิงนั้นแตกต่างออกไป เขาเคยมีเรื่องขัดแย้งกับคนในวงการมาแล้วทั้งชายหญิง แต่เมื่อมีเรื่องกับผู้หญิงเมื่อใด ก็ทำให้หลายคนสะดุดใจกับวิธีปฏิบัติต่อฝ่ายตรงข้าม หากเปรียบเทียบกับความขัดแย้งกับJay Z และ Drake ที่แรงจนลดระดับมิตรภาพกัห่างเหินกันไป แม้ Yeจะทั้งกล่าวหาและแสดงความคับแค้นใจต่อเพื่อนชายทั้งสอง แต่ก็ยังมีน้ำเสียงที่ให้เกียรติอยู่บ้าง

แตกต่างจากผู้หญิงเหล่านี้
ประโยค I'mma let you finish. มาจนถึง I made that bitch famous. ในตำนานที่กลายมาเป็นจุดประกายไฟสงครามระหว่าง  rapper เกเร กับเจ้าหญิงเพลง Pop  

ภาพของ Taylor Swift ในวัย19 ที่แทนที่จะรู้สึกตื่นตันกับรางวัลอย่างเต็มที่ แต่ต้องตื่นตกใจเมื่อถูกแย่งไมค์เพื่อใช้คำพูดบ่งชี้ว่า เธอไม่สมควรจะได้รับรางวัลนี้ (ในภายหลังBeyonce ได้แสดงออกให้ทุกคนมั่นใจว่าเธอสนับสนุน Taylorและได้สานต่อมิตรภาพกัน)

หลายปีต่อมาก็เกิดดราม่าที่บานปลายใหญ่โตจากประโยค I made that bitch famous ซึ่งแม้จะนำเสนอในรูปแบบการล้อเลียนหยอกเย้ากัน หรือในเบื้องหลัง Taylor จะให้ไฟเขียวเรื่องนี้หรือไม่ แต่ก็ทำให้ชาวเน็ทหลายคนสัมผัสว่า Yeไม่ได้ให้เครดิตกับความสำเร็จของเธอ แม้ในตอนนั้นจะยังไม่แกร่งกล้าเหมือนปัจจุบัน แต่เธอกแสดงความสามารถจนแจ้งเกิดในวงการได้อย่างสวยงามตั้งแต่ยังเป็นวัยทีน

คำพูดเหยียดหยามที่รุนแรงต่อคนรักรักเก่า Amber Rose  ว่า  กว่าที่จะหันมาเริ่มต้นความรักกับ Kim ได้ก็ต้องอาบน้ำถึง30รอบ   ทำให้อีกฝ่ายปรี๊ดจนเอา sex tape ของ Kim K มาสวนกลับ

ชีวิตรักกับ Amber Rose อาจจะจบลงอย่างไม่สวยงาม แต่หลังจากที่ได้รักกับสาวที่หมายปองมาหลายปี Yeกลับดูถูกเธอว่าดูน่าขยะแขยงเหลือรับ เท่านั้นไม่พอ ยังระราน Wiz Khalifa ว่าปล่อยให้นักเต้นเปลื้องผ้าล่อลวงให้ติดกับ และยังพาดพิงไปถึงลูกน้อยไร้เดียงสาของพวกเค้าว่า Wiz คงอัดอั้นตันใจที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเพื่อลูกที่เกิดกับ Amber ไปถึง18 ปี ทั้งๆที่ตัวเขาก็เคยควงคู่กับเธออออกงานด้วยความภาคภูมิใจ และแสดงความรักร้อนแรงตลอดเวลาที่คบกัน
แม้จะเคยแสดงความรักพวกพ้องด้วยการแย่งไมค์จาก Taylor มาประกาศว่า MV ของ ฺBeyonce ช่างยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล    แต่เมื่อคู่สามีภรรยาผู้ทรงอิทธิพลตีตัวออกห่าง  ก็หันมาเล่นงาน Queen Bey ด้วยการกล่าวหาว่าเธอใช้อำนาจซุปตาร์บีบให้ MTV มอบรางวัล Video of the Year

เมื่อ Beyonce คว้ารางวัลวีดีโอยอดเยี่ยม กลับทำลายโมเมนท์ของเธอด้วยการกล่าวหาว่าเธอบีบผู้จัดให้มอบรางวัลนี้ทำให้Ye และDrake พ่ายแพ้ ไม่ต่างจากตอนที่แย่งไมค์ Taylor เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นเวทีไปหักหน้าQueen Beyต่อเท่านั้น

ล่าสุดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสับสนว่าทำไปได้ยังไง คือการกดดันให้  Billie Eillish ออกมาขอโทษที่สร้างความกระทบกระเทือนใจให้กับ Travis Scott  ที่ยังเก็บตัวเงียบจากโศกนาฏกรรมแฟนเพลงเหยียบกันตายในคอนเสิร์ต (รวมถึงสั่งให้ขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ!)

เพียงเพราะเธอหยุดการแสดงเมื่อสังเกตว่าแฟนคนหนึ่งกำลังมีปัญหาในการหายใจ และพูดว่า "ฉันจะรอจนกว่าผู้ชมจะอาการดีก่อนแสดงต่อ"  โดยไม่ได้เอ่ยชื่อใคร หรือแสดงท่าทีโจมตีศิลปินคนอื่น (ที่ไม่หยุดแสดง)แต่อย่างใด  และเรื่องราวที่ดูแย่เมื่อ Yeขู่ว่าจะไม่ร่วมแสดง Coachella  หากBillie ไม่ขอโทษ   เพราะนั่นหมายถึงความเสียหายที่ผู้อื่นต้องรับกรรมเป็นทอดๆ

แฉเรื่องส่วนตัวและปล่อยข่าวเพื่อ discredit

  •  เปิดเผยกับชาวโลกว่า  ทำ Kim ตั้งท้องโดยที่ไม่พร้อมจะรับผิดชอบเป็นพ่อเด็กจนเกิดความลังเล อยากจะให้ไปเอาเด็กออก    หลายคนแสดงความสะพรึงกับพฤติกรรมนี้ ว่า เขาสามารถเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของคนใกล้ตัวได้โดยไม่ห่วงใยว่าจะเกิดผลกระทบต่อผู้อื่นเช่นไร โดยเฉพาะลูกน้อยที่ต้องเติบโตขึ้นมาเพื่อค้นพบว่า พ่อเคยคิดเรื่องยุติการตั้งครรภ์มาก่อน

  • กล่าวหา Kim ออกsocial media ว่า ล้ำเส้นด้วยการนัดพบกับ Meek Mill ที่โรงแรม ทั้งๆที่มีภาพที่คนนอกแอบถ่ายชี้ชัดว่าเป็น lunch meeting ในห้องอาหาร และยังมีคนอื่นนั่งร่วมพบปะอยู่ด้วย  (หากไม่มีภาพดังกล่าวมายืนยัน ก็อาจจะมีคนเชื่อไปแล้วว่า Kim เล่นชู้)

  • เมื่อ Jay Z พยายามถอยห่าง  ก็กล่าวหาอีกฝ่ายว่ามีพฤติกรรมมาเฟีย และขอร้องเพื่อนไม่ให้ส่งนักฆ่ามายิงหัว

  • Drake เคยสันนิษฐานว่า  Ye เป็นผู้ปล่อยข่าวที่เขามีลูกจากความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืน  เพราะหลังจากที่เขานำเรื่องมีปัญหากับแม่ของลูกไปปรึกษา Ye    วันต่อมามันก็กลายเป็นข่าวไปทั่ว  หนักไปกว่านั้น  Ye ยังเป็นผู้โพรดิวซ์เพลง Infrared ของ Pusha T ที่แฉเรื่องลูกที่เขายังไม่พร้อมจะเปิดเผย  ส่วน Ye ยืนกรานปฏิเสธมาปลายครั้ง แต่ก็ไม่ปิดบังว่าไม่ไว้ใจ rapper รุ่นน้องที่กดติดตาม Kim K บน Instagram เพราะเคยมีผู้ปล่อยข่าวว่าทั้งสองเคยแอบกิ๊กกันมาก่อน   โดยเฉพาะการยกชื่อ Kiki  (ชื่อเล่นหนึ่งของ Kimberly) มาใช้ในเพลง In My Feelings 

  • ล่าสุดคือการแปะเนื้อหาข่าวลือที่กล่าวหาPete Davidson ว่าถูก Ariana ทิ้งเพราะส่งภาพคู่ไปเยาะเย้ย Mac Miller คนรักเก่าของเธอและในเวลาต่อมาเขาก็เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด    แต่สื่อหลายเจ้าที่ได้เช็คต้นตอของข่าวนี้ได้ยืนยันพร้อมเพรียงกันว่า เป็น  fake news  ซึ่งพิสูจน์ได้ชัดเจนจากการจงใจอ้าง TMZ เป็นแหล่งข่าว แต่สื่อดังไม่ได้เป้นฝ่ายนำเสนอเรื่องนี้แต่อย่างใด    เมื่อสื่อถามไถ่คำยืนยันจาก  Frankie พี่ชายของ Ari ก็ได้รับคำยืนยันว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน  แต่ไม่แปลกใจกับการกระทำของ  Ye  เพราะเขาชอบปล่อยข่าวปั่นกระแสอยู่แล้ว

  •  screen capture บทสนทนาส่วนตัวมาโชว์บน social media  และน่าจะฟันธงได้ว่า หลายคนที่เคยส่งข้อความหา Ye  และไม่อยากให้คนภายนอกได้รับรู้ก็อาจจะหนาวๆร้อนๆขึ้นมาแล้ว

สวนกระแสความเคลื่อนไหวของฝ่ายเสรีนิยม


  •  หมวก MAGA  ที่ทำให้ผู้คนฟันธงว่า Ye โอนเอียงไปกับแนวคิดแบบ 'ทรัมป์นิยม'  จากการปกครองของประธานาธิบดีผู้อื้อฉาว   จนมีภาพลักษณ์ของผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของอุดมการณ์เพื่อความเสมอภาค


  • ประโยคที่ทำให้ black community เกรี้ยวกราด  "ระบบทาสที่ดำเนินมาถึง 400  ตั้ง 400 ปี? มันฟังดูเหมือนกับเลือกจะเป็นทาสเอง"  สร้างกระแสโต้กลับอย่างแรง มีทั้งผู้ที่ออกมาให้ความรู้แก้ไขความเข้าใจด้วยเหตุผล และผู้ที่หมดศรัทธา  รวมไปถึงเพื่อนร่วมวงการจาก black community  ที่ส่ายหน้าต่อคำพูดนี้   แม้แต่ John Legend ที่ออกตัวปกป้อง Ye มาตลอด  ก็แสดงความวิตกกังวลว่า จะมีคนยึดเอาทัศนคติเช่นนี้ไปเป็นแบบอย่าง

  • เรียกความเคลื่อนไหว MeToo ที่ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปวงการต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศว่า  เป็นเรื่องของผู้ที่หิวโหยในอำนาจที่ใช้วิธีทางการเมืองมาควบคุมจิตใจของคนอื่น   เขาจงใจดึงตัว  Marilyn Manson ที่ถูกผู้หญิงหลายคนกล่าวหาเรื่องข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศมาปรากฏตัวในงานเปิดตัวอัลบั้ม Donda     และชี้ว่า คนที่เคยพบกันเมื่อสิบก่อนก็ลุกมากล่าวหาเรื่องล่วงละเมิดทางเพศจนทำให้คนดังถูก cancel  ในขณะ Harvey Weinstein ได้ใช้อิทธิพลบีบบังคับและล่วงละเมิดผู้หญิงมากมายจนในที่สุดก็เกิดความเคลื่อนไหวMeToo ส่งผลเขาต้องเข้าคุกชดใช้ความผิดทางอาชญากรรมทางเพศ และยังมีผู้ืรงอิทธิพลในวงการอีกหลายคนที่ถูกเปิดโปง แต่ Ye กลับเหน็บแนมว่า การเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทางเพศเป็นสิ่งที่เกิดจากความกระหายหิวในอำนาจ

ผู้คนเคยไถ่ถามว่า หลังจาก Kim ออกตัวปกป้องสามีถึงขั้นปล่อยเทปเสียงแฉ Taylor Swift (ซึ่งหมายถึงการสร้าง hater เพิ่มขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน) และยังแสดงความปลาบปลื้มใจในตัวสามีมาตลอด เหตุใด เธอจึงพยายามปลดปล่อยตัวเองจากชีวิตแต่งงาน?

บางคนมองว่าอาการbipolar ที่ Ye ตัดสินใจยุติการใช้ยารักษาเอง และทำให้เกิดพฤติกรรมที่สร้างความขัดแย้งคือต้นเหตุสำคัญ

หากฟังจากปาก Kim ก็เคยเผยว่า อีกฝ่ายยืนความจำนงให้ย้ายไปอาศัยในรัฐที่ห่างไกล และในอนาคตก็ต้องย้ายที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง จนเธอไม่สามารถจะคอยตอบสนองความต้องการสามีได้อีกต่อไป

แต่ก็เคยมีข่าวลือว่า การบุ่มบ่ามสมัครเข้าชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีโดยไร้แผนการหรือฝ่ายสนับสนุนเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ Kim ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ดังที่เคยมีรายงานว่า ครอบครัว KarJenner ให้สำคัญกับการรักษา brand เป็นอย่างยิ่ง แม้พวกเค้าจะผ่านมรสุมข่าวฉาวมาแล้วมากมาย แต่สำหรับเรื่องการเมืองที่เป็นประเด็นเปราะบางนั้น พวกเค้าจะต้องวางตัวเป็นกลางเพื่อไม่ให้สูญเสียความนิยมจากฝ่ายใดไป (จากเดิมที่ถูกจับผิดและวิพากษ์วิจารณ์หนักมาตลอดอยู่แล้ว) โดยเฉพาะ Kim ที่ได้เผยเส้นทางเพื่อการเรียกร้องสิทธิผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งตั้งใจศึกษาเพื่อสอบเป็นทนาย หาก Ye แสดงความเกรี้ยวกราดหรือแสดงความเห้นทางการเมืองที่ขัดแย้งกับผู้คนมากมายในสังคม ชาวเน็ทจำนวนไม่น้อยก็เหมารวมว่า ครอบครัวคนดังมีส่วนเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบกับพฤติกรรมดังกล่าว

เมือ่ไม่นานมานี้ Ye ก็เป็นผู้เปิดใจเองว่า การแสดงออกทางการเมืองของเขาทำให้ภรรยาไม่พอใจ โดยเฉพาะการใส่หมวดแดงสนับสนุน Trump เพราะเธอต้องการปกป้องครอบครัวไม่ให้เป็นเป้าโจมตีว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอุดมการณ์ทางการเมืองของชาวHollywood และทำให้ชีวิตคู่ของพวกเค้าพบกับความยากลำบาก

เมื่อถูกครอบครัวขัดใจ  จะยกประเด็นเรื่อง race ขึ้นมาโจมตี

หากทำสิ่งใดให้ Ye ขัดใจขึ้นมา  เขาก็ไม่ลังเลใจจะใช้เรื่องความขัดแย้งทางเชื้อชาติมาโต้ตอบ ดังที่เคยโจมตีภรรยาและแม่ยายที่ออกแถลงการณ์โดยที่เขาไม่ได้แสดงความเห็นชอบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ภรรยาควรทำ และฟาดไปว่า นี่คือการแสดงความเหนือกว่าของคนขาว!
Ye ยังเคยเปรียบเปรยสถานการณ์ของตัวเองว่าเหมือนกับพล็อท Get Out หนังสยองที่สร้่งความฮือฮาเมื่อครอบครัวคนขาวลวงหนุ่มผิวดำมาทารุณ แต่เมื่อผ่านไปสักพัก เจาก็จะลบข้อความเหล่านั้นออกไป และขออภัยภรรยา แต่ดังที่พวกเราหลายคนรัยรู้ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องแบ่งแยกทางเชื้อชาตินั้นรุนแรงจนอาจจะตั้งสมมุติฐานได้ว่า...

ความเสียหายนั้นอาจจะยากเอาคืนแล้ว?


pattern การใช้เรื่องความแตกต่างทางเชื้อชาติมาโจมตีกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ Kim ยื่นหย่า ความขัดแย้งเผยชัดเจนหลังจากที่เธอเริ่มต้นใหม่กับตลกหนุ่มเนื้อหอม ดราม่างานวันเกิดลูกสาวที่ Kim ดูจะไม่เต็มใจให้ Ye เข้าร่วม จากรายงานว่า ตกลงแบ่งเวลาเพื่อแยกจัดเป็นสองงานก็เปรียบเหมือนกับชนวนระเบิด Ye ใช้ social media กล่าวหา Kim ต่างๆนานา ทั้งบอกว่าเธอกักขังหน่วงเหนี่ยวลูกสาว ปล่อยให้ลูกคนโตใช้ TikTok โดยที่เขาไม่อนุญาต และกีดกันไม่ให้ใกล้ชิดกับลูกๆ

ส่วนหนึ่งของคำพูดที่ Ye ใช้โจมตีแม่ของลูก

"คนเหล่านี้เล่นตลกกับชีวิตของผู้ชายผิวดำ   ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยพวกเค้าให้เป็นอิสระถูกจับมากักขัง  ฉันจะไม่ยอมให้ถูกปั่นหัวเรื่องลูกๆผิวดำของฉันอีกต่อไป"


ใช้ Star Power ข่มขวัญอีกฝ่าย 


เมื่อประกาศชัดเจนว่าต้องการ Kim และครอบครัวพร้อมหน้ากลับคืนมา  Pete Davidson ก็กลายมาเป็นเป้าหมายใหม่    ไม่เพียงแต่ส่งตัวอย่างเพลงใหม่มาขู่ว่าจะอัดให้เละ    แต่เมื่อไม่นานมานี้ Ye ก็ได้ใช้ social media เป็นเครื่องมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนหลายคนต้องร้อง  What?     ไม่ต้องรอให้ชาวเน็ทหา  meme มาล้อเลียน   เขาจัดภาพตัดต่อ Civil War ที่แบ่งฝักฝ่ายแบบพร้อมบวก  และดูเหมือนว่า เขากำลังโชว์พลังสนับสนุนจากพวกพ้องให้ศัตรูหวาดหวั่น
แม้จะเป็นข่าวฉาวไม่หยุดหย่อน แต่หลายคนก็ยอมรับว่าYe สร้างแรวงต้านทาน cancel culture ไว้แข็งแกร่งมาก เขารักษาชื่อเสียงของศิลปินและนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลในวงการดนตรีและวงการ fashion ไว้เหนียวแน่น ดูเหมือนว่า หากเขาต้องการจะสนับสนุนใครสักคนให้มีชื่อเสียงโด่งดังก็ดูไม่ยากเย็นเกินความสามารถ ในทางตรงกันข้าม หากจะทำลายให้อีกฝ่ายดับไป ก็สังเวยได้แม้แต่ศิลปินที่ร่วมงานสร้างดนตรีโดดเด่นกันมาหลายปี ดังกรณีของ Kid Cudi ศิลปินดังที่ Ye มีงาน collab กับ Ye มาเพียบ ก็ถูกลากมาพัวพันกับดราม่า เมื่อ Ye ประกาศว่าจะไม่ขอร่วมงานกับ Kid ในอัลบั้มใหม่ นั่นเป็นเพราะว่า Kid มีมิตรภาพที่ดีกับ Pete นั่นเอง

แต่ Kid ไม่ยอมปล่อยให้ถูกมองว่าเขาถูก rapper รุ่นพี่ตัดความสัมพันธ์ฝ่ายเดียว  เขาโต้กลับว่า ไม่อยากร่วมงานกับ Ye สักนิด และจิกอีกฝ่ายให้เจ็บใจว่า เป็นเจ้าไดโนเสาร์   เขายังอธิบายต่อว่า ได้เจรจาประเด็นนี้จยไปหลายอาทิตย์แล้ว แต่ Ye ก็โพสต์ข้อความไม่เป็นความจริงเพื่อจะสร้างกระแสให้ตัวเอง 
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Kid Cudi ไม่ใช่เรื่องใหม่ จากกรณี Hit-Boy ศิลปินที่ร่วมงานกับYe มาหลายครั้งได้แชร์เรื่องราวผ่านsocial media ว่า Ye ปฏิเสธไม่ร่วมงานกับเขาอีกต่อไป เพราะเขาได้ทำดนตรีร่วมกับ Beyonce (ผู้ที่น่าจะหันหลังให้กับมิตรภาพกับYe แบบไม่ใยดี) ซึ่ง Ye ไม่ได้บอกปัดข้อกล่าวหานี้แบบเต็มที่ และบอกว่า ไม่ได้โกรธเคืองที่ทั้งคู่ร่วมงานกัน แต่เคืองที่รู้เรื่องทีหลัง!

หรือจะเป็นไม่กี่วันมานี้ Ye ยังใช้อำนาจเงินยื่นข้อเสนอให้ Michael Che   ตลกผิวดำที่เป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานของ Pete ในรายการ SNL  ยุติการร่วมงานกับตลกผู้เป็นศัตรูหัวใจ   หากตกลงก็จะตบรางวัลเป็นเงินรายได้สองเท่าจากค่าตอบแทนปกติ   Michael ตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็วว่าจะไม่ทรยศเพื่อน แต่ก็เล่น joke ตามมาว่า ควรได้เงินอย่างน้อยสามเท่าของรายได้ และโบนัสอีกมากมายหลายข้อ

สัญญาณแห่งความรุนแรงและการคุกคาม



หลังจากที่ Yeโชว์ข้อความที่ Pete ได้ส่งมาประนีประนอมและสัญญาว่า จะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องครอบครัวและการเลี้ยงดูลูกๆ ดูเหมือนว่าข้อความที่มีโทนสุภาพนี้จะไม่ได้ทำให้ Ye พอใจ เขาประกาศว่า ไม่มีวันที่จะยอมให้ Pete เจอะเด็กๆ และดูถูกดุแคลนด้วยคำหยาบอย่างไอ้ทุเรศและขยะ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเรียกร้องกับแฟนๆของตัวเองว่า หากเจอ Pete เมื่อใด ก็ให้ตะโกนใส่ไปเลยว่า

"Kimye Forever"

เรื่องนี้อาจจะทำให้Kim รู้สึกหวาดหวั่นกับความปลอดภัยของหวานใจคนใหม่ เธอระแวงว่า จะมีคนที่คล้อยตามกับการจูงใจหรืออยากเอาใจ Ye จนทำเรื่องอันตรายขึ้นมา เธอจึงส่งข้อความมาขอร้องให้ Ye พิจารณา ไม่ส่งข้อความชักชวนให้ผู้อื่นจ้องทำร้ายร่างกายPete

Ye เคยยอมรับมาก่อนว่า เมื่อเครียดหนัก จะใช้การดื่มเหล้าเพื่อบรรเทาความเครียด ซึ่งมันยิ่งสร้างผลกระทบต่อสุขภาพ เพราะมีปัญหาอารมณ์ฉุนเฉียวโมโหง่ายอยู่แล้ว ยิ่งดื่มก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว

ที่ผ่านมาชาวเน็ทบางคนก็เคยชี้ว่าYe เคยมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ลงไม้ลงมือ paparazzi จนต้องชดเชยค่าเสียหายมาแล้ว หรือจะเป็นไม่กี่วันมานี้ที่สื่อเสนอข่าวว่า เขาต่อยแฟนช่างตื๊อขอลายเซ็นต์ เจ้าตัวชี้แจงสาเหตุคล้ายกับครั้งที่ผ่านมาว่า เป็นฝ่ายถูกยั่วยุ นั่นทำให้มีผู้แสดงความวิตกกังวลว่า อาจจะเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับ Pete ก็เป็นได้



เมื่อได้รับข้อความขอร้องจาก Kim Ye รีบรนำบทสนทนามาแชร์ให้คนทั้งโลกรับรู้ รวมไปถึงคำถามที่อัดอั้นตันใจจาก(ว่าที่)อดีตภรรยาว่า "ทำไมเราถึงจะคุยกันแบบส่วนตัวไม่ได้" คำตอบที่ว่า " ฉันเป็นแฟนเบอร์หนึ่งของเธอนี่นา ทำไมถึงจะโชว์ไม่ได้ล่ะ " และแม้ว่าจะตอบรับคำขอร้องของKimในแชทและประกาศบอกแฟนๆว่า อย่าได้ไปทำร้ายร่างกาย Skete (ฉายาที่ Ye ใช้เรียก Pete) แต่กลับใช้ภาพผู้ชายรัดคอคู่ต่อสู้ประกอบข้อความ!

ยิ่งทำให้ชาวเน็ทวิพากษ์กระหึ่มว่า นี่คือการคุกคามในรูปแบบหนึ่่ง รวมถึงการโชว์ภาพดอกกุหลาบเต็มหลังรถที่เขาส่งไปเป็นของขวัญวัน Valentines ให้ Kim ทั้งๆที่เธอนัดฉลองกับแฟนหนุ่มอย่างเปิดเผย ไร้ท่าทีของการให้ความหวัง ก็ทำให้บางคนนึกถึงพล็อทของหนังที่มีตัวละครที่ใช้คำว่ารักฝืนใจอีกฝ่าย







หลังจากสร้างความอื้อฉาวแล้ว จะประกาศขอโทษ ยอมรับในพฤติกรรมล้ำเส้น  และขอรับผิดชอบ


เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว Kanye ได้บรรยายการภาวนา Thanksgiving manic episode กำเริบ แสดงพฤติกรรมที่สร้างทั้งความเจ็บปวดและความอับอายให้กับภรรยา และประกาศขอรับผิดชอบ แต่ในสุดวงจรเดิมก็กลับมา

เมื่อคืนก่อนหน้าเขาก็ได้ยอมรับว่า การพิมพ์ข้อความด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่นั้นดูเหมือนกับข่มขวัญราวกับกำลังตะโกนใส่หน้ากัน และการนำข้อความสนทนาส่วนตัวมาเปิดเผยก็สะเทือนจิตใจและเป็นการคุกคาม Kim เขาจึงขอรับผิดชอบ และพยายามเรียนรู้เพื่อสื่อสารกันให้ดียิ่งขึ้น



แต่เพียงหกชั่วโมงต่อมา เขาก็โพสต์ภาพ Kim พร้อมกับคำบรรยายที่มช้คำพิมพ์ใหฯ่อีก!

คุณอาจจะเคยได้ยินคำถามว่า เหตุใด คนดังที่ถูกชาวเน็ทรุมวิจารณ์ว่ามีพฤติกรรมไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเช่นนี้จึงยังต่อยอดความสำเร็จอย่างล้นเหลือ ไม่ว่าจะเป็รด้านธุรกิจและงานดนตรี ในขณะทีคนดังจำนวนหนึ่งที่ถูก cancel จะต้องหลบลี้หนีหน้าไปจากสังคม ถูกแบรนด์ต่างๆยกเลิกสัญญา หรือแม้กระทั่งยุติผลงานที่ดำเนินมานาน (Chrissy Teigen, Ellen DeGeneres และ DaBaby) แม้ในสายตาของคนมากมาย การกระทำของ Ye ไม่ใช่การ bully เพื่อความสะใจเพียงเท่านั้น แต่เข้าข่าย power harassment และส่งผลเสียหาย หากมีคนเห็นดีเห็นงามว่านี่คือสิ่งที่ควรนำมาเป็นแบบอย่าง แต่ก็ยังมีผู้ออกมาปกป้องเขาด้วยการโทษ Kim และครอบครัว Kardashian ว่าเป็นฝ่ายกดดันจนอาการ bipolar ของ Ye กำเริบ

แต่มันยุติธรรมหรือที่จะกล่าวหาว่า Kim และครอบครัว เป็นต้นเหตุของพฤติกรรมแปรปรวน     เมื่อเธอเคยเปิดใจแล้วว่า ต้องพบกับความทุกข์ใจเพียงใดเมื่อคนป่วยไม่ให้ความร่วมมือรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ และคนในครอบครัวก็ไร้พลังอำนาจใดๆจะดึงเขากลับสู่การรักษาได้


รับรู้เรื่องอาการป่วยชัดเจน


ชาวเน็ทบางคนได้ยกกรณีของ Britney Spears ที่ถูกควบคุมอิสระมาเนิ่นนานสิบกว่าปีและรักษาโรค Bipolar ทั้งการใช้ยาและรับบำบัด แต่เธอไม่สามารถหลุกพ้นจาก conservator ที่สร้างความทุกข์ทรมานใจมาโดยตลอด จนกระทั่งที่รวบรวมความกล้าเปิดเผยข้อใูลกับสาธารณชน กระแสสนับสนุนอย่างล้นหลามทำให้เธอได้รับชีวิตที่เป็นอิสระกลับคืนมา เมื่อมาถึงประเด็นความเจ็บป่วยของ Ye ผู้ที่มีประสบการณ์จริงกับโรคนี้ได้ยืนยันว่า ไม่ควรนำพฤติกรรมของผู้ป่วยมาเปรียบเทียบกัน เพราะแต่ล่ะคนย่อมมีระดับอาการแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะได้รับการวินิจฉัยว่าเจ็บป่วยทางจิตเวชมากกว่าหนึ่งโรค ตัว rapper ชื่อดังและภรรยาก็เคยเปิดใจถึงความยากลำบากในการต่อสู้กับโรคนี้

ย้อนไปเมื่อปี 2019 เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ David Letterman ว่าหากไม่กินยาเพื่อควบคุมอาการให้คงที่ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเครียดจัดจนกระมั่งอาจจะต้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล และเริ่มแสดงพฤติกรรมแปรปรวน และเมื่ออาการกำเริบก็จะเกิดความหวาดระแวงพุ่งสูง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด หรือใครก็ไม่ไว้ใจ มีความคิดว่าถูกดักฟัง และระแวงว่าทุกคนต่างจ้องจะเอาชีวิต

หลังจากที่ถูกส่งโรงพยาบาลจิตเวชในปี 2016 อาการmanic episode ก็กลับมาเยือนYe อีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า เกิดจากการใช้ยารักษาอย่างไม่ต่อเนื่อง





ล่าสุด Netflix ก็ส่งสารคดี Jeen-yuhs: A Kanye Trilogy ออนแอร์ตอนแรกเข้ากับกระแสดราม่า ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการเกาะติดชีวิตของ Ye มาตั้งแต่ยุค 2000s เรียกได้ว่าเห็นพัฒนาการกันอย่างใกล้ชิดในระยะเวลาสองทศวรรษตั้งแต่เขายังเป็นดาวรุ่งของวงการ Hip Hop เจาะลึกในด้านที่ไม่ได้ปรากฏตามแทบลอยด์ รวมถึงเส้นทางการต่อสู้กับความมืดมิดในจิตใจ ซึ่งอาจจะทำให้ผู้คนทำความเข้าใจกับตัวตนของเขาได้มากขึ้น

The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE