สครับผิวเพื่ออะไร? ถ้าอยากมีผิวเนียนหน้าไบร์ทต้องรู้!
wararatlw 65 22
รู้ไหมคะว่าทำไมต้องสครับผิว? ถ้าเราปล่อยผิวเอาไว้โดยไม่ต้องสครับเลยได้มั้ย หรือการสครับผิวมันจำเป็นต้องทำถี่แค่ไหน ทำแล้วจะผิวบางมั้ย มา..เราจะพามาไขข้อสงสัยกันว่าทำไมถึงควรสครับ หรือผลัดเซลล์ผิว :D
การ "สครับผิว" ที่เราเรียกติดปาก จริงๆ แล้วมันคือการผลัดเซลล์ผิวรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ชอบดูแลตัวเองแบบเราๆ
การสครับผิวจะช่วยใน "การผลัดเซลล์ผิว" ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผิวของเราเนียนกริ๊บ! ดูหน้าไบร์ทกระจ่างใสขึ้น เพราะมันจะช่วยผลัดผิวเก่าๆ ของเราออกไป จนได้ผิวใหม่ที่ดูดีขึ้น :)
การ "สครับผิว" ที่เราเรียกติดปาก จริงๆ แล้วมันคือการผลัดเซลล์ผิวรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ชอบดูแลตัวเองแบบเราๆ
การสครับผิวจะช่วยใน "การผลัดเซลล์ผิว" ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผิวของเราเนียนกริ๊บ! ดูหน้าไบร์ทกระจ่างใสขึ้น เพราะมันจะช่วยผลัดผิวเก่าๆ ของเราออกไป จนได้ผิวใหม่ที่ดูดีขึ้น :)
ทำไมต้องสครับผิว?
ตามปกติแล้วผิวของเราจะมีการผลัดเซลล์ผิวเองตามธรรมชาติประมาณทุกๆ 28 วันอยู่แล้วแต่ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่นอายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือการทำร้ายจากแสงแดดอาจทำให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวเสื่อมลง มีประสิทธิภาพลดลง เกิดขึ้นช้าลง ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วอาจหลุดลอกออกไปได้น้อยลงกว่าเดิม = หมายความว่าผิวเราจะดูไม่สดใส ไร้ชีวิตชีวา ดูหมองไม่เรียบเนียน และหากมีเซลล์ผิวที่ตายแล้วอยู่บนผิวเป็นจำนวนมากก็อาจเป็นสาเหตุของผิวอุดตัน และทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย บรึ้ยยย! นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ไม่ควรมองข้ามการผลัดผิวเลยล่ะ
ถ้าอยากมีผิวกระจ่างใส เรียบเนียน = ควรสครับผิว ผลัดเซลล์ผิว
การผลัดเซลล์ผิวเป็นประจำจึงมีความสำคัญมากถ้าหากต้องการให้ผิวดูกระจ่างใสเหมือนกับว่าเราไปช่วยในการทำงานของผิวให้ผลัดได้ดียิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอก การผลัดเซลล์ผิวเป็นประจำยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ รอยคล้ำ รอยแผลเป็นให้จางลงได้ด้วย และที่สำคัญยังช่วยให้สกินแคร์ที่เราใช้อยู่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย อ่ะ นี่แหละว่าใครที่แต่งหน้าไม่ค่อยติด หน้าไม่นุ่มชุ่มชื้น อาจเป็นเพราะไม่เคยสครับผิวหรือเปล่า?
การสครับผิวทำยังไงได้บ้าง?
"ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว" แต่ไม่รู้จะเลือกใช้แบบไหนดี? กรดแต่ละชนิดคืออะไรทำไมมีเยอะจัง! แถมยังมีให้เลือกหลายแบรนด์ หลายรูปแบบ และยังมีชื่อส่วนผสมแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นหูเยอะแยะไปหมด! จนอาจทำให้หลายคนรู้สึกสับสน และไม่รู้ว่าควรจะเลือกใช้อะไรดีที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผิว?พาทุกคนมาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีอยู่ในท้องตลาดตอนนี้ว่ามีประเภทไหนบ้าง และแต่ละชนิดเหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิวแบบไหนกันแน่ ต่อไปนี้เราจะได้เลือกใช้ให้เหมาะกับผิวเราแล้ว
ผลัดเซลล์ผิวมี 2 แบบ การสครับผิว & ทาครีม
ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวแบบ Physical หรือที่ทุกคนคุ้นเคยกันในชื่อ "สครับผิว" และแบบ Chemical ที่เรียกง่ายๆ ว่าใช้วิธีการทาครีม ทาเซรั่มต่างๆ ลงบนผิว มาดูกันว่าแต่ว่าแต่ละแบบต่างกันยังไง และผิวของเราเหมาะกับประเภทไหนกันผลัดเซลล์ผิวแบบ Physical (Physical Exfoliants)
เป็นการผลัดเซลล์ผิวโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดสครับ ฟองน้ำขัดผิว เช่น ฟองน้ำใยบุก (Konjac Sponge) หรือแผ่นขัดผิว (Peeling Pad) มาขัดถูบนผิวชั้นนอก (Epidermis) เพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป
การสครับผิวด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะไม่ได้ทำงานลงลึกไปถึงชั้นผิวชั้นใน (Dermis) และจำเป็นต้องใช้ความเบามือในการขัด เพราะหากขัดแรงจนเกินไปอาจทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคือง หรือบาดผิวทำให้ผิวเป็นแผลได้
ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่การสครับผิวด้วยวิธีนี้ก็ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจ และเราสามารถควบคุมน้ำหนักมือที่ใช้ในการขัดตามต้องการได้ด้วย
ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่การสครับผิวด้วยวิธีนี้ก็ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจ และเราสามารถควบคุมน้ำหนักมือที่ใช้ในการขัดตามต้องการได้ด้วย
เหมาะกับใคร
- ทุกสภาพผิวยกเว้นผิวแห้งมาก และผิวแพ้ง่าย
ผลัดเซลล์ผิวแบบ Chemical (Chemical Exfoliants)
การผลัดเซลล์ผิวแบบ Chemical คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด (Acids) ชนิดต่างๆ ในการช่วยผลัดเซลล์ผิว ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจมาในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโทนเนอร์ เอสเซนส์ เซรั่ม ครีม หรือแม้แต่มาสก์ก็ตามผลิตภัณฑ์ที่มีขายตามท้องตลาดโดยทั่วไปจะมีความเข้มข้นในระดับที่ไม่แรงมาก และค่อนข้างมีความปลอดภัย อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวได้ทุกชนิด เพราะแต่ละแบบก็มีคุณสมบัติและความเข้มข้นมากน้อยแตกต่างกันไป เราจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิวที่เราต้องการจะแก้ไขเพื่อให้เกิดผลสูงสุด
ผลิตภัณฑ์ผลัดผิวแบบ Chemical สามารถแบ่งออกตามประเภทของกรดชนิดต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 4 ชนิดหลักๆ ดังต่อไปนี้
- Alpha Hydroxy Acids (AHAs)
- Beta Hydroxy Acids (BHAs)
- Poly Hydroxy Acids (PHAs)
- Lipo Hydroxy Acids (LHAs)
Alpha Hydroxy Acids หรือ AHAs
เป็นสารที่ละลายในน้ำ ซึ่งสกัดมาจากกรดผลไม้ชนิดต่างๆ พืช และนม ไม่ว่าจะเป็น Glycolic Acid ซึ่งสกัดมาจากอ้อย Lactic Acid ที่สกัดมาจากนม และพืชที่ผ่านการบ่มหรือหมัก Malic Acid ที่ปรากฏอยู่ในแอปเปิ้ล Citric Acid ที่ปรากฎอยู่ในผลไม้ตระกูลส้ม และ Tartaric Acid ซึ่งปรากฎอยู่ในองุ่น แต่ AHAs ก็สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้เช่นเดียวกันAHAs ทำงานบนผิวชั้นนอกเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน สม่ำเสมอ ช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดเลือนจุดด่างดำและรอยดำจากสิว และเมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง AHAs สามารถช่วยเพิ่มคอลลาเจน และความยืดหยุ่นของผิวได้อีกด้วย โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเปอร์เซนต์ความเข้มข้นของ AHAs ต่ำแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดตามความจำเป็น
เหมาะกับใคร
- ผิวแห้ง
- คนที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ รอยดำ กระ ฝ้าจากแดด
- ผิวมีอายุ
- คนที่มีปัญหาขนคุด (Keratosis Pilaris)
Beta Hydroxy Acids หรือ BHAs
สารที่ละลายในน้ำมัน ซึ่ง BHAs ที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยมากที่สุดก็คือ Salicylic Acid นั่นเอง BHAs สามารถทำงานลึกลงไปถึงรูขุมขน และทำงานบนผิวชั้นนอกในเวลาเดียวกัน เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวให้เรียบเนียน และยังช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ขจัดซีบัม ลดความมันบนผิวซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว นอกจากนั้น BHAs ยังสามารถช่วยผลัดเซลล์ของผิวหนังที่มีความด้านหนาเป็นพิเศษให้นุ่มลงได้ด้วยเหมาะกับใคร
- ผิวมัน
- ผิวเป็นสิว
- บริเวณผิวหนังที่มีความด้านหนา เช่น ส้นเท้า เป็นต้น
Poly Hydroxy Acids หรือ PHAs
กรดที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับ AHAs แต่มีโมเลกุลที่ใหญ่กว่า จึงสามารถทำงานแค่บนผิวชั้นนอก และมีความอ่อนโยนระคายเคืองน้อยกว่าแอซิดชนิดอื่นๆ ซึ่งก็หมายความว่าผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวจาก PHAs อาจต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเริ่มเห็นผลเมื่อเทียบกับกรดชนิดอื่นๆ ที่มีความเข้มข้นมากกว่า นอกจากนั้นยังช่วยในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และช่วยให้ริ้วรอยดูลดเลือนลงด้วย ตัวอย่างของ PHAs ได้แก่ Gluconolactone, Lactobionic Acid และ Maltobionic Acidเหมาะกับใคร
- ผิวแพ้ง่าย
- คนที่เป็นโรซาเซีย (Rosacea)
- คนที่เป็นโรคผื่นแพ้อักเสบ (Eczema)
Lipo Hydroxy Acids หรือ LHAs
อนุพันธ์ของ Salicylic Acid และทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่ LHAs สามารถละลายน้ำได้ดีกว่า BHAs และมีความอ่อนโยนกว่าเพราะซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ช้ากว่า จึงสามารถช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และจัดการปัญหาสิวอย่างอ่อนโยน นอกจากนี้ยังช่วยกระตุนการผลิตเซลล์ผิวใหม่ได้อีกด้วยเหมาะกับใคร
- ผิวเป็นสิวที่แพ้ง่าย
ไอเท็มผลัดเซลล์ผิวแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน หากใช้แล้วอยากให้เห็นผลตามต้องการ อย่าลืมใส่ใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวเราจริงๆ และที่สำคัญอย่าเข้าใจผิดว่ายิ่งใช้บ่อยจะยิ่งเห็นผลเร็ว เพราะหากใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวชนิดใดๆ มากเกินจำเป็น จากผิวปังก็อาจกลายเป็นพังได้ง่ายๆ ได้นะ