คนดังก้าวข้ามความไม่มั่นใจเรื่องความงามได้อย่างไร
candy 49 16
สวยมากแค่ไหนก็ยังจิตตก
มันคงเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับหลายคนที่จะทำใจเชื่อว่า Megan Fox มีอาการ Body dysmorphic disorder และเธอก็เคยต้องทุกข์ทรมานจากโรคปฏิเสธอาหารมาก่อน นับตั้งแต่เป็นนางเอกวัยทีนที่แจ้งเปิดเปรี้ยงปร้างจากหนังสงครามหุ่นยนต์ ชื่อของเธอก็ถูกจัดให้ติดกลุ่มนางเอกสาวสวยเซ็กซี่ระดับtop มายาวนาน หนุ่มๆจำนวนมากเปิดเผยว่าเธอคือ crush ฝังใจ แม้แต่คู่หมั้นอย่าง Machine Gun Kelly ก็เคยติดโปสเตอร์เธอไว้ที่ห้องนอนไว้พร่ำเพ้อหาในสมัยวัยรุ่น หรือสาวๆจำนวนไม่น้อยที่ใช้ภาพของเธอมาเป็นต้นแบบเพื่อให้ศัลยแพทย์เนรมิตความงาม ความงามสะกดใจที่ได้รับการเปรียบเทียบว่าเธอจะเป็น Angelina Jolie คนต่อไปอาจจะทำให้คนอื่นต้องประหลาดใจที่พบว่า ในวัยเยาว์ Megan ที่เป็นเด็กสาวแสนสวยมาแต่ไหนแต่ไรเคยเผชิญกับเรื่องราวสะเทือนใจจนเจ็บป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหาร
"ฉันได้ก้าวเข้าสู่โลกที่มีแสงแดดสดใสและเต็มไปด้วยความสุข"
"อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง ฉันได้เผชิญกับความสะเทือนใจในวัยเด็กและส่งผลให้ป่วยเป็นโรคปฏิเสธอาหารอย่างรุนแรง และมีอาการอารมณ์แปรปรวนสองขั้วซึ่งเป็นความเจ็บป่วยที่สืบทอดในครอบครัวของฉัน"
Megan ไม่ได้บรรยายรายละเอียดในปัจจัยภายนอกที่เป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยของเธอ แต่ก่อนหน้านี้หลายปี เคยผู้อ้างตัวเป็นศิษย์เก่าที่เข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับนางเอกสาวว่า มีเสียงเล่าลือในหมู่นักเรียนเรื่องอาการ Bulimia ของMegan จนทำให้บางคนคาดเดาว่า เธอป่วยหนักจนต้องลาออกจากโรงเรียน
เมื่อ 12 ปีก่อน เธอก็เคยเผยประสบการณ์ชีวิตที่น่าตระหนกไว้ว่า
"ฉันจะอดอาหารจนรู้สึกว่าเกือบตายกว่าจะทำอาหารกิน ฉันว่าตัวเองเคยรอดมาได้โดยไม่กินอะไรเลยสัปดาห์หนึ่งเต็มๆ"
อาการ Body dysmorphic disorder
Meganแสดงความเห็นว่า คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามไม่ได้คว้าอะไรมาได้อย่างง่ายดายเหมือนกับที่หลายคนคิด
"พวกเราอาจจะได้เห็นใครสักคนแล้วคิดว่า คนๆนี้ช่างสวยเหลือเกิน ชีวิตของเค้าคงจะราบรื่นไปหมด แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนเหล่านั้นไม่ได้รู้สึกแบบที่ว่าเลยค่ะ"
"ฉันมีอาการ body dysmorphia ฉันเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเพราะไร้ซึ่งความมั่นใจ"
Body Dysmorphic Disorder : BDD คืออาการทางจิตเวชที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยรู้สึกไม่พึงใจรูปร่างหน้าตาของตัวเอง เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความย้ำคิดย้ำทำที่ส่งผลให้หมกมุ่นกับรูปลักษณ์ และสามารถเกิดขึ้นมากในกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจจนมีความเปราะบางต่อความเห็นของผู้อื่น ผู้ที่มีอาการนี้อาจจะไม่สามารถทำใจยอมรับตัวเอง คอยจ้องจับผิดหาจุดด้อยและพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองบ่อยๆ จนไปถึงขั้นเสพติดการศัลย.กรรม
"สิ่งที่ฉันคอยบอกกับตัวเองก็คือ ชีวิตคือสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วขณะซึ่งได้ดำเนินต่อกันเป็นฉากๆ ฉันได้เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความมั่นใจและมีคุณค่าทั้งทางด้านอารมณ์ความรู้สึกและจิตวิญญาณ ฉันรู้สึกสุขใจช่วงเวลานี้มากค่ะ"
ไอดอลหนุ่มน่ารักที่ค่อยๆเปิดใจยอมรับกระบนใบหน้าเพราะกำลังใจจากแฟนๆ
มาตรฐานความงามของประเทศเกาหลีใต้นั้นสร้างเสียงกล่าวขานไปทั่วทิศ เมื่อรวมกับพลัง fandom ที่คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากตัวศิลปินก็กลายเป็นแรงกดดันที่พวกเค้าจะต้องแบกรับ สำหรับวงการ K-Pop มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหากไอดอลผู้มีรูปโฉมสวยงามดึงดูดใจต้องประกาศขอโทษเพราะสิวขึ้น เพราะดูแลตัวเองไม่ดีพอจนทำให้แฟนๆผิดหวัง
แต่ถ้าเป็นกระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติล่ะ?
จุดเล็กๆสีน้ำตาลบนใบหน้าที่ดูเป็นเรื่องแสนปกติของผู้ที่มีเชื้อสายคอเคเชียน คือลักษณะไม่พึงปรารถนาของชาวเอเชียนที่อาศัยในประเทศแถบเอเชียเป็นจำนวนมาก มันเคยจุดประเด็นดราม่าร้อนแรงในจีน เมื่อโฆษณาของแบรนด์ fast fashionชื่อดังได้นำเสนอนางแบบจีนที่มีกระบางๆทั่วแก้ม และทำให้netizenจีนจำนวนมากกล่าวหาว่า คือการเหยียดเชื้อชาติจีนด้วยการจงใจเสนอภาพนางแบบที่ดูอัปลักษณ์ หรือแม้กระทั่งผู้ที่ยืนยันว่า คนจีนไม่ตกกระแบบนี้ แต่เรื่องราวก็ค่อยๆเงียบไป เมื่อผู้คนส่วนใหญ่มองว่า นี่เกิดจากมาตรฐานความงามที่แตกต่างกันของโลกตะวันตกและตะวันออก ในขณะที่ชาวเอเชียนจำนวนมากมายยึดติดว่า ความงามที่พึงปรารถนาคือผิวพรรณขาวเรียบเนียนดุจกระเบื้องเคลือบ หากปรากฏกระ รอยแดง หรือความคล้ำก็ถือเป็นความมัวหมองที่คอยปกปิดไว้ หรือทาทางกำจัดออกไป
ใบหน้าตกกระอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้เกลื่อนกลาดในกลุ่มชาวเอเชียน ในเมื่อหลายคนเลือกจะปกปิดมันไว้ แต่พวกเราต่างก็รู้กันดีแก่ใจว่า นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดหรือหายากมากขนาดนั้น เราพบเห็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องกระตามเพจความงามเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการขอคำแนะนำเรื่องคลีนิคความงามต่างนำเสนอบริการเลเซอร์กำจัดกระ หรือ makeup ที่ใช้กลบและskincare ที่ทำให้รอยสีน้ำตาลเหล่านี้ลบเลือน
แต่เมื่อไอดอลชื่อดังเผยผิวหน้าที่ตกกระชัดเจน เสียงตอบรับสังคมก็ดูแตกต่างหลากหลาย มีทั้งผู้ที่ประทับใจกับลุคที่แตกต่างจนทำให้โดดเด่น แต่สำหรับชาวเกาหลี นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกได้ว่า 'ผ่านมาตรฐานความงาม' แต่อย่างใด
แฟนๆยืนยันว่า ไม่น่าแปลกใจที่ Felix แห่ง Stray Kids จะตกกระ เขาอยู่ในกลุ่ม'ไอดอลอิมพอร์ท' จากพื้นเพที่เติบโตในประเทศออสเตรเลีย ประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องแสงแดดแผดจ้า ส่งผลให้ผิวพรรณที่ขาวเป็นทุนเดิมตกกระเกือบทั่วใบหน้า
และแม้ว่า Felix จะเคยเป็นหนุ่มน้อยผิวแทนแบบฉบับหนุ่มออสซี่ แต่เขาก็เผยความในใจว่า ตอนยังเป็นหนุ่มวัยใส เคยจิตตกกับกระบนใบหน้ามากถึงขั้นพยายามใช้นิ้วจิกออกเพราะคิดว่าจะทำให้กระหายไปได้ แต่มันก็ไม่หายไป เขาเป็นเพียงเด็กคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ตกกระ มันก็ยิ่งทำให้กังวลใจ โดยเฉพาะตรงกระบนจมูกที่สีเข้มชัด
แต่หลังจากได้รับกำลังใจจากแฟนๆว่าปลาบปลื้มกระที่ดูมีเสน่ห์น่ารัก Felix ก็รับปากว่า จะหันมาชอบกระของตัวเองให้มากขึ้น ถือว่าเป็นการสร้างพลังด้านบวกที่น่าจะนำไปเป็นตัวอย่างให้กับชาวเน็ทที่จ้องจับผิดไอดอลทุกตารางมิลลิเมตร!
การเปิดมตยอมรับกระนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เทรนด์ที่เกิดขึ้นวูบวาบ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเราจะได้เห็นเหล่าคนดังบนพรมแดงและปก magazine ด้วย makeup กลบรอยกระรวมถึงการรีทัชให้ผิวพรรณดูไร้ริ้วรอยหรือแม้แต่กระทั่งรูขุมขน แต่หลายคนได้กันมาโชว์ลุคที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น อย่าง Lily Collins ที่ยืนยันว่า เธอชื่นชอบรองพื้นเนื้อบางที่เน้นให้กระของเธอดูโดดเด่น และ Julianne Moore ที่เคยรับมือการ stereotype สาวผมแดงและการเหยียดหยามเรื่องกระที่กระจายชัดเจนทั่วตัว ก็หันมาเปิดใจ และไม่คอยปกปิดกระไปซะทุกครั้ง ในงานพรมแดงหรือการถ่ายแบบ เธอก็พร้อมจะเผยกระโดยไม่คอยวิตกกังวลอีกต่อไป
หากถามว่าสังคมเกาหลีมีทัศนคติต่อผิวตกกระเช่นไร ก็คงไม่ต่างจากบ้านเรานัก ตัวละคร Kang Sae-byeok อันโด่งดังจาก Squid Game นั้นฉีกไปจากนางเอกซีรีส์เกาหลีเรื่องอื่นๆ เพื่อสวมบทบาทของผู้แปรพักตร์เกาหลีเหนือ เธอจะต้องเติมกระลงไปทั่วหน้าให้ดูน่าเชื่อ อาจจะมองได้ว่า นี่คือลุคที่ไร้ความ glamorous เข้ากับบทหัวขโมยสาวที่ผ่านชีวิตอันลำบากยากเข็ญมาแล้ว
ร่างกายที่เป็นสาวอย่างรวดเร็วที่ทำให้ซุปตาร์สาวเกลียดตัวเอง
Billie Eilish เป็นอีกหนึ่งคนที่ประสบปัญหาอาการ BDD และนั่นไม่ใช่แค่ phase ของวัยรุ่นที่หมกมุ่นเรื่องรูปลักษณ์เพียงไม่นาน แต่เธอเจ็บป่วนจิตใจขั้นรุนแรงถึงขั้นมีความคิดอยากตายและทำร้ายตัวเองมาก่อน
"ฉันเคยเกลียดร่างกายตัวเองสุดๆ ฉันสามารถทำได้ทุกอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ฉันปรารถนาจะเป็นนางแบบมากเหลือเกินค่ะ แต่ฉันทั้งอ้วนและเตี้ย"
"ร่างกายฉันเติบโตเป็นสาวเร็วมากค่ะ ฉันเริ่มมีหน้าอกตั้งแต่เก้าขวบ ประจำเดือนมาครั้งแรกตอนอายุสิบเอ็ด ร่างกายโตล้ำไปก่อนจิตใจ มันก็ประหลาดดีนะ ตอนเด็กๆเราจะไม่คิดเรื่องร่างกายเลย แต่ในทันทีทันใด เมื่อเรามองตัวเอง อยู่ดีๆก็คิดว่า โว้ว ฉันจะต้องทำยังไงเพื่อจะเอาไอ้สิ่งพวกนี้ออกไปจากตัว?"
Billie เริ่มวิตกกังวลหนักเมื่อได้เข้าเรียนเต้นที่สตูดิโอแห่งหนึ่ง การฝึกฝนและเข้าร่วมแข่งขันเต้นทำให้เธอเอาแต่เปรียบเทียบตัวเองกับเด็กหญิงหน้าตาสวยน่ารักคนอื่นๆ เสื้อผ้าของสาวน้อยนักเต้นที่ทั้งรัดรูปและไซส์เล็กยิ่งทำให้เธอหมกมุ่นว่าตัวเองดูไม่สวยพอ ย่ำแย่ถึงขนาดที่ไม่สามารถจ้องมองตัวเองในกระจกได้ เมือบาดเจ็บที่สะโพกจนไม่สามารถฝึกเต้นได้ต่อไป เธอเจ็บป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและผ่านเวลาที่มืดมนตั้งแต่อายุ 13-16 ปี และเคยดิ่งหนักถึงขั้นที่เชื่อว่าตัวเองจะมีชีวิตไปยาวนานกว่า 17ปี
สิ่งที่ทำให้ Billie ฟื้นฟูจิตใจคือการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวที่ผูกพันใกล้ชิด และการบำบัดรักษา แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยอมรับว่า ยังคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
"ฉันเห็นภาพคนอื่นตามโลกออนไลน์ พวกเค้าดูเริ่ดในแบบที่ฉันทำไม่ได้ แล้วจู่ๆฉันก็รู้สึกว่า พระเจ้า พวกเค้าดูเป๊ะแบบนั้นได้ยังไงนะ"
"ฉันรู้เรื่องกลไกของวงการนี้ดีค่ะ รู้ว่าเค้าแต่งรูปกันยังไง และยังรู้ด้วยว่า รูปที่ดูเหมือนของจริงก็อาจจะเป็นของปลอมจากการตกแต่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็ยังทำให้ฉันรู้สึกว่า ตายละ มันทำให้ฉันรู้สึกแย่จัง"
"คือว่าฉันก็มั่นใจในตัวตนของฉันมากพอตัวนะ ฉันมีความสุขกับชีวิต แต่เห็นได้ชัดว่าฉันไม่พอใจกับร่างกายของตัวเองเลย แต่ใครบ้างที่พอใจ?"
นางเอกสาวสวยพลัสไซส์ที่เผยความรู้สึกเรื่องคำชมที่เหมือนกับถูกหลอกด่า
คุณเคยพบกับสถานการณ์ที่ได้รับคำชมแต่ทำให้รู้สึกแย่ลงรึเปล่าคะ?
การให้คำชมผู้อื่น ไม่ว่าจะมาจากความจริงใจหรือการรักษามารยาท จุดประสงค์ของคนกล่าวคำชมนั้นควรสร้างความยินดีให้กับผู้ฟัง แต่ในบางครั้ง อาจจะให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เมื่อไม่นานมานี้ Barbie Ferreira นักแสดงสาวแห่ง Euphoria ก็ได้เปิดเผยความรู้สึกเรื่องคำชมรูปลักษณ์ของสาวพลัสไซส์ ประเภท "เธอช่างกล้าหาญที่ใส่คร็อปท็อป" ไม่ได้ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มแต่อย่างใด
Barbie ที่เริ่มต้นอาชีพนางแบบพลัสไซส์ตั้งแต่วัยรุ่นอธิบายว่า
" สำหรับฉันการใส่คร็อปท็อปไม่ใช่เรื่องสุดโต่งแต่อย่างใด มันเป็นคำชมที่แฝงด้วยการจิกกัด ฉันนำเสนอลุคนี้มาตั้งแต่อายุ16 จนถึงปัจจุบันที่อายุ25แล้ว"
Billie Eilish ก็เคยเคืองเรื่องเดียวกัน จากภาพของเธอที่สวมใส่เสื้อสายเดี่ยวรัดรูปและกางเกงขาสั้นระดับเข่าที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนเป็น trending มีทั้งคนที่ body-shame เรื่องไซส์หน้าอกและความอวบของเธอ และคนที่ร่วมปกป้อง-เรียกร้องสังคมหยุดอคติกับคนที่ไม่ผอม แต่เมื่อ Billie เจอความเห็นประมาณว่า ก็ดีสำหรับเธอแล้วล่ะที่รู้สึกสบายใจกับรูปร่างใหญ่ของตัวเอง (ซึ่งคล้ายกับแฝงด้วยโทนของความเห็นใจหรือเหน็บแนม) ก็ทำให้เธอโหโหจนสบถคำหยาบ
การให้คำชมผู้อื่น ไม่ว่าจะมาจากความจริงใจหรือการรักษามารยาท จุดประสงค์ของคนกล่าวคำชมนั้นควรสร้างความยินดีให้กับผู้ฟัง แต่ในบางครั้ง อาจจะให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เมื่อไม่นานมานี้ Barbie Ferreira นักแสดงสาวแห่ง Euphoria ก็ได้เปิดเผยความรู้สึกเรื่องคำชมรูปลักษณ์ของสาวพลัสไซส์ ประเภท "เธอช่างกล้าหาญที่ใส่คร็อปท็อป" ไม่ได้ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มแต่อย่างใด
Barbie ที่เริ่มต้นอาชีพนางแบบพลัสไซส์ตั้งแต่วัยรุ่นอธิบายว่า
" สำหรับฉันการใส่คร็อปท็อปไม่ใช่เรื่องสุดโต่งแต่อย่างใด มันเป็นคำชมที่แฝงด้วยการจิกกัด ฉันนำเสนอลุคนี้มาตั้งแต่อายุ16 จนถึงปัจจุบันที่อายุ25แล้ว"
Billie Eilish ก็เคยเคืองเรื่องเดียวกัน จากภาพของเธอที่สวมใส่เสื้อสายเดี่ยวรัดรูปและกางเกงขาสั้นระดับเข่าที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนเป็น trending มีทั้งคนที่ body-shame เรื่องไซส์หน้าอกและความอวบของเธอ และคนที่ร่วมปกป้อง-เรียกร้องสังคมหยุดอคติกับคนที่ไม่ผอม แต่เมื่อ Billie เจอความเห็นประมาณว่า ก็ดีสำหรับเธอแล้วล่ะที่รู้สึกสบายใจกับรูปร่างใหญ่ของตัวเอง (ซึ่งคล้ายกับแฝงด้วยโทนของความเห็นใจหรือเหน็บแนม) ก็ทำให้เธอโหโหจนสบถคำหยาบ
ใช่แล้วค่ะ นี่เป็นประเด็นที่กลุ่มที่มีรูปร่างใหญ่ได้ออกมา call out กันหลายครั้ง จากการร่วมรณรงค์ให้สังคมยอมรับรูปร่างที่หลากหลายนั้น ได้ครอบคลุมถึงความเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อรูปร่างพลัสไซส์ว่าเป็นคนปกติไม่ต่างจากรูปร่างอื่น ความเห็นที่ว่าพวกเค้าช่างกล้าเหลือเกินที่สามารถเปิดเผยรูปร่างโดยไม่หวาดหวั่นต่อสายตาคนรอบข้างนั้น อาจจะถูกตีความว่าเป็นการ 'หลอกด่า' นั่นเอง
คำชมที่คล้ายว่ามาจากความเห็นใจนั้นอาจจะทำให้คนฟังสะอึก ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไม่ได้มีรูปร่างผอมหรือคนที่มีอกใหญ่หรือจะเป็นรูปร่างแบบใด ไม่จำเป็นต้องได้รับความสงสาร แต่เป็นแสดงการให้เกียรติ โดยไม่ทำให้พวกเค้ารู้สึกแปลกแยกต่างหาก
Barbie ผู้ที่เคยไม่มั่นใจเรื่องรูปร่างจนต้องใส่เสื้อผ้าอำพรางสัดส่วน กระทั่งเมืออายุ 16 ปีก็ได้รับว่าจ้างจาก American Apparelให้เป็นนางแบบ จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เธฮใส่เสื้อผ้าเข้ารูป และจุประกายความหวังว่า อาชีพนางแบบเปิดประตูสู่เส้นทางการเป็นนักแสดง
"เพราะว่าฉันเป็นสาวไซส์ใหญ่ ไม่ว่าจะทำอะไรฉันก็จะได้รับคำถามเรื่องความคิดในแง่บวกเรื่องรูปร่าง แต่นี่ไม่ได้ช่วยให้สังคมมองเรื่องรูปร่างใหญ่เป็นเรื่องธรรมดาเลย เมื่อได้ก้าวเข้ามาทำอาชีพในวงการที่มีมาตรฐานความงามจนขึ้นชื่อลือชา คนอื่นก็มองว่า ฉันจะต้องเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อการสร้างความมั่นใจเรื่องรูปร่าง ซึ่งในตอนเริ่มแรกในการทำอาชีพนี้ ฉันก็ได้ผลประโยชน์จากมันอยู่หรอก แต่ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉันก็มีมุมมองเป็นของตัวเองว่า ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องถูกนำมาผูกกับไซส์ของฉันเสมอไป ฉันว่าลองปรับแนวคิดกันหน่อยดีมั้ย ฉันอยากจะให้มีการลบมายาคติของ Hollywood อันนี้ออกไปเพื่อจะได้มีพื้นที่สำหรับคนที่มีความแตกต่างบ้าง"
Barbie ยังได้แก้ไขความเข้าใจว่า แม้เธอจะเป็นสาวพลัสไซส์ที่ชื่นชอบแต่งตัว ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องเป็นคนที่รักตัวเอง แต่การสันนิษฐานกันไปเองก็สร้างแรงกดดันเช่นกัน
"ฉันว่ารูปร่างใหญ่ไม่ได้เทรนดี้อีกเหมือนแต่มันเคยเป็น ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับฉันจริงๆ แต่สิ่งที่เรา ควรให้ความสำคัญยิ่งก็คือ แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องลำบากสำหรับพวกเราที่จะหันมารักตัวเอง และกลุ่มคนอายุน้อยส่วนมากก็ยังค้นหาหนทางไม่พบ"
"มันตลกมากที่คนอื่นต่างคิดกันไปเองว่าฉันต้องรักตัวเอง แต่ฉันพูดแบบนั้นออกไปงั้นเหรอ ไม่เคยสักหน่อย พวกคุณแค่พูดกันไปเอง แล้วก็โพสต์หัวข้อนี้เกี่ยวกับตัวฉัน"
"บอกกันตามตรง เสื้อผ้าที่ฉันใส่ได้น่ะมีจำกัดเอามากๆค่ะ ฉันต้องมาคอยนึกเสียดายเสมอว่า ถ้าเสื้อผ้าเหล่านั้นมีไซส์ที่ฉันใส่ได้แล้วล่ะก็ ฉันคงออกไปเฉิดฉายทำอะไรได้มากกว่านี้เยอะเลย"
"ทั้งๆที่ฉันสามารถเข้าถึงทุกแหล่งเพื่อจะเสาะหาเสื้อผ้าที่พอดีตัว แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ฉันจึงเข้าใจความรู้สึกของทุกๆคนที่ต้องคอยหาชุดที่มีขนาดพอดี"
"ฉันว่ารูปร่างใหญ่ไม่ได้เทรนดี้อีกเหมือนแต่มันเคยเป็น ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับฉันจริงๆ แต่สิ่งที่เรา ควรให้ความสำคัญยิ่งก็คือ แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องลำบากสำหรับพวกเราที่จะหันมารักตัวเอง และกลุ่มคนอายุน้อยส่วนมากก็ยังค้นหาหนทางไม่พบ"
"มันตลกมากที่คนอื่นต่างคิดกันไปเองว่าฉันต้องรักตัวเอง แต่ฉันพูดแบบนั้นออกไปงั้นเหรอ ไม่เคยสักหน่อย พวกคุณแค่พูดกันไปเอง แล้วก็โพสต์หัวข้อนี้เกี่ยวกับตัวฉัน"
"บอกกันตามตรง เสื้อผ้าที่ฉันใส่ได้น่ะมีจำกัดเอามากๆค่ะ ฉันต้องมาคอยนึกเสียดายเสมอว่า ถ้าเสื้อผ้าเหล่านั้นมีไซส์ที่ฉันใส่ได้แล้วล่ะก็ ฉันคงออกไปเฉิดฉายทำอะไรได้มากกว่านี้เยอะเลย"
"ทั้งๆที่ฉันสามารถเข้าถึงทุกแหล่งเพื่อจะเสาะหาเสื้อผ้าที่พอดีตัว แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ฉันจึงเข้าใจความรู้สึกของทุกๆคนที่ต้องคอยหาชุดที่มีขนาดพอดี"
เธอได้เปรียบเทียบประสบการณ์ในชีวิตจริงกับการสวมบทบาทเป็นKat ที่ประสบปัญหาเกลียดชังตัวเองจนรู้สีกไร้ค่า ยิ่งเห็นการเชิญชวนจาก internet ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการปลุกใจว่า 'ต้องรักตัวเอง'
"ฉันคิดว่าในฉากที่แสดงนั้นมันเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ส่วนตัวเต็มๆ ฉันเคยตกเข้าไปอยู่ท่ามกลางความกดดันให้คิดบวก ซึ่งมันทำให้ฉันเสียสุขภาพจิตหลายต่อหลายครั้ง"
"ฉันไม่อยากให้ใครต่อใครมาคอยใส่ใจเรื่องที่ฉันมีความมั่นใจ นั่นเป็นเพราะว่า ฉันไม่ได้มั่นใจเลย ถ้าคุณไม่ได้มีรูปลักษณ์ในแบบที่นิยมกันในวงการ Hollywood หรือวงการ fashion คุณก็จะถูกมองว่าเป็นผู้กล้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งฉันรู้สึกว่ามันไม่ให้เกียรติกัน ฉันคิดว่าการถูกจับใส่กรอบและกดดันให้พอใจในตัวเองไปทุกอย่างตั้งแต่ยังอายุน้อยๆนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากมากค่ะ"
" ฉันจะก้าวต่อไปข้างหน้า และหวังว่าสักวันหนึ่ง ผู้คนจะเลิกให้ความสำคัญผิดเรื่อง"
สำหรับการเพิ่มพูนความมั่นใจนั้น Barbie ให้เครดิตซีรีส์ดังที่ทำให้เธอแจ้งเกิดในวงการแสดง
"Euphoriaได้สอนให้ฉันเรียนรู้มากมาย เปลี่ยนชีวิตของฉันไปเลยค่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจจากรูปลักษณ์อีกต่อไป และฉันเริ่มโหยหาที่จะได้รับความสนใจจากความสามารถ ซีรีส์เรื่องนี้ได้มอบความมั่นใจในแบบที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน"