เบื้องหลังภาพอันสวยงามของคนดัง
candy 43 13ผู้คนมากมายมักจินตนาการถึงภาพชีวิตอันเลิศเลอของเหล่าคนดังจากภาพผ่านหน้าจอที่สวยงามราวกับfantasy แต่เบื้องหลัง พวกเค้าหลายคนกลับต้องพบกับความเจ็บปวดทางร่างกายเพื่อสร้างบทบาทให้สมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าต้องแลกกับเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และน้ำตา
ลองมาพบกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังภาพอันโสภาของคนดังที่หลายคนอาจจะไม่ได้คาดคิดกับเราได้เลยค่ะ
Lily Collins ต้องพบแพทย์รักษาเท้าทุกสัปดาห์ตอนถ่ายทำ Emily In Paris
สำหรับผู้หญิงมากมายทั่วโลก รองเท้าส้นสูงคือสัญลักษณ์ทาง fashion ที่สร้างความมั่นใจได้เสมอ จุดประสงค์ที่พวกเรายอมเมื่อยบนส้นเล็กๆคู่นั้นไม่ได้มีเพียงแต่ปรารถนาจะเพิ่มความสูง เห็นได้ชัดจากเหล่าสาวๆที่เป็นเจ้าของรูปร่างสูงเพรียวเหมือนนางแบบก็ยังสวมใส่รองเท้าส้นสูงปรี๊ดไม่ได้ขาด แน่นอนว่า ในบรรดาหนัง-ซีรีส์ที่นำเสนอ fashionที่โดดเด่นย่อมมาพร้อมกับ collection รองเท้าส้นสูงแบรนด์เนมที่เห็นแล้วต้องตาลุกพรึ่บ ไม่ว่าจะเป็น Sex And The City, The Devil Wears Prada, Gossip Girl และล่าสุด Emily In Paris ผลงานจาก Netflix Original ที่กอบโกยเรตติ้งจากผู้ชมนานาประเทศ
แม้ชาวเน็ทจำนวนมากได้แสดงความเห็นโต้แย้งกับ style ที่ดูล้นของ Emily ว่าดูเป็น fashion fail มากกว่า trendsetter (ซึ่งมาจากความตั้งใจของผู้สร้างซีรีส์และฝ่ายคอสตูมที่ต้องการhighlight บุคลิกที่สดใสมีชีวิตชีวาของเธอให้ดูโดดเด่นตัดกับความเรียบโก้แบบ La Parisienne Stylée) แตบรรดาสื่อfashion หลายเจ้าก็หยิบยกไอเท็มต่างๆของเธอมาจัดลำดับลุคที่ดูไฉไลที่สุด มองผ่านจอ Emily ผู้มีพลังเกินร้อยสามารถก้าวฉับๆทำงานอย่างคล่องตัวได้ทั้งวัน หรือจะเป็นการออกเดทตามสถานที่โรแมนติกหรือออกซิ่งยามราตรีกับก๊วนเพื่อนสาว
แต่เบื้องหลังภาพ fashion น่าตื่นตาตื่นใจ Lily Collins ก็ต้องโอดครวญว่า ใส่รองเท้าส้นสูงถ่ายซีรีส์ก็ว่าเป็นภาระหนักแล้ว ยังต้องพบกับภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรคต่อการทรงตัว
ในการให้สัมภาษณ์กับJimmy Fallon ที่ยกประเด็นเรื่องพล็อทใหม่ของEmily In Paris ใน season ต่อไป ว่ามีเสียงเรียกร้องให้เธอเดินทางออกจาก Paris ไปยังเมืองต่างๆทั่วโลก Emily ได้ตอบว่า พล็อทแบบ International Emily นั้นไม่มีปัญหา แต่ที่หนักใจคือเรื่องที่เธฮต้องใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานต่างหาก
"พูดตรงๆนะคะ ฉันไปถ้ายทำได้ทุกที่เท่าที่จะเป็นไปได้ แต่มีปัญหาอย่างเดียวค่ะ ฉันอยากจะเป็นไปได้ที่จะเดินไปตามถนนหนทางด้วยการใส่ flats เพราะคุณไม่รู้หรอกว่า การใส่รองเท้าส้นสูงเดินในกรุง Paris มันเจ็บปวดแค่ไหน"
เธอกำลังพูดถึงพื้นผิวทางเดินที่สร้างมาจากหินคอบเบิลนั่นเองค่ะ
"พูดตรงๆนะคะ ฉันไปถ้ายทำได้ทุกที่เท่าที่จะเป็นไปได้ แต่มีปัญหาอย่างเดียวค่ะ ฉันอยากจะเป็นไปได้ที่จะเดินไปตามถนนหนทางด้วยการใส่ flats เพราะคุณไม่รู้หรอกว่า การใส่รองเท้าส้นสูงเดินในกรุง Paris มันเจ็บปวดแค่ไหน"
เธอกำลังพูดถึงพื้นผิวทางเดินที่สร้างมาจากหินคอบเบิลนั่นเองค่ะ
"ฉันจะต้องไปหานักบาทาอนามัยทุกสัปดาห์เพื่อรักษาเท้าเพราะฉันต้องใส่รองเท้าส้นสูงตลอดเวลา"
"พื้นทางเดินทำจากหินคอบเบิลอยู่ทุกหนทุกแห่ง ฉันจะต้องใช้แผ่นรองที่ทำขึ้นมาสำหรับรองเท้าทุกคู่ที่ใส่"
Lily ยังแนะนำติดตลกว่า จะเป็นไรไปหาก season หน้าจะสร้างขึ้นมาภายใต้คอนเสปท์ Emily in Flats!
การใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานติดต่อกันที่ทำให้ Victoria Beckham มีเท้าผิดรูป
หนึ่งใน trademark ของ Victoria Beckham หนีไม่พ้นรองเท้าส้นสูงหลายรูปแบบ ไม่ว่าเป็น platform ส้นเข็มบอบบาง หลายปีก่อนเธอเคยประกาศว่า ชิงชังรองเท้า ballerina flats เหลือประมาณ และไม่อาจทำใจใส่มันได้ลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงของรูปเท้าก็ทำให้สื่อรุมประโคมข่าวและล้อเลียนอย่างไม่ปราณี
คุณอาจจะเคยเห็นภาพอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆของคนดังยามใส่รองเท้าส้นสูงแล้วเสียหลักสะดุด แต่ Victoria จะทรงตัวได้อย่างมั่นคงบนรองเท้าที่สูงห้านิ้วได้เป๊ะเสมอ ทุกย่างก้าว ทุกกิจกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวิตกกังวลกับปัญหารูปเท้าที่เปลี่ยนไป Katie Nicholl ผู้สื่อข่าวจาก Daily Mail ได้เผยคำสารภาพของ Victoria ไว้ว่า
"ฉันใส่รองเท้าส้นเข็มเสมอ แต่มันทำให้เท้าฉันดูแย่มาก ฉันแสนจะเกลียดเท้าตัวเอง มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดในตัวฉัน หนึ่งในเหตุผลที่ฉันใส่แต่รองเท้าสวยเริ่ดเหล่านี้ก็เพราะต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจจากเท้าอัปลักษณ์และดึงดูดสายตาไปที่ความสวยของรองเท้าแทน"
Victoria เคยสัมภาษณ์เปิดใจว่า เธอรู้สึกอับอายเมื่อถูกจับผิดและวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเท้าผิดรูป และเคยพิจารณาเรื่องการผ่าตัดแก้ไขรูปเท้า แต่ก็หวั่นใจเพราะได้ยินมาว่ามันจะสร้างความเจ็บปวดให้มากมาย ถึงกระนั้น เธอก็ยังสวมใส่รองเท้าสูงปรี๊ดอบ่างสม่ำเสมอไปอีกหลายปี และแทบไม่มีภาพตอนใส่ flat หรือรองเท้าแตะเผยแพร่ออกมา
จนประทั่งปี 2016 เธอก็ประกาศยอมรับว่า ไม่สามารถใส่ส้นสูงตลอดเวลาได้อีกต่อไป อย่างน้อยที่สุดในระหว่างทำงาน เธอก็คงใส่มันไม่ไหวเหมือนดังเคย
Victoriaเริ่มเปิดใจยอมรับ flat
"เมื่อธุรกิจเริ่มก้าวหน้าและฉันก็ต้องยุ่งทำงานมากขึ้น style ของฉันก็เปลี่ยนไป ฉันไม่สามารถวิ่งวุ่นไปมาใน studio และทำทุกอย่างพร้อมไปกับการจิกส้นสูง ฉันต้องทำหน้าที่หลากหลาย เป็นทั้งแม่ ภรรยา ทำงานในstudio ทุกวัน ฉันจำได้ว่า ครั้งหนึ่งฉันใส่รองเท้ากีฬาคู่กับกางเกงที่ดูแมนๆใน New York fashion show แล้วทำให้ทุกคนประหลาดใจกันใหญ่ ประมาณว่า โอ้ ตายแล้ว เธอใส่รองเท้ากีฬา! เมื่ออายุมากขึ้น ความมั่นใจของฉันก็เพิ่มมากตามไปด้วย ฉันรู้ว่าตัวเองใส่อะไรแล้วดูดี อะไรที่ทำให้มั่นใจและสบายใจ"
ในอดีต เธอยึดติดกับรองเท้าส้นสูงมากซะจนขาดมันไม่ได้ ไม่ว่าะจะเป็นสถานการณ์ใด อย่างเชียร์ลูกชายเตะฟุตบอลริมสนามหญ้า รอลูกๆเล่นน้ำที่ริมหาด เดินถนนที่หิมะตกกองทั่วพื้นน่าหวาดเสียว แต่เมื่อ Victoria สั่งสมประสบการณ์ตามวัยที่มากขึ้นก็ทำให้มุมมองเปลี่ยนแปลง ตอนที่นักข่าวขอให้แชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดทาง fashion เธอก็ได้ยกตัวอย่างเรื่องใส่รองเท้าส้นสูงพาลูกไปเที่ยว Disneyland ซึ่งในขณะนั้นก็ท้องแก่เก้าเดือน เมื่อวันเวลาหมุนเวียนผ่านไป เธอก็ค่อยๆผ่อนนคลายมากขึ้น
Ariana Grande ผมเสียหนักจากการย้อมผมแสดงซีรีส์จนมัดหางม้าได้อย่างเดียว
ที่ผ่านมา Ariana Grande น่าจะได้รับคำถามไม่รู้กี่ครั้งกี่หนว่า เพราะเหตุใด เธอจึงไม่เปลี่ยนทรงผมบ่อยๆเหมือนกับ superstar คนอื่น แต่รักเดียวใจเดียวกับผมหางม้าม้ายาวตรงจนกลายมาเป็น signature
แต่ผมทรงนี้มีที่มาที่น่าสนใจนะ
ใน Victorious ซิทคอมวัยใสที่ทำให้ Ariana แจ้งเกิดในวงการบันเทิง เธอมีรูปลักษณ์แตกต่างไปจากปัจจุบันมากโข ทุกตัวละครนำในซีรีส์มีผมสีเข้ม ยกเว้นแต่ Cat ที่โดดเด่นสะดุดตาด้วยผมสีแดงเฉดคัพเค้ก red velvet เพื่อลุคนี้ เธอจะต้องเติมสีผมสัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นเรื่องปกติที่เธอจะตื่นมาพบกับคราบสีแดงบนหมอน ยิ่งช่วงซีซันท้ายๆที่เริ่มทำงานดนตรีก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะเธอต้องย้อมผมกลับไปมาระหว่างสีแดงและสีน้ำตาล (เพราะผมแดงไม่ได้ตรงกับตัวตนที่เธอต้องการนำเสนอผ่านผลงานเพลง)
เธอบรรยายสิ่งตามมาจากการย้อมผมไม่หยุดหย่อนว่า "หัวพังอย่างสิ้นเชิง"
แม้ว่า Hair stylist จะพยายามแก้ไขผมเสียของ Ariana ด้วยวิธีย้อมที่ healthy ต่อเส้นผมและหนังศีรษะมากขึ้น แต่การฟอกสีและย้อมแดงติดต่อเป็นเวลาสี่ปีทำให้สภาพผมของเธอดูย่ำแย่จนไม่สามารถทำให้ให้คนอื่นเห็นตอนปล่อยผมได้ เธอจึงใช้วิธีมัดผมสูงเพื่ออำพรางความพัง แล้วมันก็กลายมาเป็นทรงผมที่เปรียบได้กับ'เครื่องแบบ'ของเธอ
บาดแผลและความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการแสดงสุดเป๊ะของ Beyonce
แฟนๆยกให้เธอเป็น Queen Of Performance ทั้งพรสวรรค์และความวิริยะอุตสาหะได้ส่งเสริมให้เธอเปล่งประกายดึงดูดผู้ชมไว้ราวกับมีมนตร์สะกด แต่ใครจะรู้ว่า เบื้องหลังการแสดงสุดเป๊ะ Beyonce ต้องพบกับความทุกข์ทรมานทางร่างกายยและปัญหาสุขภาพจิต!
ผลกระทบจากการแสดงคอนเสิร์ตที่ทำให้ต้องเจ็บป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ
"ฉันต้องต่อสู้กับอาการนอนไม่หลับมายาวนานกว่าครึ่งชีวิต ตลอดเวลาหลายปีที่ต้องทรมานด้วยอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อจากการใส่รองเท้าส้นสูงเต้น ผมที่ต้องรับผลเสียจากสเปรย์ การย้อมสี ไปจนถึงการใช้ความร้อนจากเครื่องม้วนผม และผิวที่ต้องรับภาระจากการแต่งหน้าเข้มจัดแล้วเหงื่อไหลโซมบนเวทีแสดง"
เธอยังได้เผยอีกด้านของการแสดงที่ไม่ได้ glamorous ไว้ว่า
"ฉันมีน้ำมูกไหลเยอะตอนที่ร้องเพลงค่ะ จะสั่งน้ำมูกก็ไม่ได้ ในบางครั้งบางคราวมันก็กลายมาเป็นน้ำมูกโป่งตรงจมูก"
และแท้จริงแล้วการติดพัดลมใหญ่บนเวทีที่หลายคนคิดว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผมของเธอลอยพริ้วไหวน่ามองทุกมิติบนเวทีนั้น อาจจะมาจากต้นตอที่ทำให้ประหลาดใจ
"ใครต่อใครคิดว่าฉันติดพัดลมบนเวทีเพื่อแสดงความสวยล้ำนำสมัย แต่ฉันทุ่มเทสุดตัวบนเวทีนะคะ ถ้าฉันไม่มีพัดลมคอยเป่า เหงื่อของฉันหลั่งไหลเป็นน้ำแน่ๆ"
อาจจะมีผู้ชี้ว่า ศิลปินระดับ superstar ย่อมเข้าถึงตัวช่วยมากมายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทางร่างกาย จะผมพังหรือผิวพังก็กู้ได้ทันใจ แต่ Beyonce ได้อธิบายว่า ด้วยภาระที่ต้องดูแลครอบครัวและบริษัท ทำให้เธอมุ่งมั่นเพื่อจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาโดยไม่คำนึงถึงตัวเองเป็นอันดับแรก จนเกิดผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ จนได้มาเรียนรู้ค้นพบวิธีที่จะออกจากวงจรแห่งการละเลยตนเอง นั่นคือการฟังเสียงจากร่างกายตัวเอง
Makeup จากหนังที่ทำให้ Jessica Chastain คว้าOscar สร้างความเสียหายให้ผิวถาวร
หนัง biopic บางเรื่องสร้างเสียงฮือฮาด้วยการนำเสนอนักแสดงนำที่มีรูปลักษณ์แตกต่างจากบุคคลมีชื่อเสียงผู้เป็นต้นฉบับ และอาจจะมองว่า นี่คือคือหนึ่งในความท้าทายสุดยอดของวงการสร้างหนัง เมื่อพวกเค้าต้องทุ่มเทการแสดงเพื่อโน้มน้าวใจผู้ชมให้ยอมรับว่าสวมบทบาทตรงกับต้นฉบับได้อย่างน่าเชื่อถือจริงๆ
Jessica Chastain ใช้เวลาถึงสิบปีเตรียมprojectหนัง The Eyes of Tammy Faye ด้วยความมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของ Tammy Faye Bakker นักร้องและผู้จัดรายการสอนศาสนาชื่อดังจากยุค 80s ทำให้เธอเอื้อมถึงรางวัลOscar สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมได้เป็นครั้งแรกในชีวิต และอีกหนึ่งความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ คือฝ่าย special effect ที่เนรมิต Jessica ให้กลายมาเป็น Tammy Faye จนได้รับรางวัลแต่งหน้าและทำผมยอดเยี่ยมนั่นเอง
แฟนหนังอาจจะคุ้นเคยกับภาพการแต่ง special effect ของเหล่านักแสดง ไม่ว่าจะเป็นหนัง Sci-Fi หรือ fantasy พวกเค้าก็ต้องใช้ความอดทนแต่งหน้ายาวนานเพื่อดึงดูดความสนใจในบทบาทนั้น แต่สำหรับหนัง biopic อีกหนึ่งความกดดันที่เพิ่มขึ้นมาคือ การใช้เทคนิคการแต่งหน้าแบบต่างๆเพื่อทำให้นักแสดงดูคล้ายคลึงกับต้นฉบับ แต่มันก็ดึงดูดเอาพลังงานของนักแสดงไปจนหมด
"การแต่งหน้าครั้งที่นานที่สุดลากยาวไปเจ็ดชั่วโมงครึ่ง ฉันเริ่มมีอาการร้อนวูบวาบฉับพลันเพราะรู้สึกหนักและร้อนมาก ฉันรู้สึกหวาดกลัวราวกับได้เดินทางข้ามประเทศด้วยเครื่องบินแบบรายวัน ต้องแต่งหน้าเจ็ดชั่วโมงครึ่ง พอจะเอามันออกก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง"
ความโหดหินของงาน special effect ครั้งนี้ก็คือ ทีมงานจะต้องสร้างลุคในช่วงวัยและสถานการณ์ที่แตกต่างกันของTammy Faye เริ่มตั้งแต่วัยสาว พวกเค้าต้องปั้นโครงหน้าใหม่ให้กับนางเอกสาว ไม่ว่าจะเป็นแก้ม คาง สันกราม จมูก เมื่ออายุมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ขึ้นก็ต้องแต่งคอและสวมบอดี้สูทเพิ่มเนื้อหนัง และแต่งหน้าเพิ่มริ้วรอยต่างๆ ซึ่งกินเวลามากขึ้นไปอีก
"ครั้งแรกที่ถ่ายทำก็รู้สึกหมดพลังไปซะแล้ว และการสวมบทบาทเป็นเธอก็ต้องแสดงออกมาแบบเปี่ยมไปด้วยพลัง มันเป็นลุคแนวยุค 90s เป็นการแต่ง effect ที่เยอะที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ทำมา แม้แต่บรอนเซอร์และรองพื้นก็สีเข้มกว่าปกติเอามากๆ ขนตาปลอมก็หนากว่าเดิม ยิ่งเธออายุมากขึ้น ก็ยิ่งแต่งหน้าจัดขึ้นไปอีก"
เมื่อนักข่าวถามว่า ทั้งที่เธอผ่านประสบการณ์แต่งหน้า special effect เหตุใดจึงไม่ต้องรับมือกับอาการสิวเห่อ แต่เธอเผยว่า ผลกระทบของมันอาจจะหนักกว่าสิวที่เกิดขึ้นแบบชั่วครั้งชั่วคราว
"ฉันว่าผิวพรรณของฉันเกิดความเสียหายอย่างถาวรจากการแต่งหน้าในหนังเรื่องนี้ ฟังนะคะ ฉันเลือกกินอาหารปลอดสารและดูแลผิวพรรณมาดีมากๆ รวมถึงการหลบเลี่ยงแสงแดดอะไรพวกนั้น แต่ฉันต้องรับน้ำหนักจากการแต่งหน้า หลังจากที่ต้องแต่งแบบนี้ทั้งวันและทุกวัน น้ำหนักที่ร่างกายจะต้องแบกรับไว้ก็ทำให้ผิวหนังขยายหย่อนออกค่ะ"
เธอพูดขำๆว่า เมื่อได้แกะเอาmakeup ที่แสนหนักออกไป ก็ดูมีอายุขึ้นเป็นคนวัย 50
"ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่ล้อเล่น แต่มันไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันทำเพื่อสร้างผลงานศิลปะของตัวเอง"